การเรียนรู้จากช่วงเวลาที่ยากลำบาก
โดย หลี่ หยาง, ประเทศจีน ผมถูกจับทันทีหลังตรุษจีนปี 2020 เพราะความเชื่อของผม ตอนที่ผมตรวจร่างกายตามระบบหลังถูกจับ พวกเขาเจอจุดดำบนปอดของผม...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ในเดือนเมษายน ปี 2021 ฉันเป็นผู้ให้น้ำผู้เชื่อใหม่ในคริสตจักร ตอนทำหน้าที่นี้ครั้งแรก ฉันมีสำนึกของการแบกภาระและให้ความสำคัญกับการทำงานหนักตามหลักธรรม เมื่อไหร่ที่เจอกับปัญหาที่ไม่เข้าใจ ฉันก็จะอธิษฐานและแสวงหา โดยการสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงบ่อยๆ ฉันค่อยๆ จับความเข้าใจในหลักธรรมได้บางข้อ และงานของฉันก็เริ่มเกิดผล ไม่กี่เดือนต่อมา ขณะที่ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ พากันแสวงหาและสืบค้นหนทางที่แท้จริง หลายคนได้ยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า เพื่อให้ผู้เชื่อใหม่เหล่านี้ได้รับการให้น้ำโดยเร็วที่สุด ผู้นำจึงให้ฉันรับผิดชอบดูแลกลุ่มผู้เชื่อใหม่เพิ่มขึ้นอีกสามกลุ่ม เมื่อเห็นว่ามีผู้เชื่อใหม่เพิ่มมากขึ้นขนาดนี้ ฉันก็ลังเลกับแนวคิดนั้น โดยคิดว่า “แค่กลุ่มผู้เชื่อใหม่ที่ฉันดูแลอยู่ตอนนี้ ก็มีเรื่องให้ฉันเป็นกังวลมากมายอยู่แล้ว พวกเขามีมโนคติอันหลงผิด ปัญหา และความลำบากยากเย็นหลายอย่างที่ต้องการการแก้ไข บางครั้งต้องสามัคคีธรรมซ้ำหลายครั้งเพื่อให้พวกเขาสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ แล้วตอนนี้มีผู้เชื่อใหม่เพิ่มขึ้นเยอะขนาดนี้ ก็จะต้องใช้เวลาและความพยายามมากในการให้น้ำพวกเขาอย่างถูกควร เพื่อให้พวกเขาสามารถวางรากฐานในหนทางที่แท้จริงได้อย่างมั่นคง นี่เป็นเรื่องที่ลำบากเกินไป ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ร่างกายฉันจะรับไหวได้ยังไง? ตอนนี้สุขภาพฉันก็ไม่ดีอยู่แล้ว! ถ้าล้มป่วยไปเพราะความเหนื่อยล้า ฉันคงจะแย่แน่ๆ” ฉันรู้ว่าผู้ดูแลทำหน้าที่ให้น้ำผู้เชื่อใหม่มานานแล้ว และจับความเข้าใจในหลักธรรมของงานนี้ได้อย่างถ่องแท้ ฉันจึงบอกกับตัวเองว่า “ต่อไปนี้ หากปัญหาซับซ้อนมากขึ้น ฉันควรขอให้ผู้ดูแลเป็นคนแก้ไข แบบนี้ฉันจะได้ไม่ต้องพยายามหาพระวจนะของพระเจ้ามาสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อใหม่ ไม่เพียงแต่ปัญหาของพวกเขาจะได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว แต่ฉันยังจะได้พักผ่อนสักหน่อย แถมประหยัดทั้งเวลาและแรงกาย นั่นจะเป็นการดีต่อทั้งสองฝ่ายไม่ใช่เหรอ?” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เวลาที่ฉันให้น้ำผู้เชื่อใหม่และเผชิญกับปัญหาหรือความลำบากยากเย็นที่ฉันไม่เข้าใจอย่างชัดเจน ฉันก็ไม่ได้แสวงหาหลักธรรมความจริง แต่กลับผลักปัญหาไปให้ผู้ดูแลโดยตรง และขอให้เธอเป็นคนสามัคคีธรรมและแก้ไขปัญหาแทน
ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ผู้ดูแลเปิดโปงฉันว่า “ช่วงนี้คุณเป็นอะไรไป? คุณไม่ขยันขันแข็งในการทำหน้าที่เลย ทุกครั้งที่ผู้เชื่อใหม่เจอปัญหาหรือความลำบากยากเย็น คุณก็ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข แต่กลับให้ฉันเป็นคนสามัคคีธรรมแทน ทำแบบนี้ คุณอาจจะไม่ต้องทนทุกข์ทางกายก็จริง แต่คุณจะได้รับความจริงเหรอ? ถ้าคุณทำหน้าที่โดยไม่มีสำนึกของการแบกภาระ และยังคงโหยหาความสบายทางเนื้อหนังอยู่ละก็ คุณจะสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปได้ง่ายๆ นะ แล้วไม่ช้าก็เร็ว คุณก็จะถูกเผยและกำจัดออกไป คุณต้องทบทวนตัวเองให้ถี่ถ้วนนะ!” เมื่อได้ยินคำพูดของผู้ดูแล ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจและสำนึกผิด ตระหนักได้ว่าการทำแบบนี้ต่อไปเป็นเรื่องอันตรายจริงๆ ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้คิดทบทวนและได้รับความเข้าใจในตนเองให้ดีขึ้น
วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ไม่ว่าผู้คนบางคนจะทำงานอะไรหรือปฏิบัติหน้าที่อะไร พวกเขาก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จในงานหรือหน้าที่นั้นได้ พวกเขาไม่สามารถแบกรับ และไม่สามารถทำให้ภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบใดๆ ที่ผู้คนควรจะทำนั้นลุล่วง พวกเขาไม่ใช่ขยะหรอกหรือ? พวกเขายังคู่ควรที่จะได้ชื่อว่ามนุษย์อยู่อีกหรือ? ยกเว้นพวกคนเขลา ผู้พิการทางสติปัญญา และผู้ที่ทุกข์ทนจากความบกพร่องทางร่างกายแล้ว คนที่ยังมีชีวิตนั้นมีผู้ใดบ้างที่ไม่ควรทำหน้าที่ของตนและทำให้ความรับผิดชอบของตนลุล่วง? แต่คนแบบนี้ก็กลับกลอกและอู้งานอยู่เสมอ และไม่อยากลุล่วงความรับผิดชอบของตน ความหมายโดยนัยคือพวกเขาไม่อยากประพฤติปฏิบัติตนให้ถูกควร พระเจ้าประทานโอกาสในการเป็นมนุษย์แก่พวกเขา และพระองค์ก็ประทานขีดความสามารถและพรสวรรค์แก่พวกเขา แต่พวกเขากลับไม่สามารถใช้สิ่งเหล่านี้ทำหน้าที่ของตน พวกเขาไม่ทำอะไร แต่ก็อยากดื่มด่ำอยู่ในความสุขสำราญทุกครั้งที่มีโอกาส บุคคลเช่นนี้เหมาะที่จะได้ชื่อว่ามนุษย์กระนั้นหรือ? ไม่ว่าจะให้งานอะไรแก่พวกเขา—จะเป็นงานสำคัญหรือธรรมดา ยากหรือเรียบง่าย—พวกเขาก็สุกเอาเผากินและกลับกลอกอยู่เสมอ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น พวกเขาก็พยายามผลักความรับผิดชอบในปัญหาเหล่านั้นไปให้ผู้อื่น ไม่ยอมรับผิดชอบอะไร แต่กลับอยากใช้ชีวิตเยี่ยงกาฝากของตนไปเรื่อยๆ พวกเขาคือขยะที่ไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ? ในสังคม มีผู้ใดไม่ต้องพึ่งพาตนเองเพื่อความอยู่รอด? เมื่อบุคคลผู้หนึ่งโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาต้องดูแลตนเอง บิดามารดาของพวกเขาได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้ว ต่อให้บิดามารดาของพวกเขาเต็มใจสนับสนุนพวกเขา พวกเขาก็จะไม่สบายใจในเรื่องนี้ พวกเขาควรที่จะสามารถตระหนักรู้ว่าพ่อแม่เสร็จสิ้นงานเลี้ยงดูพวกเขาไปแล้ว พวกเขาควรตระหนักว่าในฐานะผู้ใหญ่ที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ พวกเขาควรที่จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นเอกเทศ นี่คือเหตุผลขั้นต่ำสุดที่ผู้ใหญ่พึงมีมิใช่หรือ? หากใครบางคนมีเหตุผลอย่างแท้จริง พวกเขาย่อมไม่สามารถเกาะกินบิดามารดาของตนต่อไป พวกเขาจะกลัวเสียงหัวเราะของผู้อื่น กลัวที่จะละอายใจ แล้วคนที่รักความสบายและเกลียดงานการนั้นมีเหตุผลหรือไม่? (ไม่มี) พวกเขาต้องการบางสิ่งมาเปล่าๆ อยู่เสมอ ไม่เคยอยากรับผิดชอบอะไร อยากให้ขนมหวานร่วงหล่นลงมาจากฟ้าและตกใส่ปากตัวเองเท่านั้น พวกเขาอยากได้อาหารครบหมู่สามมื้อต่อวันอยู่ตลอดเวลา อยากให้มีคนคอยบริการพวกเขา อยากกินและดื่มของอร่อยได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องทำงานแม้แต่น้อย นี่คือวิธีคิดของกาฝากมิใช่หรือ? แล้วผู้คนที่เป็นกาฝากมีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่? พวกเขามีศักดิ์ศรีและความซื่อตรงหรือไม่? แน่นอนว่าไม่มี พวกเขาล้วนเป็นคนไร้ประโยชน์ที่เอาแต่ได้ เป็นสัตว์ป่าที่ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล ไม่มีใครในหมู่พวกเขาเหมาะที่จะคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (8)) เมื่อทบทวนตัวเองตามพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักได้ว่าฉันช่างมีท่าทีดูแคลนต่อหน้าที่และทำอย่างสุกเอาเผากินเหลือเกิน แม้แต่การลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ควรทำ ฉันก็ยังทำไม่ได้ ฉันไม่ต่างอะไรจากขยะเลยจริงๆ ทุกครั้งที่ภาระงานเพิ่มขึ้น และฉันต้องทนทุกข์หรือยอมลำบาก สิ่งแรกที่ฉันคำนึงถึงก็คือเนื้อหนังของตัวเอง ฉันคิดว่าเมื่อมีผู้เชื่อใหม่ที่ต้องให้น้ำเพิ่มขึ้น ก็จะมีปัญหาให้จัดการและแก้ไขมากขึ้น ถ้าฉันต้องสามัคคีธรรมและเกื้อหนุนผู้เชื่อใหม่ทุกคนด้วยความอดทน ฉันก็คงจะมีเรื่องให้กังวลมากเกินไปและเหนื่อยจนหมดแรง ฉันกลัวความทุกข์และกลัวว่าตนเองจะเจ็บป่วยจากความเหนื่อยล้า ดังนั้นฉันจึงเริ่มเหลาะแหละและสุกเอาเผากิน ทุกครั้งที่เผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อนแม้เพียงเล็กน้อย ฉันก็ผลักไปให้ผู้ดูแลทันที โดยที่ไม่พยายามแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเลย ฉันช่างเห็นแก่ตัวและหลอกลวงเสียจริง! ฉันห่วงแต่จะอยู่เฉยๆ และไม่ยอมให้ตัวเองเหนื่อยกาย ฉันไม่คิดถึงงานและความลำบากยากเย็นของคนอื่นเลย หรือไม่คิดว่าพฤติกรรมของฉันจะทำให้ผู้อื่นทำหน้าที่ล่าช้าหรือเปล่า แม้ว่าหนทางนี้ทำให้เนื้อหนังของฉันสบายและไม่ต้องทนทุกข์มากนัก แต่ชีวิตของฉันกลับไม่ก้าวหน้าเลยเพราะฉันไม่แสวงหาความจริง แล้วสุดท้ายฉันจะได้รับอะไรจริงๆ บ้าง? ไม่ใช่ว่าฉันกำลังทำร้ายตัวเองอยู่หรอกเหรอ? พระเจ้าตรัสว่าคนขี้เกียจและตลบตะแลงเป็นขยะที่ไร้ค่า และพระเจ้าก็ทรงรังเกียจเดียดฉันท์และกำจัดขยะออกไปไม่ใช่เหรอ? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกสำนึกเสียใจและหวั่นกลัว ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า พูดว่าฉันอยากเปลี่ยนท่าทีต่อหน้าที่ของฉัน และทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง
หลังจากนั้น ทุกครั้งที่ฉันเผชิญกับความลำบากยากเย็นขณะให้น้ำผู้เชื่อใหม่ ฉันก็จะตั้งสติอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า แสวงหาความจริง และสามัคคีธรรมด้วยความอดทนเพื่อแก้ไขความลำบากยากเย็นของพวกเขา แทนที่จะโยนปัญหาให้คนอื่น แต่ ผู้เชื่อใหม่บางคนมีมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาที่แรงกล้า ซึ่งในบางกรณี พวกเขายึดติดกับมันอย่างเหนียวแน่น จนฉันต้องสามัคคีธรรมกับพวกเขาอยู่หลายครั้ง กว่าที่พวกเขาจะยอมปล่อยวาง เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งนี้เริ่มทำให้ฉันเป็นกังวลและใช้พลังงานอย่างมาก มาถึงจุดนี้ ฉันรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย และคิดในใจว่า “ถ้าสิ่งต่างๆ ยังเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันจะต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการสละตน ถึงจะให้น้ำผู้เชื่อใหม่ได้อย่างถูกควร? มันเหนื่อยเหลือเกิน ฉันทำได้แค่หาพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอน โดยดูจากมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา แล้วส่งให้ผู้เชื่อใหม่ ให้พวกเขาอ่าน จากนั้นจึงค่อยสามัคคีธรรมกับพวกเขาหากมีสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจ แบบนี้น่าจะช่วยลดความกังวลของฉันไปได้บ้าง” แต่ทุกครั้งที่ทำแบบนี้ ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย ฉันบอกตัวเองว่า “ขนาดฉันสามัคคีธรรมแบบตัวต่อตัวอย่างละเอียดลออ ก็ยังยากที่จะทำให้พวกเขาละทิ้งมโนคติอันหลงผิดของตัวเองได้ “ถ้าฉันปล่อยให้พวกเขาอ่านเอาเองทุกอย่าง แล้วพวกเขาจะเข้าใจได้ยังไง? เฮ้อ เอาเถอะ เอาไว้ก่อน รอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยสามัคคีธรรมก็แล้วกัน” เพราะแบบนั้น ฉันเลยปล่อยผ่านไปโดยไม่คิดอะไรมาก หลังจากนั้นไม่นาน ผู้เชื่อใหม่บางคนก็ไม่อยากมาชุมนุมอีกต่อไป เพราะมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาของพวกเขาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที บางคนถึงกับเลิกเชื่อไปเลย หลังจากถูกพวกศิษยาภิบาลกับผู้อาวุโสชักพาให้หลงผิดและก่อกวน เมื่อได้เห็นอะไรแบบนี้เกิดขึ้น ฉันก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉันคนเดียวเสียหน่อย ฉันก็ส่งพระวจนะของพระเจ้าบทตอนที่เกี่ยวข้องให้พวกเขาไปอ่านแล้วนี่ แต่เพราะผู้เชื่อใหม่เหล่านี้โอหังและคิดว่าตัวเองถูกมากเกินไป พวกเขาเอาแต่ยึดติดในมโนคติอันหลงผิดของตัวเองอย่างดื้อรั้นและไม่ยอมรับความจริง ก็เลยไม่มีอะไรที่ฉันทำได้แล้วเพื่อช่วยเหลือพวกเขา” เพราะฉันขี้เกียจและทำหน้าที่แบบสุกเอาผากินอยู่เนืองนิจ ฉันจึงรู้สึกว่าพระเจ้าทรงซ่อนพระพักตร์จากฉัน และความคิดของฉันก็เริ่มขุ่นมัวมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันมองไม่เห็นทางออกจากปัญหาหลายๆ อย่าง และสามัคคีธรรมของฉันกับผู้เชื่อใหม่ก็น่าเบื่อและจืดชืด การทำหน้าที่กลายเป็นเรื่องที่ต้องลงแรง และผลลัพธ์ก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ต่อมา ผู้ดูแลเห็นว่าสภาวะของฉันยังไม่เปลี่ยนแปลง และส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของฉันอย่างรุนแรง เธอจึงขอให้ฉันหยุดทำหน้าที่ และให้ไปประกอบการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณเพื่อทบทวนตัวเองแทน เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉันก็ทรุดฮวบ น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้มอย่างหยุดไม่ได้ ฉันรู้ดีว่า นี่คือผลสืบเนื่องจากการที่ฉันเอาแต่คำนึงถึงเนื้อหนัง และทำหน้าที่แบบสุกเอาผากินอยู่ตลอด ฉันคิดว่าตัวเองจบสิ้นแล้ว ฉันถูกพักจากหน้าที่ ในขณะที่พระราชกิจของพระเจ้ากำลังจะสิ้นสุดลง ไม่ใช่ว่าฉันถูกกำจัดแล้วเหรอ? หลายวันนั้นฉันทุกข์ระทมจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ท่ามกลางความปวดร้าว ฉันคุกเข่าอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างจริงจังว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าสิ่งที่ข้าพระองค์ทำไปนั้นทำให้พระองค์ทรงรังเกียจและเกลียดชัง แต่ข้าพระองค์ต้องการกลับใจ โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ให้ได้รับความเข้าใจในตนเองให้มากขึ้นด้วยเถิด” หลังจากการอธิษฐาน ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งว่า “มีผู้คนบางคนที่ไม่เต็มใจทนทุกข์ในหน้าที่ของตนแต่อย่างใด พร่ำบ่นอยู่เสมอเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเผชิญปัญหาและไม่ยอมจ่ายราคา นั่นคือท่าทีประเภทใด? นั่นคือท่าทีที่สุกเอาเผากิน หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างสุกเอาเผากินและมีท่าทีที่ไม่เคารพหน้าที่ ผลลัพธ์ของการนี้จะเป็นเช่นไร? เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ย่ำแย่ แม้ว่าเจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่นั้นได้ดีก็ตาม—การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าย่อมจะไม่ได้มาตรฐาน และพระเจ้าจะไม่พอพระทัยอย่างมากต่อท่าทีที่เจ้ามีต่อหน้าที่ของเจ้า หากเจ้าสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาความจริงและทุ่มเททั้งหัวใจและความรู้สึกนึกคิดของตนลงไป หากเจ้าสามารถให้ความร่วมมือได้ในหนทางนี้ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าย่อมจะทรงตระเตรียมทุกสิ่งไว้ล่วงหน้าให้แก่เจ้าแล้ว เพื่อในยามที่เจ้ารับมือกับเรื่องต่างๆ ทุกสิ่งจะเข้าที่เข้าทางและเกิดผลลัพธ์ที่ดี เจ้าจะไม่จำเป็นต้องใช้พลังมากมาย เมื่อเจ้าให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ พระเจ้าย่อมจะทรงจัดการเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้เจ้าแล้ว หากเจ้ากลับกลอกและหย่อนยาน หากเจ้าไม่จัดการดูแลหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องเหมาะสม และเดินบนเส้นทางที่ผิดเสมอ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่ทรงกระทำการในตัวเจ้า เจ้าย่อมจะสูญเสียโอกาสนี้ไป และพระเจ้าจะตรัสว่า ‘เจ้าไม่มีประโยชน์ เราไม่สามารถใช้งานเจ้าได้ จงหลีกไปยืนอยู่ด้านข้าง เจ้าชอบเป็นคนมีเหลี่ยมคูและหย่อนยานมิใช่หรือ? เจ้าชอบเกียจคร้านและรักสบายใช่ไหม? ดีละ ถ้าเช่นนั้นก็จงสบายไปชั่วกาลนานเถิด!’ พระเจ้าจะประทานพระคุณและโอกาสเช่นนี้แก่ผู้อื่น พวกเจ้าคิดอย่างไร นี่คือการได้หรือเสีย? (เสีย) นี่คือความสูญเสียอันใหญ่หลวง!” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันก็เข้าใจว่า ข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนนั้นไม่ได้สูง พระองค์เพียงแค่ต้องการให้พวกเขาทุ่มเทหัวใจปฏิบัติหน้าที่ของตนสุดความสามารถ ตราบใดที่พวกเขาทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ พวกเขาก็จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า ส่วนคนที่ทำหน้าที่แบบขอไปทีอยู่เสมอ คนที่เจ้าเล่ห์และชอบฉวยโอกาส แสวงหาการได้อยู่เฉยและความสะดวกสบาย แทนที่จะทำในสิ่งที่ตนควรทำและสามารถทำได้ คนแบบนี้พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์และจะไม่ได้รับความรอดจากพระองค์ เมื่อไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า และย้อนมองการกระทำของตัวเองที่ผ่านมา ฉันก็เป็นคนแบบที่พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์ไม่ใช่เหรอ? ถือเป็นเกียรติของฉันแล้ว ที่คริสตจักรให้ฉันรับผิดชอบงานให้น้ำผู้เชื่อใหม่ นับเป็นสิ่งที่มีความหมายแค่ไหนแล้ว ที่ได้ทำหน้าที่สำคัญขนาดนี้ในช่วงเวลาอันสำคัญนี้ เวลาที่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้ากำลังเผยแผ่ออกไป! แต่ฉันกลับไม่เห็นคุณค่า ทำหน้าที่แบบสุกเอาผากิน และเอาแต่โหยหาความสบาย เพียงแค่พยายามและพลีอุทิศอีกเล็กน้อย ฉันก็จะสามารถทำงานให้น้ำผู้เชื่อใหม่ได้ดีแล้ว แต่ฉันกลับไม่อยากทนทุกข์กับความยากลำบากอีกเล็กน้อยนั้น ทั้งๆ ที่ฉันก็ตระหนักดีว่าผู้เชื่อใหม่จะมีความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างจำกัดหากพวกเขาอ่านเอาเอง แต่ฉันก็ยังไม่อยากสามัคคีธรรมกับพวกเขา ผลที่ได้ก็คือ ผู้เชื่อใหม่บางคนไม่อยากมาร่วมชุมนุมอีก เพราะมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาของพวกเขาไม่ได้รับการแก้ไข