ในการปล่อยสถานะ ฉันจึงเป็นอิสระ

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

โดย ห้าว ลี่, ประเทศจีน

ฉันเข้ารับตำแหน่งผู้นำคริสตจักร เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2019 ค่ะ ครั้งหนึ่งฉันจำได้ หลังจบการสามัคคีธรรม คุณเหอพูดกับฉันว่า “สามัคคีธรรมของคุณให้ความรู้แจ้ง และช่วยแก้ปัญหาของฉันได้จริงๆ ค่ะ” คุณหลี่ก็พูดแทรกมาว่าเห็นด้วย พอฉันเห็นความเคารพและความชื่นชมในสายตาของพวกเขา ฉันก็ตื่นเต้นมาก แล้วก็คิดว่า “การถูกเลือกจากสมาชิกคริสตจักรมากมาย ให้มาเป็นผู้นำ ต้องเป็นเพราะฉันเหนือกว่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นแน่ๆ ไม่อย่างนั้น ทำไมพวกเขาถึงได้เลือกฉันล่ะ?” ดังนั้น เมื่อฉันแก้ไขปัญหาในการชุมนุมได้ คนอื่นๆ จึงชอบมาอยู่ใกล้ๆ ฉัน เมื่อพวกเขาต้องต่อสู้ดิ้นรน ก็จะแสวงหาฉันเพื่อให้สามัคคีธรรม ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติเหมาะในการเป็นผู้นำ ฉันรู้สึกทรงพลังและสูงส่งขึ้นเล็กน้อย ฉันชอบการที่ผู้อื่นเห็นคุณค่าและให้ความชื่นชม

วันหนึ่ง ตอนฉันไปร่วมชุมนุมของมัคนายกอย่างที่เคย คุณอู๋บอกกับฉันว่า ระยะนี้เธอใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยที่โอหัง เธออยากเป็นคนชี้ขาดท่ามกลางคนที่ทำงานด้วยกันเสมอ เธอรู้ว่าการเป็นแบบนั้นมันไม่ถูกต้อง แต่ดูเหมือนเธอจะหยุดไม่ได้ เธอขอให้เราแบ่งปันสามัคคีธรรมเพื่อช่วยเธอ ตอนที่ฉันกำลังจะเริ่ม มัคนายกด้านข่าวประเสริฐ คุณหาน ก็มาร่วมและเริ่มพูด แบ่งปันประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้า ตอนนั้นฉันสังเกตว่าคุณอู๋กำลังฟังอย่างตั้งใจ ถึงขนาดยิ้มออกมา เธอฟังและพยักหน้า เห็นแบบนี้แล้วทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดใจจริงๆ ฉันคิดว่า “ฉันเป็นผู้นำที่นี่ ฉันควรเป็นคนจัดการกับปัญหานี้ ทำไมคุณถึงแย่งมันไปจากฉันล่ะ? นั่นไม่ได้ทำให้ดูเหมือนฉันไม่รู้วิธีจัดการมันอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้คุณได้รับความสนใจแทนฉัน ไม่ได้ ฉันจะไม่ยอมให้คุณขโมยความสนใจไป ไม่อย่างนั้น ทุกคนจะคิดว่าเป็นถึงผู้นำ แต่ฉันกลับสู้มัคนายกไม่ได้ ฉันจำเป็นต้องรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเดี๋ยวนี้” ฉันไม่สนใจเลยว่าปัญหาของคุณอู๋จะได้รับการแก้ไขให้เป็นที่พอใจหรือไม่ ทันทีที่ได้ยินคุณหานพูด ฉันก็แทรกเข้าไปทันทีว่า “งานหลักในพระนิเวศของพระเจ้าตอนนี้คือการแบ่งปันข่าวประเสริฐ และเป็นคำพยานให้แก่พระเจ้า มาพูดถึงงานข่าวประเสริฐกันค่ะ ตอนนี้เรามุ่งไปที่การช่วยให้คนเข้าใจถึง นัยสำคัญของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และแบกรับภาระเรื่องนั้นไว้…” ขณะที่พูด ฉันก็จับตาดูคุณอู๋เพื่อดูการแสดงออกของเธอ จนได้เห็นว่าเธอตั้งใจฟังฉัน ฉันถึงรู้สึกสงบลงได้ แต่พอฉันพูดจบ ฉันก็ต้องแปลกใจ เมื่อคุณหานได้พูดต่อทันที เรื่องวิธีการแบ่งปันข่าวประเสริฐ ที่จริง สิ่งที่เธอพูดนั้นชัดเจนมาก เป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยคิดมาก่อน แต่พอฉันเห็นพี่น้องชายหญิงจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เธอกำลังพูด คอยฟังแล้วก็พยักหน้า ฉันรู้สึกหงุดหงิดจริงๆ และมันเหมือนกับเป็น ความอับอายขายขี้หน้าสำหรับฉัน ฉันไม่พอใจมาก แล้วก็คิดว่า “ฉันเป็นผู้นำ คุณเป็นมัคนายก ฉันจะทำงานให้เสร็จได้อย่างไร ถ้าคุณกุมความได้เปรียบแบบนี้? ถ้าทุกคน เริ่มเคารพยกย่องคุณ แล้วใครจะมาคิดถึงฉันเป็นคำรบสองล่ะ?” พอคิดแบบนี้แล้ว ฉันก็ตัดบทของคุณหานอย่างไม่ไว้หน้าใดๆ ทั้งสิ้น แล้วก็เริ่มแบ่งปันสามัคคีธรรมของฉันเอง ตอนนั้น มันน่าอึดอัดจริงๆ ค่ะ บ่ายวันนั้น คุณอู๋พูดขึ้นมาว่าขาดคนทำงานในการให้น้ำ ฉันกำลังจะตอบไป แต่ก่อนที่ฉันจะทันพูด คุณหานก็เริ่มพูดถึงประสบการณ์ของตัวเอง ในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนคน แล้วก็แนะนำวิธีการต่างๆ ให้นำไปใช้ ในตอนนั้นฉันก็เห็นว่าคุณอู๋คอยพยักหน้าเป็นระยะๆ ฉันรู้สึกอิจฉาจริงๆ ฉันคิดว่า “ฉันเป็นผู้นำ ฉันควรเป็นคนแบ่งปันสามัคคีธรรมและจัดการงานนี้ คุณไม่จำเป็นต้องมาทำเลย คุณคิดว่าฉันไม่รู้วิธีสามัคคีธรรมกับเธอหรือ? ดูเหมือนคุณคิดว่าตัวเองเก่งมาก คุณก็แค่อวดตัวไม่ดูตาม้าตาเรือ” เรื่องคุณหานฉันโมโหจริงๆ และคิดว่า “ต่อไปฉันควรต่อว่าเธอเรื่องงานเยอะๆ เพื่อให้เธอเห็นว่าตัวเองนั้นไม่ได้ดีเลิศอะไรเลย แล้วเธอจะได้ไม่อวดตัวมากนัก” จากนั้น ฉันก็ถามเธอว่า “คุณหาน งานข่าวประเสริฐของกลุ่มที่คุณจัดการ ได้ผลไม่ค่อยดีเลย คุณไม่ได้ตั้งใจทำหรือเปล่าคะ?” แล้วพอ คุณหานได้ยินคำถามนี้เข้า เธอก็ดูอึดอัดเล็กน้อย แล้วตอบกลับมาว่า “คุณคะ ฉันยอมรับสิ่งที่คุณพูดค่ะ ฉันจะลองคิดดูและหาข้อสรุปว่า ทำไมมันถึงไม่ค่อยประสบความสำเร็จ แล้วก็จะทบทวนตัวเองค่ะ” พอเห็นว่าเธอดูไม่สบายใจ ฉันรู้สึกพอใจกับตัวเองทีเดียว แล้วก็รีบพูดต่ออีกว่า “อย่างนั้นลองหาข้อสรุปนะคะว่า ทำไมสามัคคีธรรมแล้วจึงไม่ได้ผล แล้วทำการแก้ไขมา ในฐานะเพื่อนร่วมงาน คุณต้องเป็นตัวอย่างที่ดี และให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง ไม่งั้น จะจูงใจพี่น้องชายหญิงได้ยังไง?” คุณหานพยักหน้าตอบรับ ด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้มใจอยู่บ้างเล็กน้อย พอเห็นเธอคอตกแบบนั้น ฉันรู้สึกพอใจและคิดว่า “ความเก่งเมื่อกี้หายไปไหนล่ะ ทำอย่างกับว่าฉันสู้คุณไม่ได้? ดูตอนนี้สิ ดูไม่จืดเลยสักนิด ทีนี้พอใจหรือยังล่ะ?” ฉันรู้สึกถึงการกลับมามีความสำคัญ พูดกับเจ้าหน้าที่เช่นเคยและจัดการเตรียมการงานอื่นๆ เวลานั้น เป็นเวลามืดแล้ว คุณอู๋กับฉันมีงานอื่นที่ต้องเสวนากันในเย็นวันนั้น เดิมทีฉันอยากให้คุณหานอยู่เพื่อคอยฟังด้วย แต่ฉันก็กังวลว่าถ้าเธออยู่ด้วย เธอจะดึงความสนใจไปอีก ฉันจะดูเป็นคนไร้ความสามารถหรือเปล่า? ฉันคิดว่าให้เธอกลับบ้านไปดีกว่า ฉันเลยบอกคุณหานว่ากลับไปได้แล้ว คุณหานก็พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ แล้วเก็บของกลับไป ตอนที่ฉันเห็นเธอเดินจากไปด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ ฉันรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย เช้าวันต่อมา ระหว่างทางไปชุมนุม ฉันทบทวนถึงสภาวะตัวเองในช่วงสองวันนั้น ฉันรู้สึกว่าวันก่อนตัวเองไร้เหตุผลไปหน่อย ที่มีท่าทีเช่นนั้นต่อคุณหาน การสามัคคีธรรมเรื่องความจริงของเธอนั้นดีทีเดียว พอเธอได้รับความสนใจ ฉันก็เลยหงุดหงิด ฉันจึงทำทุกอย่างเพื่อยับยั้งเธอไว้ ฉันคิดว่าตอนเธอกลับไป เธอคงจะไม่พอใจ เพราะรู้สึกถูกฉันจำกัดไว้ แต่ในตอนนั้น ฉันแค่ปล่อยความคิดนี้ผ่านไป ไม่ได้ทบทวนอะไรไปกว่านั้น ฉันแค่ปล่อยมันผ่านไปเฉยๆ

หลังจากผ่านไปอีกหลายวัน ฉันได้พูดถึงวิธีที่ฉันปฏิบัติต่อคุณหาน ให้คุณหลี่ที่ทำงานร่วมกับฉันฟัง เธอจัดการฉัน โดยบอกว่า “คุณต้องใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อแก้ไข นี่คืออุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ คุณเป็นผู้นำ แต่กลับบีบบังคับและกดข่มคนที่เหนือกว่าตัวคุณ แบบนี้มันรับไม่ได้! เช่นนั้นคนที่เก่งกว่าในพระนิเวศ ไม่ถูกคุณควบคุมกันหมดหรือ?” ได้ยินแบบนี้ ฉันก็เสียใจมาก และตอนนั้น ฉันจึงได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันได้พิจารณาสิ่งที่คุณหลี่พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วก็ย้อนคิดถึงปฏิกิริยาที่ฉันมีต่อคุณหาน ถึงสิ่งที่ฉันได้เปิดเผย ฉันมักจะตัดเธอออกไปเพื่อไม่ให้เธอเด่นกว่าฉัน ฉันยับยั้งเธอไว้ไม่ใช่เหรอ? นั่นคือการทำชั่วค่ะ! ยิ่งฉันนึกถึงพฤติกรรมตัวเอง ก็ยิ่งรู้สึกกลัว ฉันจึงรีบมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ แล้วอธิษฐาน “พระเจ้า! การจัดการกับข้าพระองค์จากคุณหลี่ ข้าพระองค์ได้ตระหนัก ว่าการบีบและตัดคุณหานออกไป คือการเปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์! ด้วยหน้าที่ที่สำคัญเช่นนี้ ถ้าข้าพระองค์ไม่แก้ไขอุปนิสัยนี้ ข้าพระองค์จะทำความชั่วขนาดไหนก็หารู้ไม่! ข้าแต่พระเจ้า อุปนิสัยนี้ช่างน่ากลัวนัก ข้าพระองค์อยากเปลี่ยน—โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด”