และบางคนก็ถูกพวกศิษยภิบาลและผู้อาวุโสชักพาให้หลงผิดและก่อกวน จนทำให้เลิกเชื่อไปเลย เมื่อข้อเท็จจริงถูกเปิดโปงนี่เอง ฉันจึงได้ตระหนักว่า ฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของตนเลย แต่กลับขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรแทน ตอนนั้น ฉันไม่ตระหนักในตนเองเลย แต่กลับโยนความรับผิดชอบและโทษว่าเป็นปัญหาของผู้เชื่อใหม่เอง ฉันช่างไร้ความรับผิดชอบเสียจริง! แบบนี้จะไม่ให้พระเจ้าทรงรังเกียจและเกลียดชังฉันได้ยังไง? ฉันตระหนักได้ว่าคริสตจักรมอบหมายงานที่สำคัญขนาดนี้ให้ ด้วยหวังว่าฉันจะลุล่วงความรับผิดชอบและให้น้ำผู้เชื่อใหม่ได้อย่างถูกควร เพื่อให้พวกเขาสามารถวางรากฐานในหนทางที่แท้จริงอย่างมั่นคงโดยเร็วที่สุด และยอมรับความรอดของพระเจ้า แต่ฉันกลับขี้เกียจ หลบเลี่ยง และเอาแต่คิดจะซ่อนตัว สำราญใจไปกับการใช้ชีวิตเกียจคร้าน และทำให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย และลุล่วงไม่ได้แม้แต่หน้าที่ของตัวเอง ฉันขาดทั้งมโนธรรมหรือเหตุผลโดยสิ้นเชิงขนาดนี้ได้ยังไง? แม้แต่สุนัขยังรู้จักวิธีที่จะจงรักภักดีต่อเจ้านายและเฝ้าบ้าน ขณะที่ฉันได้ชื่นชมยินดีกับการจัดเตรียมอันอุดมของพระเจ้า แต่แม้แต่ลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเอง ฉันก็ยังทำไม่ได้ ฉันคู่ควรกับการถูกเรียกว่ามนุษย์อยู่หรือเปล่า? พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นทรงชอบธรรมและไม่อาจก้าวล่วงได้ การที่ฉันถูกปลดและถูกยุติการทำหน้าที่นั้น ล้วนเป็นความผิดของฉันเองทั้งสิ้น ฉันได้ทำลายโอกาสในการทำหน้าที่และบรรลุความจริงไปเสียแล้ว
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกบทตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “เพื่อที่จะเข้าใจธรรมชาติทั้งหลาย นอกเหนือจากการค้นหาสิ่งที่ผู้คนชื่นชอบในธรรมชาติของพวกเขาแล้ว อีกหลายแง่มุมที่สำคัญที่สุดและเกี่ยวข้องกับธรรมชาติของพวกเขาก็จำเป็นต้องถูกขุดคุ้ยขึ้นมาเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ทัศนคติของผู้คนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลาย วิธีการและเป้าหมายในชีวิตของผู้คน คุณค่าชีวิตและทัศนะที่ผู้คนมีต่อชีวิต ตลอดจนมุมมองและแนวคิดเกี่ยวกับสิ่งทั้งปวงที่สัมพันธ์กับความจริง เหล่านี้คือสรรพสิ่งทั้งมวลลึกลงไปภายในดวงจิตของผู้คน และสิ่งเหล่านี้มีสัมพันธภาพโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงของอุปนิสัย เช่นนั้นแล้ว มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามมีทัศนะเช่นไรต่อชีวิต? สามารถกล่าวได้ดังนี้ว่า ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ ผู้คนทั้งปวงดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเอง พูดตามตรงก็คือพวกเขากำลังดำรงชีวิตเพื่อเนื้อหนัง พวกเขากำลังดำรงชีวิตเพียงเพื่อใส่อาหารเข้าในปากของพวกเขาเท่านั้น การดำรงอยู่แบบนี้แตกต่างจากการดำรงอยู่ของสัตว์ทั้งหลายอย่างไร? ไม่มีคุณค่าอันใดเลยในการดำรงชีวิตเช่นนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงความหมายอันใด ทัศนะที่คนเรามีต่อชีวิตเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เจ้าพึ่งพาเพื่อการดำรงชีวิตในโลก สิ่งที่เจ้าดำรงชีวิตเพื่อมัน และวิธีที่เจ้าดำรงชีวิต—และเหล่านี้คือสิ่งทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของธรรมชาติแบบมนุษย์ โดยผ่านทางการชำแหละธรรมชาติของผู้คนนั้น เจ้าจะมองเห็นว่าผู้คนล้วนต้านทานพระเจ้าทั้งสิ้น พวกเขาล้วนเป็นเหล่ามาร และไม่มีบุคคลที่ดีอย่างจริงแท้เลย มีเพียงโดยการชำแหละธรรมชาติของผู้คนเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถรู้จักความเสื่อมทรามและแก่นแท้ของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง และเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วผู้คนเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งใด ผู้คนขาดพร่องสิ่งใดอย่างแท้จริง พวกเขาควรมีสิ่งใดไว้ติดตัว และพวกเขาควรดำรงชีวิตไปตามสภาพเสมือนของมนุษย์อย่างไร การชำแหละธรรมชาติของมนุษย์อย่างแท้จริงไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่สามารถทำได้โดยปราศจากการได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าหรือการมีประสบการณ์ที่แท้จริง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา) การอ่านพระวจนะของพระเจ้า