จากนั้น ฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หนึ่งในคุณลักษณะเฉพาะที่เห็นได้ชัดที่สุดในแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ก็คือว่า พวกเขาเป็นเหมือนพวกใช้อำนาจเด็ดขาดที่กำลังดำเนินระบอบเผด็จการของพวกเขาเอง กล่าวคือ พวกเขาไม่ฟังผู้ใด พวกเขาดูแคลนทุกคนและสิ่งที่ผู้ใดอื่นกล่าว ทำ ความรู้ความเข้าใจที่ผู้ใดอื่นมี ทัศนคติของผู้ใดอื่น จุดแข็งของผู้ใดอื่น—ในสายตาของพวกเขาแล้ว ผู้อื่นทั้งหมดล้วนด้อยกว่าพวกเขา สำหรับพวกเขาแล้ว ดูเหมือนว่าไม่มีใครเลยที่เหมาะที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในสิ่งที่พวกเขาต้องการจะทำ อีกทั้งคนเหล่านั้นก็ยังไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะให้หารือหรือให้คำแนะนำ—นั่นคืออุปนิสัยประเภทที่เป็นของศัตรูของพระคริสต์ ผู้คนบางคนพูดว่า นี่คือการเป็นผู้ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ต่ำ—นั่นเป็นแค่สภาวะความเป็นมนุษย์ต่ำธรรมดาทั่วไปได้อย่างไรเล่า? นี่เป็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตานโดยทั้งหมดทั้งสิ้น นี่เป็นอุปนิสัยประเภทที่ดุร้ายอย่างสูงสุด เหตุใดหรือเราจึงพูดว่าอุปนิสัยของพวกเขาดุร้ายอย่างสูงสุด? พวกศัตรูของพระคริสต์คิดว่าพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า รวมทั้งผลประโยชน์แห่งคริสตจักรเป็นของพวกเขาเองโดยทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเขาที่ควรได้รับการบริหารจัดการโดยพวกเขาโดยไม่มีผู้ใดอื่นมาแทรกแซง และดังนั้น สิ่งเดียวที่พวกเขานึกถึงในยามที่ทำพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้าก็คือผลประโยชน์ของพวกเขาเอง สถานะและเกียรติยศของพวกเขาเอง พวกเขาปฏิเสธผู้ใดก็ตามที่ในสายตาของพวกเขาแล้วเป็นภัยคุกคามต่อสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขา ทั้งนี้ พวกเขาปราบปรามและขับไล่ไสส่งคนเหล่านั้น พวกเขาถึงขั้นปราบปรามและกีดกันผู้คนที่มีประโยชน์และเหมาะสมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่พิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งออกจากกลุ่ม พวกเขาไม่มีความคำนึงถึงแม้แต่น้อยให้กับพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า อีกทั้งไม่ยังไม่มีความคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หากผู้ใดอาจเป็นภัยคุกคามต่อสถานะของพวกเขา ไม่นบนอบต่อพวกเขา ไม่สนใจพวกเขาแต่อย่างใดเลย เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมปราบปรามและกีดกันผู้คนเหล่านั้นออกจากกลุ่ม และรักษาระยะห่างจากผู้คนเหล่านั้น พวกเขาไม่เปิดโอกาสให้ผู้คนเหล่านั้นเป็นหุ้นส่วนของพวกเขา และจะไม่มีวันอนุญาตให้ผู้คนเหล่านั้นได้ตำแหน่งอันใดที่มีนัยสำคัญ บทบาทอันใดที่สำคัญ ภายในขอบเขตอำนาจของพวกเขา ไม่สำคัญว่าผู้คนเหล่านี้ทำความประพฤติดีอันใด—ความประพฤติซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพระนิเวศของพระเจ้า—พวกศัตรูของพระคริสต์จะลองพยายามอย่างหนักที่สุดที่จะปิดบังความประพฤติเหล่านี้ พวกเขาถึงกับจะบิดเบือนข้อเท็จจริงทั้งหลายเพื่ออ้างรับเอาความน่าเชื่อถือในสิ่งที่ดีและผลักการทำผิดไปตกกับผู้อื่นเสียด้วยซ้ำ โดยที่พวกเขาหยุดเหล่าพี่น้องชายหญิงไม่ให้มองเห็นจุดแข็งและคุณธรรมของผู้คนอื่นๆ เพื่อกีดกันไม่ให้ผู้คนเหล่านี้ได้รับการกล่าวชมเชยและรับรองจากเหล่าพี่น้องชายหญิงและคุกคามตำแหน่งของพวกเขา ที่มากไปกว่านั้นก็คือ พวกศัตรูของพระคริสต์ยังปั้นแต่งคำโกหกและพูดข้อเท็จจริงทั้งหลายเกินจริงท่ามกลางเหล่าพี่น้องชายหญิงด้วยเช่นกัน โดยพูดถึงผู้คนในทางที่แย่เพื่อทำให้พวกเขาหดหู่ใจ หาข้อแก้ตัวเพื่อข่มปรามและกีดกันพวกเขาออกจากกลุ่ม โดยไม่สำคัญว่าผู้คนเหล่านี้ทำงานใด ดังนั้น พวกศัตรูของพระคริสต์จึงมักแสดงการตัดสินเกี่ยวกับผู้คนเหล่านี้เช่นกัน โดยพูดว่าพวกเขาโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ ว่าพวกเขาชอบอวดโอ้ ว่าพวกเขาเก็บงำความมักใหญ่ใฝ่สูง ในข้อเท็จจริงแล้ว ผู้คนเหล่านี้ล้วนแต่มีจุดแข็ง พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้คนที่รักความจริง และควรค่าแก่การเลี้ยงดู ในตัวพวกเขาพบข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยเป็นการสำแดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเป็นครั้งคราว ทั้งนี้ พวกเขาล้วนแต่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ค่อนข้างดี โดยรวมแล้ว ผู้คนเหล่านี้เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาสอดคล้องกับหลักธรรมสำหรับบรรดาผู้ปฏิบัติหน้าที่ แต่ในสายตาของพวกศัตรูของพระคริสต์นั้น พวกเขาคิดว่า ‘ไม่มีทางที่ฉันจะทนยอมรับเรื่องนี้ คุณต้องการมีบทบาทภายในแดนครอบครองของฉัน เพื่อแข่งขันกับฉัน นั่นเป็นไปไม่ได้ จงอย่าแม้แต่จะคิดถึงเรื่องนั้น คุณมีความสามารถมากกว่าฉัน พูดจาฉะฉานกว่าฉัน มีการศึกษามากกว่าฉัน และเป็นที่นิยมมากกว่าฉัน ฉันจะทำอย่างไรหากคุณขโมยความดีความชอบของฉันไป? คุณต้องการให้ฉันทำงานเคียงคู่ไปกับคุณกระนั้นหรือ? จงอย่าแม้แต่จะคิดถึงเรื่องนั้น!’ พวกเขากำลังพิจารณาถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าอยู่หรือไม่? ไม่ ทั้งหมดที่พวกเขากำลังนึกถึงก็คือวิธีที่จะสงวนสถานะของพวกเขาเองไว้ ดังนั้น พวกเขาสู้ทำอันตรายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียดีกว่าที่จะใช้ผู้คนเหล่านี้ นี่คือการกีดกันออกจากกลุ่ม(“พวกเขาคงจะให้ผู้อื่นเชื่อฟังเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) จากพระวจนะของพระเจ้า อุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์มีลักษณะเด่นคือ เห็นอำนาจเป็นชีวิตเรา มักจะอยากผูกขาดหน้าที่ไว้คนเดียว อยากควบคุมจัดการ เวลาที่มีคนมาคุกคามสถานะและอำนาจของเรา หรือเหนือกว่าเรา เราก็พร้อมที่จะขัดพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า คอยตัดออกยับยั้งไว้ การทบทวนตัวเอง ตั้งแต่เข้ารับหน้าที่ผู้นำ ฉันไม่ได้ตั้งใจเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบของฉันเลย ว่าควรจะทำงานให้สัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างไร แต่กับเรื่องเกียรติยศ ที่ฉันได้รับมาจากสถานะ ฉันไม่อยากให้ใครทำผลงานได้ดีกว่า การสามัคคีธรรมเรื่องความจริงของคุณหาน แก้ไขปัญหาของคุณอู๋ได้ ก็แสดงว่าเธอรับเอาเป็นภาระ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นบวก เพียงแต่การที่สภาวะของคุณอู๋ดีขึ้นทำให้ฉันไม่มีความสุข และฉันกลับกลัวว่าคุณหานจะดูดีกว่าฉัน ว่าฉันจะไม่ได้อยู่ในหัวใจของผู้อื่น ว่าพวกเขาจะไม่นับถือฉันอีกต่อไป ฉันจึงพยายามทำทุกอย่าง เพื่อดึงคุณหานลงมา จงใจเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นผู้อื่นเห็นชอบการสามัคคีธรรมของเธอ ใช้ประโยชน์จากสถานะและสิทธิอำนาจ ไปต่อว่าเธอเรื่องงาน จงใจทำให้เธอเจอเรื่องยากและทำให้เธอดูแย่ และถ้าคนอื่นยังไม่เลิกนับถือเธอ ฉันก็จะไม่ปล่อยไป ฉันตระหนักว่า เพื่อจะให้ตำแหน่งฉันมั่นคง ฉันถึงกับบังคับและโจมตีผู้เสาะหาความจริง การใช้กลวิธีที่น่ารังเกียจและชั่วร้ายเช่นนี้ คือการเปิดเผยอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์มิใช่หรือ? จากนั้น