ทำให้ฉันตระหนักว่า ปรัชญาและกฎเกณฑ์ของซาตาน อย่างเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “ดื่มไวน์ของวันนี้วันนี้ พรุ่งนี้ค่อยกังวลเรื่องวันพรุ่งนี้” และ “จงใช้ชีวิตแบบไม่คิดอะไรให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ” เป็นพิษต่อฉันอย่างลึกล้ำเหลือเกิน การใช้ชีวิตตามกฎเหล่านี้ ทำให้ฉันกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ ไว้ใจไม่ได้ และหลอกลวงอย่างที่สุด ไม่ว่าจะทำอะไร ฉันก็คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ทางกายของตัวเอง โหยหาความสบาย รังเกียจการลงแรง และไม่มีสำนึกของการแบกภาระหรือความรับผิดชอบในการทำหน้าที่เลย ฉันใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้เป้าหมายและทิศทาง ชีวิตของฉันไม่มีคุณค่าหรือความหมายแม้แต่น้อย ย้อนคิดถึงก่อนที่ฉันจะเชื่อในพระเจ้า ฉันให้ความสำคัญกับเนื้อหนังและโหยหาความสบายเอามากๆ ไม่ว่าจะทำอะไร เมื่อเป็นไปได้ฉันก็ทำแบบสุกเอาเผากินเสมอ ทำทุกอย่างเพื่อสนองต่อผลประโยชน์ทางเนื้อหนังตัวเอง ใช้ชีวิตที่น่ารังเกียจและชั่วช้า แม้หลังจากที่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้าแล้ว ฉันก็ยังใช้ชีวิตตามทัศนะที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้ ทุกครั้งที่หน้าที่ของฉันเริ่มหนักเกินไปจนฉันต้องทนทุกข์และยอมลำบาก ฉันก็กลัวว่าจะต้องทุ่มเทแรงกาย และพยายามโยนงานที่ต้องลงแรงอย่างมากและสร้างความเหนื่อยล้าทางจิตใจไปให้คนอื่นอยู่ตลอด ฉันไม่อยากกังวลหรือทำให้ตัวเองลำบากมากเกินความจำเป็น เพราะฉันทำหน้าที่แบบสุกเอาผากิน ปัญหาของผู้เชื่อใหม่จึงไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที ทำให้บางคนไม่อยากมาชุมนุม ซึ่งส่งผลให้งานให้น้ำถูกรบกวนและติดขัด ฉันตระหนักได้ว่า ฉันใช้ชีวิตตามปรัชญาและกฎเกณฑ์ของซาตาน ขาดมโนธรรมหรือเหตุผลอย่างสิ้นเชิง ฉันเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และสนใจแต่ตัวเอง ฉันถึงกับไม่คำนึงว่าความลำบากยากเย็นของผู้เชื่อใหม่จะได้รับการแก้ไขหรือไม่ หรือพวกเขาจะประสบกับการสูญเสียในการเข้าสู่ชีวิตหรือเปล่า ฉันใช้ชีวิตหลงระเริงอยู่ในความสบาย เป็นกบฏและต่อต้านพระเจ้าโดยไม่รู้ตัวเลย นั่นอันตรายมาก! ในตอนนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “พระเจ้าไม่ทรงให้ภาระงานที่หนักเกินกว่าที่พวกเขาจะแบก หากเจ้าสามารถแบกหามได้หนึ่งร้อยปอนด์ พระเจ้าก็จะไม่ทรงให้ภาระงานซึ่งหนักกว่าหนึ่งร้อยปอนด์แก่เจ้าอย่างแน่นอน พระองค์จะไม่ทรงกดดันเจ้า นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงเป็นกับทุกคน และเจ้าก็จะไม่ถูกสิ่งใดควบคุมโดยสิ่งใด—บุคคลใด หรือความคิดและทัศนะใดเลย เจ้าเป็นอิสระ” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (15)) ภาระที่พระเจ้าทรงมอบให้กับผู้คนนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถแบกรับได้ และสามารถทำให้สำเร็จได้ด้วยความพยายามเพียงเล็กน้อย บางครั้งอาจมีผู้เชื่อใหม่ที่ต้องให้น้ำจำนวนมากกว่าปกติ ทำให้มีปัญหาและความลำบากยากเย็นเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งต้องใช้เวลาและพลังงานมากขึ้นในการแสวงหาความจริงและสามัคคีธรรมเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น แต่ด้วยการพยายามและพลีอุทิศมากขึ้นอีกสักหน่อย ฉันก็สามารถรับมือได้ สิ่งนี้จะไม่ทำให้ฉันทรุดหรือล้มป่วยจากความเหนื่อยล้าเลย ในระหว่างการชุมนุม พี่น้องชายหญิงมักจะสามัคคีธรรมความจริงกันว่า การทำหน้าที่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเราในการเข้าใจความจริง เราเผชิญกับปัญหาและความลำบากยากเย็นต่างๆ ในการทำหน้าที่ แต่ด้วยการแสวงหาความจริง เราสามารถเรียนรู้บทเรียนจากสิ่งเหล่านี้ และค่อยๆ เข้าใจความจริงบางข้อ แล้วเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ แต่ฉันกลับรู้สึกอยู่ตลอดว่าการทำหน้าที่ในหนทางนั้นเหนื่อยเกินไป และถึงกับกังวลว่าจะล้มป่วยจากความเหนื่อยล้า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะฉันโหยหาความสบายอย่างมากและไม่เต็มใจจะทนทุกข์ ดังนั้นฉันจึงครวญคร่ำพร่ำบ่นเวลาที่ต้องทำหน้าที่ ละเลยงานของตัวเอง และถึงกับล้มเหลวในการลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเอง ในที่สุด ฉันก็ตระหนักได้ว่า การใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตานจะทำให้ชีวิตของฉันสูญเปล่าเท่านั้น อีกทั้งมีแต่จะทำร้ายและทำลายฉันในท้ายที่สุด การตระหนักเช่นนี้ทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับการทรงนำและการให้ความรู้แจ้งของพระองค์ ซึ่งทำให้ข้าพระองค์เข้าใจตนเองดีขึ้นมาอีกนิด และเห็นอันตรายและผลสืบเนื่องจากการใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตานได้อย่างชัดเจน ข้าพระองค์ยังตระหนักด้วยว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์นั้นไม่อาจก้าวล่วงได้ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการกลับใจ จากนี้ไป ข้าพระองค์จะทำหน้าที่อย่างมีสำนึกและเอาการเอางาน จะไม่ทำหน้าที่แบบสุกเอาผากินและทำร้ายพระองค์อีกต่อไป”
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งซึ่งปลุกใจฉันอย่างมาก พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ทุกวจนะและวลีที่พระเจ้าได้ดำรัสนั้นได้ถูกจารึกไว้ภายในหัวใจของโนอาห์เสมือนคำพูดที่สลักอยู่บนแผ่นหิน ตลอดหนทางนั้นเขาได้พากเพียรบากบั่นในสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เขาทำ ไม่ท้อแท้สิ้นหวังหรือคิดถึงการเลิกล้มเลย โดยไม่ใส่ใจต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในโลกภายนอก ต่อการเยาะเย้ยถากถางของพวกที่อยู่รอบตัวเขา ต่อความยากลำบากที่เกี่ยวข้อง หรือต่อความลำบากยากเย็นที่เขาได้เผชิญ พระวจนะของพระเจ้าถูกจารึกไว้บนหัวใจของโนอาห์ และพระวจนะเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นความเป็นจริงในทุกๆ วันของเขา โนอาห์ตระเตรียมวัสดุแต่ละชนิดที่จำเป็นต้องใช้สร้างเรือใหญ่ รูปทรงและรายละเอียดเฉพาะสำหรับเรือใหญ่ซึ่งพระเจ้าทรงบัญชานั้นค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นด้วยการกระหน่ำด้วยค้อนและสิ่วของโนอาห์แต่ละครั้งอย่างระมัดระวัง ผ่านลมและฝน และไม่ว่าผู้คนได้เย้ยหยันหรือใส่ร้ายเขาอย่างไร ชีวิตของโนอาห์ได้เดินหน้าไปในลักษณะนี้ ปีแล้วปีเล่า พระเจ้าได้ทรงเฝ้าดูทุกการกระทำของโนอาห์อย่างลับๆ โดยไม่ดำรัสพระวจนะกับเขาอีกเลย และโนอาห์ก็ได้ทำให้พระองค์ซาบซึ้งพระทัย อย่างไรก็ตาม โนอาห์ทั้งไม่รู้และไม่รู้สึกถึงการนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เขาก็เพียงได้สร้างเรือใหญ่ขึ้น และได้รวบรวมสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทุกประเภท ด้วยความภักดีอันไม่หวั่นไหวต่อพระวจนะของพระเจ้า ในหัวใจของโนอาห์ ไม่มีการให้คำแนะนำใดเลยซึ่งสูงส่งกว่านี้ที่เขาควรที่จะติดตามและดำเนินการ กล่าวคือ พระวจนะของพระเจ้าคือทิศทางและเป้าหมายชั่วชีวิตของเขา ดังนั้น ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสสิ่งใดกับเขา ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงเอ่ยขอให้เขาทำสิ่งใด จะทรงบัญชาให้เขาทำสิ่งใด โนอาห์ก็ยอมรับไว้หมด และนำมาใส่หัวใจ เขาถือว่านั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต และจัดการเรื่องดังกล่าวเช่นนั้น เขาไม่เพียงไม่ลืมเท่านั้น ไม่เพียงเก็บเอาไว้ในหัวใจของเขาเท่านั้น แต่ยังทำให้เป็นจริงในชีวิตประจำวันของตนอีกด้วย ใช้ชีวิตของเขามายอมรับและดำเนินการตามพระบัญชาของพระเจ้า และในหนทางนี้ เรือใหญ่จึงได้ถูกสร้างขึ้น ทีละแผ่นกระดาน ทุกความเคลื่อนไหวของโนอาห์ ทุกวันของเขา ถูกทุ่มเทอุทิศให้แก่พระวจนะและพระบัญญัติของพระเจ้า อาจจะไม่ได้ดูเหมือนว่าโนอาห์กำลังปฏิบัติการเข้ารับภาระหน้าที่ซึ่งสำคัญยิ่ง แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่โนอาห์ทำ แม้กระทั่งทุกขั้นตอนที่เขาใช้เพื่อสัมฤทธิ์บางสิ่ง ทุกงานที่มือของเขาออกแรงทำ—สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ล้ำค่า และสมควรกับการรำลึกเป็นอนุสรณ์ และควรค่าแก่การเอาอย่างโดยมวลมนุษย์นี้ โนอาห์ยึดตามสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เขาทำ เขาไม่หวั่นไหวในความเชื่อของตนที่ว่าพระวจนะทุกคำที่พระเจ้าตรัสนั้นจริงแท้ เขาไม่มีความสงสัยในการนี้ และผลก็คือ เรือใหญ่ได้มาถึงความครบบริบูรณ์ และสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทุกรูปแบบก็มีความสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่บนเรือใหญ่นั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, บทความเสริม สอง: วิธีที่โนอาห์และอับราฮัมเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าและนบนอบพระองค์ (ภาคที่หนึ่ง)) ฉันรู้สึกประทับใจอย่างมากกับท่าทีของโนอาห์ที่มีต่อพระบัญชาของพระเจ้า พระเจ้าทรงบอกให้โนอาห์สร้างเรือใหญ่ และเขาก็เชื่อฟังและนบนอบอย่างแท้จริง ทิ้งความสุขทางเนื้อหนังทั้งหมดไว้ข้างหลัง เพื่อลุล่วงพระบัญชาของพระเจ้า แม้ว่าการสร้างเรือใหญ่จะยากลำบาก แต่โนอาห์ก็มีความเชื่อในพระเจ้าและไม่หวั่นกลัวความทุกข์ เขายืนหยัด เผชิญหน้ากับความยากลำบากและความขาดแคลนทุกอย่าง จนลุล่วงพระบัญชาของพระเจ้า และได้รับความเห็นชอบจากพระองค์ในที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับโนอาห์แล้ว ฉันตระหนักได้ว่าตนเองขาดความเป็นมนุษย์ ไม่จงรักภักดีและไม่นบนอบหน้าที่ของตัวเอง ขี้เกียจและหลอกลวง เอาแต่โหยหาความสุขทางเนื้อหนัง แทนที่จะถือว่าหน้าที่ของฉันเป็นความรับผิดชอบที่จำเป็นต้องทำ และพยายามเต็มที่เพื่อทำให้ดีที่สุด หากสิ่งต่างๆ เป็นแบบนี้ต่อไป ฉันจะสบายในเนื้อหนัง ไม่มีความทุกข์และความเหนื่อยล้า แต่ฉันก็จะไม่ได้รับความจริงเลย หากไม่มีความจริง ฉันจะไม่เป็นซากศพที่เดินได้หรอกเหรอ? การใช้ชีวิตแบบนี้มีความหมายอะไร? เมื่อได้ตระหนักว่าฉันมีท่าทีดูแคลนต่อหน้าที่อย่างมาก และฉันไม่มีทางชดเชยความสูญเสียที่ตัวเองก่อไว้กับงานของคริสตจักรได้เลย ฉันก็รู้สึกสำนึกผิดและเศร้าเสียใจอย่างมาก ฉันตัดสินใจอย่างเงียบๆ ว่าฉันจะไม่ตามใจเนื้อหนังอีกต่อไป ฉันต้องเอาอย่างโนอาห์ และทำหน้าที่ของฉันอย่างสุดใจ ถือเป็นความรับผิดชอบส่วนตัวในการชูพระทัยของพระเจ้า ไม่ว่าจะเผชิญกับความลำบากยากเย็นอะไรก็ตาม
หนึ่งเดือนต่อมา ผู้นำตัดสินใจให้ฉันกลับไปทำหน้าที่ให้น้ำผู้เชื่อใหม่อีกครั้ง ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจมาก และตั้งใจแน่วแน่ว่าครั้งนี้ฉันจะทำหน้าที่อย่างถูกควรแน่นอน และเลิกทำอะไรตามอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ด้วยกังวลว่าตัวเองจะกลับไปในหนทางดิมอีก ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่บ่อยๆ ขอให้พระองค์ทรงนำและพินิจพิเคราะห์ฉัน และคอยเตือนตัวเองให้ปฏิบัติต่อหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง หลังจากนั้น ทุกครั้งที่ฉันจัดการชุมนุมกับผู้เชื่อใหม่ ฉันก็จะสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างอดทน โดยอิงจากปัญหาและความลำบากยากเย็นของพวกเขา ช่วยให้พวกเขาเข้าใจความจริงและแก้ไขมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาของพวกเขา ในบางครั้งที่การสามัคคีธรรมซ้ำๆ ไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ ฉันก็จะพิจารณาดูว่าจะพูดอะไรดีเพื่อให้พวกเขาเข้าใจ แล้วงานของฉันก็เริ่มเห็นผลลัพธ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกสบายใจและสงบสุข
การถูกปลดออกจากหน้าที่ ทำให้ฉันเข้าใจธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตัวเองได้ดีขึ้น และเปลี่ยนท่าทีของฉันที่มีต่อการทำหน้าที่ ฉันได้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผลสืบเนื่องจากการทำหน้าที่แบบสุกเอาเผากินและไม่แสวงหาความจริงคือความพินาศและการทำลายล้าง และมีความยำเกรงพระเจ้าอยู่ในหัวใจขึ้นมาบ้าง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการทรงนำและการให้ความรู้แจ้งของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย หลี่ หยาง, ประเทศจีน ผมถูกจับทันทีหลังตรุษจีนปี 2020 เพราะความเชื่อของผม ตอนที่ผมตรวจร่างกายตามระบบหลังถูกจับ พวกเขาเจอจุดดำบนปอดของผม...
โดย หย่ง สุย, เกาหลีใต้ ในการเลือกตั้งของคริสตจักรเมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้รับเลือกเป็นผู้นำค่ะ ตอนที่ทราบฉันตกใจมาก...
โดย ชู ซิ่น, เกาหลีใต้ ไม่นานมานี้ ฉันได้พบคริสเตียนชาวฟิลิปปินส์ชื่อเทเรซาทางออนไลน์ พอได้รู้จัก...
โดย ซ่งหยู่, เนเธอร์แลนด์ สองสามปีก่อน ฉันเริ่มประกาศข่าวประเสริฐ ฉันรู้ว่า การได้ทำหน้าที่นี้ เป็นการทรงยกชูจากพระเจ้า...