ฉันก็นึกถึงศัตรูของพระคริสต์ ที่คริสตจักรขับไล่ไปเมื่อวันก่อน การแสดงออกของเขาก็คือ คอยบีบและปฏิเสธ คนที่แสดงความเห็นที่แตกต่างหรือทำสิ่งใดได้ดีกว่า ไม่สนใจพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า สุดท้ายเขาก็ถูกขับไล่ เพราะกระทำความชั่วต่างๆ นานา ฉันทบทวนทุกสิ่งที่ฉันได้ทำต่อคุณหาน นี่ฉันอยู่บนเส้นทางเดียวกับศัตรูของพระคริสต์คนนั้นมิใช่หรือ? แล้วสุดท้าย ฉันก็ได้เห็น ว่าอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ของฉันมันช่างชั่วร้ายเหลือเกิน

ต่อมาฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่ามันจะสำคัญหรือไม่ ก็ควรมีผู้คนอยู่ตรงนั้นเสมอเพื่อช่วยเหลือเจ้า ให้คำชี้แนะ คำแนะนำแก่เจ้า และช่วยเจ้าในสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้ เจ้าจะทำสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องมากขึ้น และย่อมจะเป็นการยากขึ้นที่จะทำความผิดพลาด เจ้าจะมีแนวโน้มที่จะหลงทางน้อยลง—ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลดีทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้ การรับใช้พระเจ้าไม่ใช่เรื่องเล็ก การไม่แก้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าอาจทำให้เจ้าตกอยู่ในภัยอันตรายได้! พวกศัตรูของพระคริสต์นั้นโง่เง่า พวกเขาไม่ตระหนักการนี้ พวกเขาคิดว่า ‘ฉันได้เดือดร้อนมามากพอแล้วกับการยึดครองสิทธิอำนาจของตัวเอง เหตุใดหรือฉันจึงจะแบ่งปันสิทธิอำนาจนั้นกับใครอื่นเล่า? การมอบสิทธิอำนาจนั้นให้ผู้อื่นหมายความว่าฉันจะไม่มีสิทธิอำนาจอันใดสำหรับตัวฉันเอง มิใช่หรือ? ฉันจะสามารถโดดเด่นได้อย่างไรหากฉันไม่มีสิทธิอำนาจ?’ พวกเขาไม่ตระหนักว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงแบ่งให้คือหน้าที่ ทั้งนี้ พระองค์ไม่ประทานสิทธิอำนาจให้ผู้คน การปฏิบัติต่อหน้าที่ประหนึ่งเป็นสิทธิอำนาจเป็นภัยอันตรายอย่างยิ่ง ในวันนี้ เป็นพระเจ้านั่นเองที่เจ้ารับใช้ และเจ้าก็ทำงานอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า—นั่นหมายความว่าอะไรหรือ? นั่นหมายความว่าเจ้าไม่รับใช้บุคคลใดเลย หากเจ้าได้ทำงานให้กับผู้คน เจ้าก็คงจะได้รับค่าตอบแทน เจ้าก็คงจะได้รับเงินเดือน เจ้าก็คงจะรับเช็คค่าจ้าง แต่การทำงานให้กับพระนิเวศของพระเจ้าล่ะ? แน่นอนว่า การพูดว่าเจ้ากำลังทำสิ่งทั้งหลายให้กับพระเจ้านั้นออกจะไม่ถูกต้องแม่นยำไปสักนิด ทั้งนี้ นั่นเป็นการไปไกลเกินไป นั่นเป็นการพูดเกินจริงไปหน่อย การทำงานในพระนิเวศของพระเจ้าหมายถึงการยอมรับพระบัญชา การยอมรับความรับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์—เป็นความรับผิดชอบซึ่งเป็นบางสิ่งที่จริงจัง ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ความรับผิดชอบนั้นจริงจังแค่ไหนกันแน่? ในแง่รองนั้น นั่นเกี่ยวข้องกับการที่ว่าเจ้ามีความสามารถที่จะได้รับความจริงในชั่วชีวิตของเจ้าหรือไม่ และว่าพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นเจ้าเป็นอย่างไรบนพื้นฐานของสิ่งที่เจ้าทำ ส่วนในแง่หลักนั้น นั่นเกี่ยวข้องกับชะตากรรมและโชคชะตาของเจ้าในชาติหน้า ทั้งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำในชั่วชีวิตนี้นั้นนับยอดรวมโดยพระเจ้า ผู้ซึ่งทรงแบ่งระดับเจ้า ทำการเก็บบันทึก ให้การประเมินแก่เจ้า—และหลังจากที่ประเมินเจ้าแล้ว ในท้ายที่สุดแล้วพระเจ้าก็ทรงตัดสินปลายทางของเจ้า บนพื้นฐานของสิ่งที่ถูกแสดงออกมาให้เห็นแล้วในตัวเจ้าโดยตลอดทั้งชั่วชีวิตของเจ้า(“พวกเขาคงจะให้ผู้อื่นเชื่อฟังเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็น ว่าต้องร่วมมือกับพี่น้องชายหญิงอย่างกลมเกลียว และรับฟังความเห็นพวกเขา เพื่อรับใช้น้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วฉันจะได้ไม่หลงทาง พระเจ้าประทานความสามารถให้คนเราแตกต่างกัน แต่ละคนก็มีความเข้าใจของตัวเอง คนคนหนึ่งย่อมมีประสบการณ์จำกัด มองเห็นอะไรได้จากมุมมองเดียว การบรรลุผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่ของเรา เราทุกคนต้องร่วมมือกัน ต้องแบ่งปันความกระจ่างและความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แบบนี้เราจะได้ชดเชยส่วนที่อีกฝ่ายขาดไปได้ คุณหานช่วยแนะนำวิธีที่ดี ซึ่งชดเชยได้พอดีกับส่วนที่ฉันขาดไป เป็นเรื่องดีจริงๆ! แต่ฉันเห็นสถานะฉันสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ฉันก็แค่อยากจะอวดตัว ให้ผู้อื่นมานับถือและชื่นชมฉัน การได้เห็นคนอื่นแสดงความเห็นที่ต่างออกไป หรือเหนือกว่าฉัน ฉันก็จะตัดพวกเขาออก และยับยั้งพวกเขาไว้ จนกว่าสิทธิอำนาจของฉันจะทำให้ทุกคนกลัว ฉันเห็นว่า การเปิดเผยพฤติกรรมเช่นนี้ ฉันอยู่ด้วยพิษของซาตาน อย่างเช่น “ทั่วทั้งจักรวาลนี้ เราเท่านั้นที่ครองราชย์สูงสุด” และ “จ่าฝูงมีได้เพียงหนึ่ง” ฉันไม่สนใจว่าเราจะมีการชุมนุมที่ดีหรือไม่ หรือพี่น้องชายหญิงจะแก้ปัญหาของพวกเขาได้หรือไม่ ไม่ได้พิจารณาเลยว่า จะเป็นอันตรายต่อพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือว่าคุณหาน จะรู้สึกถูกจำกัดหรือเจ็บปวด ฉันได้เห็นว่า การอยู่ด้วยพิษซาตานเหล่านี้ มันชั่วร้ายและน่ารังเกียจแค่ไหน ฉันรับใช้เป็นผู้นำคริสตจักร แต่ไม่อาจพาพี่น้องชายหญิงไปอยู่เฉพาะพระพักตร์ ไม่ช่วยให้พวกเขาทำความเข้าใจต่อพระเจ้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่ฉันกลับอยากใช้ประโยชน์จากหน้าที่ของตัวเอง เพื่อเอาไปบริหารการควบคุมเหนือพวกเขาแทน นี่ฉันพยายามพรากผู้คนของพระเจ้า ไปจากพระองค์มิใช่หรือ? พระอุปนิสัยของพระเจ้าจะไม่ยอมทนต่อการล่วงเกิน ฉันรู้ว่าถ้าฉันอยู่ในเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ และไม่กลับใจ ท้ายที่สุดฉันก็จะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า และถูกกำจัดทิ้ง พอย้อนคิดไปอีกครั้งหนึ่งว่าฉันปฏิบัติกับคุณหานอย่างไร ฉันก็เห็นว่าตัวเองทำตัวน่าอับอายแค่ไหน ได้เห็นว่าอุปนิสัยของฉันช่างร้ายกาจ ขาดความเป็นมนุษย์แค่ไหน ถึงจุดนั้น ฉันรู้สึกคลื่นไส้และดูหมิ่นตัวเอง ฉันอยากเสาะหาเส้นทางการปฏิบัติ เพื่อแก้ไขอุปนิสัยเยี่ยงซาตานให้เร็วที่สุด

ต่อมาฉันก็ได้ดูวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มีหลักธรรมสำหรับการกระทำของพระเจ้า พระองค์ทรงอารักขาผู้คน คำนึงถึงพวกเขา พระองค์ทรงรักพวกเขา และปรารถนาให้พวกเขาได้ในสิ่งที่ดีที่สุด ทั้งนี้ นี่คือแหล่งที่มาและเจตนารมณ์ดั้งเดิมเบื้องหลังทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำ ในขณะเดียวกัน ซาตานก็โอ้อวดตัวมันเอง มันบังคับสิ่งทั้งหลายให้เกิดกับผู้คน แล้วก็ทำให้พวกเขาเคารพบูชามัน ผู้คนถูกมันหลอกให้หลงกลและลดคุณค่าลง และพวกเขาก็กลายเป็นปีศาจที่มีชีวิตทีละน้อย ซาตานไม่ปรารถนาให้ผู้คนได้ในสิ่งที่ดีที่สุด มันไม่ใส่ใจว่าพวกเขามีชีวิตอยู่หรือตาย มันคิดถึงตัวมันเองเท่านั้น คิดถึงผลกำไรและความพึงพอใจของตัวมันเอง มันไม่มีทั้งความรักและความสงสาร นับประสาอะไรที่จะมีความยอมผ่อนปรนและความเข้าใจ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าได้ทรงทำพระราชกิจมากมายเหลือเกินในตัวมนุษย์—แต่พระองค์เคยตรัสถึงพระราชกิจนั้นหรือไม่ พระองค์เคยลองพยายามที่จะอธิบายพระองค์เอง ที่จะแก้ต่างให้แก่พระองค์เองหรือไม่? ไม่เคย…พระเจ้าถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้น และซาตานก็โอ้อวดตัวมันเอง มีความแตกต่างหรือไม่? จะสามารถบรรยายซาตานว่าถ่อมใจได้หรือไม่? (ไม่) เมื่อตัดสินโดยธรรมชาติและแก่นแท้ที่เลวของมัน มันคือขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง ทั้งนี้ คงจะเป็นเรื่องพิเศษเหนือธรรมดาสำหรับซาตานที่จะไม่โอ้อวดตัวมันเอง จะสามารถเรียกซาตานว่า ‘ถ่อมใจ’ ได้อย่างไรกัน? ‘ความอ่อนน้อมถ่อมตน’ เป็นการพูดถึงพระเจ้า พระอัตลักษณ์ แก่นแท้ และพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสูงส่งเลิศเลอและทรงเกียรติ แต่พระองค์ไม่ทรงอวดโอ้เลย พระเจ้าถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้น พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้ผู้คนเห็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำแล้ว แต่ขณะที่พระองค์ทรงพระราชกิจในความเลือนรางดังกล่าว มนุษยชาติก็ได้รับการจัดเตรียมไว้ให้ การบำรุงเลี้ยง และการทรงนำอย่างไม่หยุดหย่อน—และทั้งหมดนี้จัดการเตรียมการโดยพระเจ้า การที่พระเจ้าไม่ทรงแพร่งพรายสิ่งเหล่านี้เลย ไม่ทรงพาดพิงถึงสิ่งเหล่านี้เลย นั่นใช่ความซ่อนเร้นและความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่? พระเจ้าถ่อมพระทัยแน่นอนว่าเพราะพระองค์ทรงมีความสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ไม่ทรงพาดพิงถึงหรือแพร่งพรายสิ่งเหล่านี้เลย ไม่ทรงเสวนาสิ่งเหล่านี้กับผู้คน เจ้ามีสิทธิอะไรหรือที่จะพูดถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนในเมื่อเจ้าไม่สามารถทำสิ่งทั้งหลายดังกล่าวได้? เจ้าไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นเลยไม่ว่าสิ่งใด แต่กระนั้นกลับดึงดันที่จะรับเอาความน่าเชื่อถือสำหรับสิ่งเหล่านั้น—นี่เรียกว่าการไร้ยางอาย(“พวกเขาชั่ว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (ภาคที่สอง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) ฉันเห็นจากบทตอนนี้ว่าพระเจ้าทรงซ่อนเร้นและถ่อมพระองค์เพียงใด พระองค์คือพระผู้สร้าง ทรงปฏิบัติพระราชกิจ ทรงนำและมอบทุกสิ่งที่เราต้องการเพื่อความอยู่รอด แต่พระองค์ก็ไม่เคยวางพระองค์ว่าเป็นพระเจ้า หรืออวดพระองค์เอง ไม่ทรงเรียกร้องให้ทุกคนนับถือหรือชื่นชมพระองค์ ทรงแสดงความจริงอย่างรอบคอบเงียบๆ ทรงงานเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด แก่นแท้ของพระเจ้าช่างน่าชื่นชม ดีเหลือเกิน! แต่ไม่ว่าฉันจะไปที่ไหน ฉันกลับอยากอวดตัวเอง เมื่อฉันได้รับหน้าที่เป็นผู้นำ ฉันก็วางตัวเองบนแท่น ไม่ยอมลงมา ความคิดของคนอื่น ฉันก็ไม่รับฟัง ไม่ยอมให้ใครทำได้ดีกว่าฉันด้วย ฉันช่างโอหังเหลือเกิน! ฉันเป็นผู้นำ แต่ไม่ได้ช่วยเหลือปัญหาของพวกเขา แต่กลับยับยั้งและตัดคนที่เสาะหาความจริงออกไป ไม่เพียงไม่ให้การอบรมหรือผลประโยชน์ใดๆ แก่พวกเขา แต่ฉันยังเรียกร้องให้ทุกคนมาเลื่อมใสอีก ฉันเห็นแล้วว่า ฉันไร้ยางอายเหลือเกิน ฉันขาดมโนธรรมและเหตุผล เป็นคนที่น่ารังเกียจ เมื่อรู้เช่นนี้ ฉันก็รีบไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และอธิษฐานว่า “พระเจ้า! ขอบพระทัยที่ทรงสร้างสภาพแวดล้อม เพื่อเปิดโปงอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ เพื่อให้ข้าพระองค์ได้รู้จักตัวเอง เห็นถึงตัวตนจริงๆ ว่าที่ข้าพระองค์เดินไปคือเส้นทางที่ผิด พระเจ้า ข้าพระองค์อยากกลับใจ ไปยังที่ที่ถูกต้องของข้าพระองค์ และทำหน้าที่อย่างที่ควร โปรดทรงพิพากษาและตีสอนเพิ่มอีก เพื่อให้ข้าพระองค์ละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนี้” จากนั้นฉันไปพบกับทุกกลุ่ม เพื่อแบ่งปันวิธีของคุณหานแก่ทุกคน จากนั้นก็เปิดเผย จำแนก การแสดงออกถึงความเสื่อมทรามของฉัน ในการแข่งขันเพื่อสถานะและอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ การนำไปสู่การปฏิบัตินี้ ทำให้ฉันรู้สึกสงบและมีสันติสุขอย่างมาก

ในไม่ช้า พระเจ้าก็ทรงสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อทดสอบฉัน วันหนึ่ง ฉันได้ประชุมกับกลุ่มผู้นำสองสามคน รวมถึงคุณหยางที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ตั้งแต่แรก เธอก็ดูกระตือรือร้นมาก มีส่วนร่วมในการตอบคำถามของคนอื่นอย่างแข็งขัน ตอนนั้นเธอเป็นจุดสนใจตลอดเวลา มีช่วงหนึ่ง คุณหลิวกับฉันก็คุยกันว่า จะแยกการชุมนุมสำหรับผู้เชื่อใหม่ พอฉันพูดจบ คุณหยางก็ให้คำแนะนำที่ต่างออกไปทันที ถึงแม้ตอนนั้นฉันจะรู้สึกว่าเธอพูดถูก แต่เมื่อฉันเห็นพี่น้องชายหญิงต่างก็เห็นด้วยกับเธอ และสายตาของทุกคนก็ย้ายไปจับจ้องที่เธอ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเสียหน้า ฉันคิดว่า “ตลอดการชุมนุมนี้ เธอดูมีชีวิตชีวามาก มีส่วนร่วมกับคำถามของทุกคน เป็นที่โดดเด่น ฉันรับบทเป็นตัวประกอบ ฉันเป็นผู้นำ แต่ฉันเหมือนเป็นของประดับฉากไม่ใช่หรือ?” ทันทีที่ฉันคิดแบบนี้ ฉันก็ตระหนักว่าฉันกำลังต่อสู้เพื่อสถานะ เพื่อให้ได้รับความสนใจอีกครั้ง ฉันจึงรีบมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า อธิษฐานต่อพระองค์อย่างเงียบๆ ว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์เห็นสถานการณ์ที่พระองค์ทรงสร้างในวันนี้ ข้าพระองค์ยินดีปล่อยวางตัวเอง และทำงานกับคุณหยางให้ดี โปรดทรงนำให้ข้าพระองค์ เปลี่ยนสภาวะที่ไม่ถูกต้องนี้ด้วยเถิด” ทันใดนั้น ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “จงเลิกมองไม่เห็นหัวผู้อื่นและพักวางยศถาบรรดาศักดิ์ของเจ้าไว้ก่อน จงอย่าใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้ จงปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้เหมือนไม่ใช่สิ่งใดที่สำคัญเลย และจงอย่ามีทรรศนะต่อสิ่งเหล่านี้ดุจดังเครื่องหมายแห่งสถานะ ดุจดังมาลัยเกียรติยศ จงเชื่ออยู่ในหัวใจของเจ้าว่าเจ้าและผู้อื่นนั้นเท่าเทียมกัน ทั้งนี้ จงเรียนรู้ที่จะวางตัวเองในระดับที่มีภาษีไม่ต่างกับผู้อื่น และจงมีความสามารถถึงขั้นที่จะค้อมตัวลงเพื่อขอให้ผู้อื่นแสดงความคิดเห็นของพวกเขา จงมีความสามารถที่จะรับฟังอย่างจริงจังตั้งใจ อย่างใส่ใจ และอย่างสนใจในสิ่งที่ผู้อื่นจำเป็นต้องพูด ในหนทางนี้ เจ้าจะทำให้เกิดการให้ความร่วมมืออันสันติสุขระหว่างตัวเจ้าเองและผู้อื่น(“พวกเขาคงจะให้ผู้อื่นเชื่อฟังเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่หนึ่ง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) บทตอนนี้ได้ให้เส้นทางการปฏิบัติกับฉัน ฉันคิดว่า ไม่ควรกลุ้มใจเรื่องความมีหน้ามีตาและสถานะ หรือแข่งขันกับผู้อื่นเพื่อชื่อเสียง คุณหยางพูดถูกแล้ว ดังนั้นฉันควรยอมรับคำแนะนำของเธอ แบบนั้นจะดีต่อพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้าที่สุด เมื่อเธอพูดจบแล้ว ฉันก็แสดงการเห็นด้วย แล้วก็บอกกับพี่น้องชายหญิงว่า ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเธอ ฉันยังละทิ้งความไม่พอใจที่มีต่อเธอ ในการชุมนุมนั้น ทุกคนต่างแบ่งปันความคิดเห็นของตัวเองอย่างเปิดเผย เป็นการประชุมที่มีประสิทธิผลจริงๆ ค่ะ ได้เห็นแบบนี้ ฉันก็มีความสุขมาก ซาบซึ้งยิ่งต่อการนำของพระเจ้า ฉันตระหนักว่า การเต็มใจให้ความร่วมมือกับผู้อื่น ไม่ถูกสถานะที่จำกัดมาควบคุม มันเป็นอิสระมากจริงๆ

หลังจากนั้น ฉันเห็นว่าตัวเองเคยคอยกดขี่และตัดคนอื่นออกเพื่อยกสถานะตัวเอง แบบศัตรูของพระคริสต์ ได้เห็นว่าตัวเอง ถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานควบคุม และอาจหลงทาง กระทำความชั่ว ต้านทานพระเจ้าได้ทุกเมื่อ การไม่เสาะหาความจริงนั้นอันตรายเหลือเกิน! ด้วยการพิพากษาจากพระวจนะของพระเจ้า และการเปิดเผยข้อเท็จจริง ทำให้ฉันเห็นชัดแล้วว่า ฉันอยู่บนเส้นทางที่ผิด และสามารถเปลี่ยนไปได้เล็กน้อย ฉันยังมีประสบการณ์จริง ว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเราอย่างแท้จริง ตราบใดเราเสาะหาความจริงอย่างสุดหัวใจ ทำงานเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พระเจ้าจะทรงนำทาง ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger