ฉันพบชีวิตที่สุขสันต์อย่างแท้จริงแล้ว
ฉันได้รับการเลี้ยงดูมาในครอบครัวชนบทธรรมดา แม้เราไม่มีฐานะร่ำรวย แต่ฉันก็ยังมีความสุขมาก แม่ของฉันมีบุคลิกร่าเริง ท่านนิสัยดีและมีความสามารถ และดูแลบ้านให้เรียบร้อยสมบูรณ์ พ่อของฉันเอาใจใส่และเป็นห่วงเป็นใยแม่เป็นพิเศษ และอยู่ร่วมกันผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 60 ปี ฉันจำไม่ได้เลยว่าเคยเห็นพวกท่านทะเลาะกัน พอฉันโตเป็นผู้ใหญ่ ก็หวังว่าฉันจะได้พบผู้ชายที่ดูแลครอบครัวเหมือนพ่อของฉัน เป็นไปดังที่หวัง ฉันได้พบกับสามีที่น่าพอใจ เราไปทำงานด้วยกัน กลับบ้านด้วยกัน และร่วมกันทำงานบ้านและเลี้ยงลูก สามีของฉันก็เอาใจใส่ฉันมากเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่สุขภาพของฉันค่อนข้างย่ำแย่ ตอนที่ฉันล้มป่วย เขากังวลมากกว่าฉันซะอีก เขาพาฉันไปโรงพยาบาลและดูแลฉันเต็มที่ ตลอดหลายปีที่เราแต่งงานกันมา เราไม่ค่อยมีความเห็นขัดแย้งกัน และเราให้อภัยกันและกันได้ ฉันยังนำพาครอบครัวดำเนินต่อไปอย่างขันแข็ง โดยลุล่วงภาระหน้าที่ของฉันในฐานะภรรยา ฉันรู้สึกว่าฉันมีชีวิตสมรสที่สุขสันต์ ว่าฉันเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก ฉันยังฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าได้อยู่ใกล้ชิดกับสามีเช่นนี้ตลอดไป ว่าเราเป็นคู่ครองกันชั่วชีวิต
ในปี 2017 ฉันยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าการติดตามพระเจ้าเป็นเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต และฉันก็มีความกระตือรือร้นอย่างมาก โดยยอมรับหน้าที่ใดก็ตามที่คริสตจักรจัดแจงไว้ให้ฉันและนบนอบ ในตอนแรก หน้าที่ฉันไม่ยุ่งและไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตครอบครัว และสามีของฉันก็สนับสนุนความเชื่อในพระเจ้าของฉัน ในปี 2020 ฉันกลายมาเป็นผู้นำคริสตจักร แล้วหน้าที่ของฉันก็ยุ่งมากขึ้น ทุกวัน ฉันจะออกจากบ้านเร็วและกลับดึก แล้วสามีของฉันก็เลยถูกปล่อยให้ดูแลทุกเรื่องเล็กใหญ่ทั้งบ้าน เขาเริ่มคัดค้านฉันที่เชื่อในพระเจ้า กระทั่งติเตียนฉัน บอกว่า “คุณเกษียณแล้วยุ่งกว่าเมื่อตอนทำงานอีก!” เพื่อให้สามีพอใจ ฉันจึงใช้เวลาทั้งเช้าและเย็นเตรียมอาหารให้เขา ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งแม่ของสามีล้มป่วยและเข้าโรงพยาบาล แล้วสามีของฉันก็อยู่เฝ้าท่านที่นั่นราว 20 กว่าวัน เขาเหนื่อยมากจนมีถุงใต้ตา และซูบผอมไปมาก ฉันนำอาหารไปให้พวกเขาทุกเช้า แต่สามีก็ดูไม่พอใจที่เจอฉัน เห็นเขาเหนื่อยมาก ฉันก็ปวดใจ ฉันคิดกับตัวเองว่า “ถ้าฉันแค่ทำหน้าที่ที่ง่ายกว่าเหมือนเมื่อก่อนได้ ฉันกับสามีก็ผลัดกันดูแลแม่ของเขาได้ เขาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก ฉันไม่ได้ลุล่วงภาระหน้าที่ของตัวเองในฐานะภรรยาเลย” วันหนึ่ง หลังจากที่แม่สามีออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันก็กลับบ้านดึกมาก พอสามีเจอฉัน เขาก็พูดด้วยความโกรธว่า “แม่ป่วยมาตลอดแล้วคุณก็ไม่ดูแลท่าน กลับปล่อยให้ผมทำแทนจนหมดเรี่ยวแรง คุณคิดถึงแต่ตัวเอง เราเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้” เจอคำติเตียนจากสามีแล้ว ฉันก็พูดอะไรไม่ออก ฉันหนีเข้าห้องนอนและเริ่มร้องไห้ คิดกับตัวเองว่า “ตั้งแต่ฉันเริ่มทำหน้าที่ผู้นำ ก็มีงานมากมายที่คริสตจักร แม้แต่ตอนแม่สามีล้มป่วย ฉันก็ยังดูแลท่านไม่ได้ ไม่แปลกใจที่สามีไม่พอใจฉัน ถ้าทุกอย่างยังคงดำเนินไปแบบนี้ เขาจะยิ่งไม่พอใจฉันขึ้นไปอีก และเขาจะโต้เถียงกับฉันด้วย ถ้าอย่างนั้น แล้วชีวิตสมรสนี้ที่ฉันทุ่มเทความพยายามมาหลายปีจะไม่พังทลายลงเหรอ? ถ้าไม่มีชีวิตสมรส ฉันก็ไม่มีบ้าน” คืนนั้น ฉันพลิกตัวไปมา นอนไม่หลับ แล้วคิดว่า “ฝั่งหนึ่งคือชีวิตสมรส อีกฝั่งคือหน้าที่ ฉันควรเลือกฝั่งไหนดี? ฉันอาจจะลาออกจากตำแหน่งผู้นำแล้วแค่ทำหน้าที่ง่ายกว่านี้ก็ได้”
วันรุ่งขึ้น ฉันเจอพี่น้องหญิงที่ร่วมงานด้วย แล้วคุยกับเธอเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้าน กับเรื่องความคิดและความเจ็บปวดภายในที่ฉันรู้สึกด้วย พี่น้องหญิงคนนี้สามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าหลายบทตอนกับฉัน และมีบทตอนหนึ่งสร้างความประทับใจลึกซึ้งให้ฉัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในตัวผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการรบกวนของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานที่พวกเขามีให้พระเจ้า เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือการกระทำของมนุษย์และการรบกวนของพวกมนุษย์ เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังทั้งหมดนั้นคือการสู้รบ… เมื่อพระเจ้าและซาตานทำการสู้รบในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ เจ้าควรทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างไร และเจ้าควรตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าต่อพระองค์อย่างไร? เจ้าควรรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเจ้าเป็นการทดสอบที่ยิ่งใหญ่และเป็นเวลาที่พระเจ้าจำเป็นต้องทรงให้เจ้าเป็นคำพยาน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) ผ่านการไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันก็เข้าใจ ว่าทุกสิ่งทั้งเล็กใหญ่ที่เกิดขึ้นทุกวัน เป็นส่วนหนึ่งของการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณ และพระเจ้าต้องการให้ผู้คนยืนหยัดในการเป็นพยานของตัวเอง ในการเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของฉันในปัจจุบัน ฉันกำลังเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ แต่ซาตานกำลังทำให้เกิดการก่อกวนและอุปสรรคทุกหนทุกแห่ง เนื่องจากสามีของฉันไม่เชื่อในพระเจ้า เขาจึงเป็นของซาตาน เขาคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น เมื่อฉันปฏิบัติหน้าที่และไม่สามารถดูแลเรื่องต่างๆ ของครอบครัวได้ แล้วบังเอิญกระทบผลประโยชน์ของสามี เขาจึงเริ่มโวยวาย ขัดขวาง และรบกวนหน้าที่ของฉัน ฉันกลัวว่าชีวิตสมรสของเราจะแตกแยก ก็เลยอยากลาออกจากตำแหน่งผู้นำ แล้วทำหน้าที่ที่ง่ายขึ้นเพื่อให้ดูแลครอบครัวได้ง่ายขึ้น ฉันไม่ยืนหยัดในการเป็นพยานและเกือบโดนซาตานหลอก ฉันถอยจากหน้าที่แบบนี้ต่อไปไม่ได้ จึงละทิ้งความคิดที่จะลาออก
วันหนึ่งฉันกลับถึงบ้านดึกมาก สามีก็ดุด่าฉันอีก “อ้อ นี่มาลงทะเบียนเข้า ‘โรงแรม’ สำหรับคืนนี้แล้วเหรอ ดูเหมือนว่าคุณไม่ต้องการใช้ชีวิตร่วมกับผมอีกต่อไปแล้วสิ” เมื่อเห็นสามีเป็นแบบนี้ ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าในหัวใจเงียบๆ ขอให้พระองค์ทรงประทานความเชื่อและความเข้มแข็ง ให้ฉันยืนหยัดในการเป็นพยานให้พระองค์ หลังจากที่สามีของฉันระบายความโกรธออกไปแล้ว ฉันก็พูดกับเขาว่า “ตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมา ฉันเสียสละเพื่อครอบครัวนี้มามากพอแล้ว ดูเพื่อนร่วมงานของฉันสิ หลังจากเกษียณ พวกเขาทั้งออกไปเล่นไพ่นกกระจอก เต้นรำ หรือออกเที่ยวไปทั่ว พวกเขาไม่เคยอยู่บ้าน และใช้เงินทุกประเภท ตอนนี้ ฉันเชื่อในพระเจ้า เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง และอุทิศเวลาบางส่วนของตัวเอง แต่คุณยังต่อต้านอีก และชวนทะเลาะกับฉันทุกวัน ถ้าไม่อยากอยู่ด้วยกัน งั้นพรุ่งนี้ก็ไปฟ้องหย่า ถ้าอยากอยู่ด้วยกันก็หยุดก้าวก่ายฉันได้แล้ว ฉันมีอิสระที่จะทำสิ่งที่ฉันเลือก” เขายืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้นและไม่พูดอะไรอีก เช้าวันรุ่งขึ้นฉันถามเขาว่า “ตกลงจะเอายังไงล่ะ? ตอบมา เราจะยังแต่งกันอยู่หรือเปล่า?” ได้ยินฉันพูดอย่างนี้ สามีก็ชี้นิ้วมาที่หน้าผากของฉันแล้วพูดว่า “โอ๊ย ผมจะทำยังไงกับคุณดีนะ?” ตอนนั้นฉันมีความสุขมาก หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจคำบ่นของสามีเลย แล้วเขาก็ค่อยๆ เริ่มบ่นน้อยลง
ในเดือนพฤษภาคมปี 2022 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้ประกาศและดูแลงานของคริสตจักรหลายแห่ง การได้เลื่อนตำแหน่งควรเป็นเหตุแห่งความปิติ แต่ฉันรู้สึกหนักอึ้งภายในใจ แล้วคิดว่า “สองสามปีที่ผ่านมา ฉันเป็นผู้นำคริสตจักร แม้จะยุ่งกับงานคริสตจักร แต่ฉันก็ยังใช้เวลาทำงานบ้านในตอนเช้ากับตอนเย็นได้ ตอนนี้ฉันกำลังจะเป็นผู้ประกาศ และไม่ใช่แค่จะมีงานยุ่ง แต่ฉันจะต้องออกจากบ้านแล้วแยกกันอยู่กับสามีเพราะคริสตจักรบางแห่งอยู่ไกล เขาจะยอมให้กับเรื่องนี้ได้ยังไง? นี่ไม่ได้แปลว่าฉันเจตนาถอดใจจากชีวิตสมรสของตัวเองใช่ไหม? ถ้าชีวิตสมรสของฉันแตกแยกแล้วในอนาคตฉันต้องอยู่คนเดียว ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปยังไง? อีกไม่นานฉันก็จะอายุ 60 แล้ว ถ้าในอนาคตฉันต้องนอนซมกับการเจ็บป่วย ฉันก็จะไม่มีใครทำอาหารหรือเอาน้ำมาให้ด้วยซ้ำ ฉันจะมีชีวิตอยู่แบบนั้นได้ยังไง” ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งเศร้า แล้วน้ำตาก็ไหลอาบหน้าอย่างควบคุมไม่ได้ ฉันปรารถนาอย่างยิ่งที่จะสนองพระทัยพระเจ้า แต่คำสอนเล็กๆ น้อยๆ ที่แต่ก่อนเคยเข้าใจก็ไม่มีผลใดๆ และไม่ว่าฉันพยายามแค่ไหน ก็ไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้ ในที่สุด ฉันก็ปฏิเสธหน้าที่นี้ด้วยเหตุผลว่าวุฒิภาวะของฉันน้อยเกินไป และฉันไม่มีความเป็นจริงความจริง ในช่วงไม่กี่วันหลังจากนั้น ฉันรู้สึกสับสนวุ่นวายอย่างมาก และรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้า คิดในใจว่า “คริสตจักรฝึกฝนฉันมาสองสามปีแล้ว และฉันก็เป็นผู้นำคริสตจักรมาตลอดเวลานี้ ฉันมักสามัคคีธรรมกับพี่น้องเกี่ยวกับความจริงแห่งการนบนอบต่อพระเจ้า แต่พอมีความจำเป็นให้ฉันทำหน้าที่นี้ ฉันกลับเป็นคนขลาดและเลือกชีวิตสมรสกับครอบครัวของตัวเอง ฉันกลายเป็นตัวตลกของซาตานไปแล้ว ฉันจะเรียกตัวเองว่าผู้ติดตามพระเจ้าได้ยังไง? ฉันมันไร้ค่าจริงๆ!” ฉันอยากแสวงหาความจริงโดยด่วนและแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง แล้วฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ผู้ใดเล่าสามารถสละตัวพวกเขาเองเพื่อเราและมอบถวายทั้งหมดทั้งปวงของพวกเขาเพื่อประโยชน์แห่งเราอย่างแท้จริงและอย่างสมบูรณ์? พวกเจ้าทั้งปวงล้วนไม่ยินดียินร้าย ความคิดของพวกเจ้าวนไปวนมา โดยคิดถึงบ้าน ถึงโลกข้างนอก ถึงอาหารและเสื้อผ้า ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือเจ้าอยู่ที่นี่เบื้องหน้าเรา ทำสิ่งต่างๆ เพื่อเรา แต่ลึกลงไปเจ้าก็ยังคงกำลังคิดถึงภรรยา ลูก และบิดามารดาของเจ้าที่บ้าน สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นทรัพย์สมบัติของเจ้าหรือไร? เหตุใดเจ้าจึงไม่วางใจฝากพวกเขาไว้ในมือของเราเล่า? เจ้าไม่มีความเชื่อในเราเพียงพอหรอกหรือ? หรือเป็นเพราะเจ้ารู้สึกกลัวว่าเราจะลงมือจัดการเตรียมการที่ไม่เหมาะสมกับเจ้า? เหตุใดเจ้าจึงกังวลเกี่ยวกับครอบครัวแห่งเนื้อหนังของเจ้าอยู่เสมอ? เจ้าคะนึงหาผู้เป็นที่รักทั้งหลายของเจ้าอยู่เสมอ! เรามีที่สักแห่งอยู่ในหัวใจของเจ้าบ้างไหม? เจ้ายังคงพูดคุยเกี่ยวกับการยอมให้เรามีอำนาจครอบครองภายในตัวเจ้าและจับจองการดำรงอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของเจ้า—เหล่านี้ล้วนเป็นคำโกหกหลอกลวงทั้งหมด! พวกเจ้ากี่คนกันที่ให้คำมั่นสัญญากับคริสตจักรอย่างสุดหัวใจ? และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่ไม่คิดถึงตัวเอง แต่กำลังกระทำการเพื่อราชอาณาจักรของวันนี้? จงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรอบคอบระมัดระวังให้มาก” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 59) เมื่อไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าแล้ว รู้สึกราวกับว่าพระเจ้ากำลังพิพากษาฉันต่อหน้าเลย สิ่งที่พระองค์ทรงเปิดโปงตรงกับสภาวะของฉันพอดี ฉันดูเหมือนกำลังทำหน้าที่ในคริสตจักรอยู่ มีงานยุ่งมากทุกวัน แต่ลึกๆ แล้วฉันคิดถึงครอบครัวของตัวเองอยู่ตลอด บางครั้งตอนที่ฉันออกไปชุมนุม ก็จะกังวลว่าสามีกินข้าวหรือยัง พอเห็นว่าสามีเหนื่อยหมดแรงกับการดูแลแม่ของเขาที่โรงพยาบาล ฉันก็อยากทำหน้าที่ที่ง่ายขึ้นเพื่อแบ่งเบาภาระเขาบ้าง ตอนที่ฉันยุ่งอยู่กับหน้าที่และทำให้สามีไม่มีความสุข ฉันก็อยากจะลาออกจากหน้าที่ผู้นำ ฉันหวังโดยไร้เหตุผลว่าอยากจับปลาสองมือ ดูแลครอบครัวขณะทำหน้าที่ของตัวเองไปด้วย ฉันก็แค่เหยียบเรือสองแคมไม่ใช่เหรอ? ฉันอาจจะตะโกนว่า “พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง” แต่ในความเป็นจริง ฉันไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าสักนิด และไม่กล้ามอบทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ เมื่อคริสตจักรเลื่อนตำแหน่งให้ฉันเป็นผู้ประกาศ ฉันไม่ได้คำนึงถึงความจำเป็นในงานของคริสตจักรเลยแม้แต่น้อย และคิดอยู่อย่างเดียวคือเรื่องชีวิตสมรสของตัวเอง กังวลว่าการแยกกันอยู่กับสามีจะทำให้ชีวิตสมรสของเราแตกแยกแล้วฉันก็จะไม่มีครอบครัวอีกต่อไป ในความเป็นจริง การถนอมชีวิตสมรสของตัวเองไม่ใช่สิ่งที่ฉันควบคุมได้ ถ้าชีวิตสมรสของฉันถูกกำหนดให้แตกแยก ต่อให้ฉันอยู่บ้านทุกวันก็แตกแยกอยู่ดี ฉันมีเพื่อน ที่ตามสามีของเธอไปทุกที่ และทั้งสองก็แทบจะแยกจากกันไม่ได้ แต่สามีของเธอก็ยังคงยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงอีกคนต่อหน้าต่อตาเธอ และในที่สุดพวกเขาก็หย่ากัน นอกจากนี้ยังมีคู่สมรสบางคู่ที่ต้องแยกกันอยู่เพราะงาน และเจอกันปีละไม่กี่ครั้ง แต่ชีวิตสมรสของพวกเขายังคงยืนยาว เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ ฉันก็เต็มใจมอบชีวิตสมรสของฉันไว้กับพระเจ้า ฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “พระเจ้า ขอบคุณสำหรับการออกแบบสภาวการณ์เหล่านี้เพื่อเผยความเสื่อมทรามของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เห็นว่าตนไม่รักความจริง และธรรมชาติของข้าพระองค์เห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง ข้าพระองค์คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของตัวเอง ต้องการเพียงให้ชีวิตสมรสของตนไม่บุบสลาย พระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจที่จะพึ่งพาพระองค์และปล่อยมือจากชีวิตสมรสของตัวเอง! หากในอนาคตมีโอกาสอีกครั้งที่จะออกจากบ้านและทำหน้าที่ ข้าพระองค์ยินดีที่จะเลือกหน้าที่ของตัวเองและสนองพระทัยพระองค์”
หลายเดือนผ่านไป แล้วฉันก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้ประกาศอีกครั้ง ตอนนั้นฉันอารมณ์อ่อนไหวมาก คิดว่า “ในอดีต ฉันมักจะทำให้พระเจ้าเจ็บปวดและผิดหวัง และติดค้างหนี้พระองค์มากมายในหน้าที่ของตัวเอง แต่พระองค์ยังทรงให้โอกาสฉันกลับใจ คราวนี้ ฉันจะสนองพระทัยพระองค์” แต่ว่า พอคิดว่าจะต้องออกจากบ้านไปทำหน้าที่ ก็ยังรู้สึกขัดแย้งภายในอยู่มาก ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าและนึกถึงพระวจนะของพระองค์บทตอนหนึ่งที่เคยอ่าน ความว่า “เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ชีวิตครอบครัวอันสงบสุข และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วยาม เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น หากเจ้าดำเนินชีวิตที่ช่างหยาบช้าสามานย์เช่นนั้น และไม่เสาะหาวัตถุประสงค์ใดๆ เจ้าไม่ได้ทิ้งชีวิตไปอย่างสูญเปล่าหรอกหรือ? เจ้าสามารถได้รับอะไรบ้างจากชีวิตเช่นนั้น? เจ้าควรละทิ้งความชื่นชมยินดีทั้งหมดของเนื้อหนังเพื่อเห็นแก่ความจริงหนึ่งประการ และไม่ควรโยนความจริงทั้งหมดทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีเพียงเล็กน้อย ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตหรือศักดิ์ศรีเลย การดำรงอยู่ของพวกเขาช่างปราศจากความหมาย!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันมีความเชื่อและความเข้มแข็ง ในช่วงครึ่งแรกของชีวิต ฉันใช้ชีวิตเพื่อเนื้อหนังทั้งสิ้น ยุ่งอยู่กับสิ่งต่างๆ ฉันไล่ตามเสาะหาแต่ความสุขในครอบครัวและความสงบสุขทางเนื้อหนัง การใช้ชีวิตแบบนั้นไม่มีคุณค่าและความหมายแต่อย่างใด แล้วสุดท้าย ฉันก็มีแต่จะตายเพียงมือเปล่าและเต็มไปด้วยความเสียใจ พระเจ้าทรงเลือกฉันให้มาที่พระนิเวศของพระเจ้าและประทานโอกาสให้ฉันได้รับความจริงและชีวิต แต่ฉันกลับไม่สำนึกคุณและไม่ได้ถวายทั้งหัวใจให้พระองค์ ปฏิเสธหน้าที่ของตัวเองเพื่อถนอมชีวิตสมรสและก่อการกระทำผิดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ครั้งนี้พระเจ้าทรงโปรดฉันอีกครั้ง ให้โอกาสฉันในการเป็นผู้ประกาศ ฉันปฏิเสธหน้าที่ของตัวเองเพียงเพราะกังวลว่าชีวิตสมรสจะแตกแยกอีกครั้งไม่ได้ ไม่มีความสุจริต ศักดิ์ศรี หรือคุณค่าในการดำเนินชีวิตแบบนั้น ฉันเลือกที่จะเชื่อและติดตามพระเจ้า จึงต้องปล่อยให้พระองค์ทรงจัดวางเรียบเรียงสิ่งต่างๆ การละทิ้งสิ่งใดก็ตามเพื่อให้ได้มาซึ่งความจริงนั้นคุ้มค่า ต่อให้หลังจากที่ฉันออกจากบ้านแล้วชีวิตสมรสจะแตกแยก แต่ฉันก็จะยังคงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีและครั้งนี้จะใช้ชีวิตเพื่อพระเจ้า
ในช่วงเวลาหลังออกจากบ้านไปปฏิบัติหน้าที่ ฉันจะคิดถึงสามีทุกครั้งที่มีเวลาว่าง และฉันก็ไม่ได้ทุ่มเทหัวใจให้กับหน้าที่ของตัวเองเต็มที่ ฉันรู้ว่าฉันยังคงไม่ได้ปล่อยมือจากชีวิตสมรสของฉันจริงๆ ต่อมาเมื่อฉันเห็นการสามัคคีธรรมถึงความจริงในเรื่องชีวิตสมรสของพระเจ้า นั่นเหมือนกับการค้นพบสมบัติอันล้ำค่า และฉันก็อ่านอย่างตั้งใจ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มีผู้คนมากมายทำให้ความสุขในชีวิตของตนขึ้นอยู่กับชีวิตแต่งงานของตนเอง และเป้าหมายในการไล่ตามเสาะหาความสุขของพวกเขาก็คือการไล่ตามไขว่คว้าความสุขและความสมบูรณ์แบบของชีวิตสมรส พวกเขาเชื่อว่าถ้าชีวิตแต่งงานของตนเป็นชีวิตแต่งงานที่มีความสุขและตนเองก็มีความสุขกับคู่ครอง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะมีชีวิตที่มีความสุข ดังนั้นพวกเขาจึงมองว่าความสุขในชีวิตแต่งงานของตนคือภารกิจชั่วชีวิตที่จะต้องสัมฤทธิ์โดยการใช้ความพยายามอย่างไม่ลดละ… ในหัวใจของผู้คนแบบนี้ ความสุขในชีวิตสมรสสำคัญกว่าทุกสิ่ง และถ้าไม่มีสิ่งนี้ พวกเขาย่อมรู้สึกเหมือนตนไร้ดวงจิตอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเชื่อว่า ‘ความรักคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของการมีชีวิตแต่งงานที่มีความสุข เป็นเพราะฉันรักภรรยาของตัวเองและเพราะเธอเองก็รักฉันเท่านั้น พวกเราถึงมีชีวิตแต่งงานที่มีความสุขและสามารถอยู่กันมาได้นานอย่างนี้ ถ้าฉันต้องสูญเสียความรักครั้งนี้ไปและรักนี้ต้องสิ้นสุดลงเพราะฉันเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง เช่นนั้นก็ย่อมจะหมายความว่าความสุขในชีวิตสมรสของฉันจบสิ้นแล้ว และฉันก็จะไม่สามารถมีความสุขในชีวิตสมรสเช่นนี้ได้อีกใช่ไหม? ถ้าไม่มีความสุขในชีวิตสมรส จะเกิดอะไรขึ้นกับเราสองคน? ชีวิตของภรรยาฉันจะเป็นอย่างไรเมื่อไม่มีความรักของฉัน? จะเกิดอะไรขึ้นกับฉันถ้าฉันสูญเสียความรักของภรรยาไป? การปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและสัมฤทธิ์ภารกิจของมนุษย์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าจะสามารถชดเชยความสูญเสียนี้ได้หรือ?’ พวกเขาไม่รู้ พวกเขาไม่มีคำตอบ และพวกเขาก็ไม่เข้าใจความจริงในแง่นี้ เพราะฉะนั้น เมื่อพระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้ผู้ที่ไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสก่อนสิ่งอื่นใด ออกจากบ้านไปยังสถานที่อันห่างไกลเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐและปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาจึงมักจะรู้สึกคับใจ อับจนหนทาง และถึงกับกระวนกระวายเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่าตนอาจสูญเสียความสุขในชีวิตสมรสไปในไม่ช้า บางคนละทิ้งหรือไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ของตนเพื่อที่จะประคับประคองความสุขในชีวิตสมรสเอาไว้ และบ้างก็ถึงขั้นไม่ยอมรับการจัดแจงครั้งสำคัญจากพระนิเวศของพระเจ้า นอกจากนี้ยังมีบางคนที่มักจะพยายามหาทางรู้ว่าคู่สมรสของตนรู้สึกอย่างไรเพื่อที่จะประคับประคองความสุขในชีวิตสมรสของตนไว้ ถ้าคู่สมรสของพวกเขารู้สึกไม่พอใจสักนิดหรือแม้แต่แย้มพรายให้รู้ว่าไม่ยินดีหรือไม่พอใจในความเชื่อของพวกเขา ในเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าที่พวกเขาเลือกเดิน และในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาย่อมเปลี่ยนเส้นทางและยอมอ่อนข้อให้ทันที การที่จะประคับประคองความสุขในชีวิตสมรสเอาไว้นั้น พวกเขามักจะยอมอ่อนข้อให้คู่สมรสของตน ต่อให้หมายถึงการละทิ้งโอกาสที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน ยกเลิกกำหนดการไปชุมนุม การอ่านพระวจนะของพระเจ้า และการเฝ้าเดี่ยวทางฝ่ายวิญญาณเพื่อที่จะแสดงให้คู่สมรสเห็นว่าตนอยู่ตรงนั้น ป้องกันไม่ให้คู่สมรสรู้สึกโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงา และทำให้คู่สมรสรู้สึกถึงความรักที่ตนมีให้ พวกเขายอมทำเช่นนี้มากกว่าที่จะยอมสูญเสียหรือคงอยู่โดยไม่มีความรักจากคู่สมรส นี่เป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าถ้าตนยอมทิ้งความรักของคู่สมรสเพื่อความเชื่อหรือเพื่อเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าที่ตนเลือกไว้ เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมหมายความว่าพวกเขาละทิ้งความสุขในชีวิตสมรสและจะไม่สามารถรู้สึกถึงความสุขในชีวิตสมรสนั้นอีกต่อไป และแล้วพวกเขาก็จะเป็นใครบางคนที่เปล่าเปลี่ยว น่าเวทนา และน่ารันทด การเป็นคนที่น่ารันทดและน่าเวทนาหมายถึงอะไร? หมายถึงคนที่ไร้ซึ่งความรักหรือความชื่นชูจากอีกคนหนึ่ง แม้ผู้คนเหล่านี้จะเข้าใจคำสอนบางอย่างและนัยสำคัญของการที่พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งความรอดของพระองค์ และแน่นอน พวกเขาเข้าใจว่าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเขาควรปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่เพราะพวกเขาฝากความสุขของตนเองไว้กับคู่สมรส และแน่นอนว่าเพราะพวกเขาทำให้ความสุขของตนเองขึ้นอยู่กับความสุขในชีวิตสมรสแม้จะเข้าใจและรู้ว่าตนควรทำเช่นไรก็ตาม พวกเขาจึงยังคงปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสไม่ได้ พวกเขามองอย่างผิดๆ ว่าการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสคือภารกิจที่พวกเขาควรทำให้ลุล่วงในชีวิตนี้ และมองอย่างผิดๆ ว่าการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสคือภารกิจที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรไล่ตามไขว่คว้าให้สำเร็จ นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดหรอกหรือ? (ใช่)” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (11)) พระเจ้าทรงเปิดโปงพฤติกรรมบางอย่างของมนุษย์ในการไล่ตามเสาะหาความสุขในชีวิตสมรส หลังจากแต่งงานกัน เพื่อคงความรักระหว่างสามีภรรยาไว้ ผู้คนจึงทำสิ่งต่างๆ เพื่อประจบและเอาใจคู่ของตัวเอง หรือ เพื่อค้ำจุนความสุขในชีวิตสมรส พวกเขาสละตน และอุทิศตนบ้าง โดยบางคนถึงกับยอมปล่อยโอกาสทำหน้าที่ของตัวเองเพราะเห็นแก่ชีวิตสมรสที่มีความสุข ถือว่าการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสเป็นภารกิจของพวกเขา สิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดโปงคือสภาวะที่แท้จริงของฉัน เป็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของสิ่งที่ฉันไล่ตามไขว่คว้ามาตลอดชีวิต หลังจากแต่งงานกันแล้ว ฉันเห็นว่าสามีเป็นคนให้ความสำคัญกับครอบครัวและค่อนข้างเอาใจใส่ฉัน ก็เลยคิดว่าฉันได้พบรักแท้แล้ว และคิดว่าเป็นของขวัญจากสวรรค์ที่ได้มีชีวิตสมรสเช่นนี้ ฉันจึงฝากความสุขชั่วชีวิตไว้กับสามีของฉัน เปลี่ยนการไล่ตามเสาะหาความสุขในชีวิตสมรสให้เป็นภารกิจในชีวิตของตัวเอง เพื่อรักษาชีวิตสมรสที่มีความสุข ฉันทำงานหนักเพื่อลุล่วงภาระหน้าที่ในฐานะภรรยา ฉันเตรียมอาหารต่างกันสามมื้อให้สามีในแต่ละวันและทำงานบ้านเพื่อให้เขาพอใจ พอฉันเป็นผู้นำและยุ่งอยู่กับงานคริสตจักร ไม่สามารถคิดถึงครอบครัวได้ สามีของฉันก็รังเกียจเรื่องนี้ ฉันรู้สึกผิดและตำหนิตัวเอง คิดว่าฉันเป็นหนี้สามีและไม่ลุล่วงภาระหน้าที่ในฐานะภรรยา พอสามีตำหนิฉันแล้ว ฉันก็กังวลว่าครอบครัวจะแตกแยก และอยากลาออกและเลิกทำหน้าที่เพื่อรักษาความสัมพันธ์ของฉันกับสามี เมื่อฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้ประกาศ ฉันคิดถึงแต่ชีวิตสมรสและครอบครัวของตัวเอง ไม่ใช่แค่ไม่สำนึกคุณพระเจ้า แต่ยังเลือกสละโอกาสที่จะปฏิบัติหน้าที่เพราะเห็นแก่ความสุขในชีวิตสมรสด้วย ฉันดำเนินชีวิตตามความคิดผิดๆ ที่ซาตานปลูกฝังในตัวฉัน เช่น “สามีและภรรยาจะรักกันจนความตายพรากจาก” ฉันถือว่าการไล่ตามเสาะหาความสุขในชีวิตสมรสเป็นสิ่งที่ดี โดยเชื่อว่าหากคู่แต่งงานฉลองครบรอบ 25 ปีหรือ 50 ปีได้ นั่นเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม เมื่อตอนยังเด็ก พ่อแม่ของฉันรักกันลึกซึ้งและอยู่เคียงข้างกันเสมอ ฉันก็เลยปรารถนาว่าเมื่อฉันเป็นผู้ใหญ่จะมีชีวิตสมรสที่มีความสุข พอได้ตามความปรารถนาแล้ว ฉันก็ทะนุถนอมอย่างมาก ถือว่าความสุขในชีวิตสมรสเป็นสิ่งที่ฉันไล่ตามไขว่คว้าในชีวิต และถึงกับมองว่าสิ่งนี้สำคัญกว่าการทำหน้าที่ของฉันและได้รับความจริง ซึ่งทำให้ฉันเบี่ยงออกนอกพระประสงค์ของพระเจ้า
ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น “พระเจ้าทรงสถาปนาการแต่งงานให้เจ้าและประทานคู่ครองแก่เจ้า เจ้าเข้าสู่การแต่งงาน แต่อัตลักษณ์และสถานะของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง—เจ้ายังคงเป็นเจ้า ถ้าเจ้าเป็นหญิง เช่นนั้นแล้วเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าก็ยังคงเป็นหญิง ถ้าเจ้าเป็นชาย เช่นนั้นแล้วเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าก็ยังคงเป็นชาย แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายมีเหมือนกัน นั่นคือไม่ว่าเจ้าจะเป็นชายหรือหญิง เบื้องหน้าพระผู้สร้าง พวกเจ้าล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ภายในกรอบของชีวิตแต่งงาน พวกเจ้ายอมผ่อนปรนให้กันและรักกัน ช่วยเหลือและเกื้อหนุนกัน นี่คือการลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเจ้า อย่างไรก็ดี เมื่ออยู่เบื้องหน้าพระเจ้า ความรับผิดชอบที่เจ้าควรลุล่วงและภารกิจที่เจ้าควรสัมฤทธิ์ไม่อาจแทนที่ด้วยความรับผิดชอบที่เจ้าลุล่วงเพื่อคู่ครองของตนได้ เพราะฉะนั้น เมื่อมีความขัดแย้งระหว่างความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อคู่ครอง กับหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติเบื้องหน้าพระเจ้า สิ่งที่เจ้าควรเลือกก็คือการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่ใช่การลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อคู่ครอง นี่คือทิศทางและจุดหมายที่เจ้าควรเลือก และแน่นอนว่าเป็นภารกิจที่เจ้าควรสัมฤทธิ์ด้วย… การกระทำของคู่ครองคนใดก็ตามที่ไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสทุกวิถีทางหรือเสียสละทุกอย่างภายในกรอบของชีวิตแต่งงาน ย่อมจะไม่เป็นที่จดจำของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะลุล่วงภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อคู่ครองดีเพียงใดหรือสมบูรณ์แบบเพียงใด หรือใช้ชีวิตได้สมกับความคาดหวังของคู่ครองของเจ้ามากเพียงใด—กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าเจ้าจะดำรงรักษาความสุขในชีวิตสมรสได้ดีหรือสมบูรณ์แบบเพียงใด หรือความสุขของเจ้าจะน่าอิจฉาเพียงใด—ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้านั้นลุล่วงภารกิจของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแล้ว หรือพิสูจน์ว่าเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐาน บางทีเจ้าอาจจะเป็นภรรยาหรือสามีที่เพียบพร้อม แต่นั่นก็ยังคงอยู่ในกรอบของชีวิตแต่งงาน พระผู้สร้างทรงประเมินว่าเจ้าเป็นคนแบบใดโดยดูว่าเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างไรเมื่ออยู่เบื้องหน้าพระองค์ เจ้าเดินบนเส้นทางแบบใด ทัศนคติที่เจ้ามีต่อชีวิตเป็นเช่นไร เจ้าไล่ตามเสาะหาอะไรในชีวิต และเจ้าสัมฤทธิ์ภารกิจของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างไร พระเจ้าย่อมประเมินเส้นทางที่เจ้าเดินในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและบั้นปลายในอนาคตของเจ้าตามสิ่งเหล่านี้ พระองค์ไม่ได้ประเมินโดยดูว่าเจ้าลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตนในฐานะภรรยาหรือสามีอย่างไร หรือความรักที่เจ้ามีให้คู่ครองนั้นสร้างความยินดีให้แก่พระองค์หรือไม่” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (11)) เมื่อพระเจ้าทรงพิพากษาว่าผู้คนมีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือไม่ พระองค์ทรงดูเส้นทางที่พวกเขาเดิน และดูว่าพวกเขาทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือไม่ ไม่ได้ดูว่าครอบครัวของพวกเขาปรองดองและมีความสุขหรือไม่ เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้ากับผลประโยชน์ของครอบครัว ผู้นั้นควรจัดอันดับผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้ามาก่อน ทำหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ดีและทำพระบัญชาของพระเจ้าให้สำเร็จ นี่คือความรับผิดชอบตามหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ถ้าผู้ใดไม่ทำหน้าที่ของตัวเองเพราะเห็นแก่ความสุขในชีวิตสมรส พวกเขาก็ล้มเหลวในการลุล่วงในภาระหน้าที่และไม่สมควรที่จะถูกเรียกว่ามนุษย์ ในกรอบแนวคิดของชีวิตสมรส ฉันควรลุล่วงภาระหน้าที่ในฐานะภรรยา แต่ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเหนือสิ่งอื่นใด และการทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างคือภารกิจในชีวิตจริงของฉัน เมื่อทั้งสองเรื่องนี้ขัดแย้งกัน ฉันควรเลือกทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว ว่าการไล่ตามเสาะหาความสุขในชีวิตสมรสจะไม่ทำให้ฉันได้รับความรอดและไม่ใช่ชีวิตที่แท้จริง ฉันต้องให้หน้าที่ของตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างมาก่อน ฉันขอบคุณพระเจ้ามากที่ทรงนำให้ฉันตัดสินใจเลือกสิ่งที่ถูกต้อง
ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าต่อไป “การขอให้เจ้าปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสจึงไม่ได้หมายถึงการขอให้เจ้าละทิ้งการแต่งงานหรือหย่าร้างอย่างเป็นทางการ แต่หมายถึงการขอให้เจ้าลุล่วงภารกิจของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติให้ถูกควร ตามหลักการที่ใช้ลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้าควรทำในชีวิตแต่งงาน แน่นอนว่าถ้าการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสของเจ้าส่งผลกระทบ ขัดขวาง หรือถึงขั้นทำลายการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของเจ้า เช่นนั้นแล้วไม่เพียงแต่เจ้าควรละทิ้งการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรสของเจ้าเท่านั้น แต่ควรทิ้งชีวิตแต่งงานไปทั้งหมดด้วย ท้ายที่สุดแล้ว จุดประสงค์และความหมายของการสามัคคีธรรมถึงปัญหาเหล่านี้คืออะไร? เพื่อให้ความสุขในชีวิตสมรสไม่มาขัดขวางก้าวย่างของเจ้า มัดมือ ปิดตา บิดเบือนสายตาของเจ้า รบกวนและยึดครองความรู้สึกนึกคิดของเจ้า เพื่อให้เส้นทางชีวิตของเจ้าและชีวิตของเจ้าเองไม่เต็มไปด้วยการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรส และเพื่อให้เจ้ามีแนวทางที่ถูกต้องในเรื่องของความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าควรลุล่วงในชีวิตแต่งงาน และเลือกสิ่งที่ถูกต้องในเรื่องของความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าควรลุล่วง วิธีปฏิบัติที่ดีกว่านั้นก็คือการอุทิศเวลาและพลังงานให้หน้าที่ของเจ้ามากขึ้น ปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าควรปฏิบัติ และสัมฤทธิ์ภารกิจที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ เจ้าต้องไม่ลืมเป็นอันขาดว่าเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ผู้ที่นำเจ้ามาตลอดชีวิตจนถึงตอนนี้ก็คือพระเจ้า ผู้ที่ประทานการแต่งงานแก่เจ้า ประทานครอบครัวแก่เจ้าก็คือพระเจ้า และเป็นพระเจ้านั่นเองที่ประทานความรับผิดชอบที่เจ้าควรลุล่วงภายในกรอบของชีวิตแต่งงาน คนที่เลือกชีวิตแต่งงานไม่ใช่เจ้า ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ เจ้าก็มาแต่งงาน หรือสามารถดำรงรักษาความสุขในชีวิตสมรสของเจ้าได้ด้วยการพึ่งพาความสามารถและจุดแข็งของตนเอง เราอธิบายเรื่องนี้ชัดเจนแล้วหรือยัง? (ชัดเจนแล้ว)” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (10)) ในการขอให้เราสละการไล่ตามไขว่คว้าความสุขในชีวิตสมรส พระเจ้าไม่ได้ขอให้เราหย่าร้างเป็นหลักการปฏิบัติ แต่ขอให้ทำหน้าที่ของเราให้ดีในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ภายใต้สมมติฐานของการลุล่วงภาระหน้าที่ของเราในชีวิตสมรส ถ้าชีวิตสมรสของเราส่งผลกระทบหรือขัดขวางการทำหน้าที่ เราก็ควรสละชีวิตสมรส พระเจ้าทรงชี้เส้นทางที่ชัดเจนในการปฏิบัติสำหรับฉัน ในอดีต ฉันไล่ตามไขว่คว้าชีวิตสมรสที่มีความสุข ทุ่มเทเพียรพยายามให้สิ่งนี้มาครึ่งชีวิต และแม้หลังจากที่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่แล้ว ฉันก็ยังติดลึกอยู่ในการไล่ตามไขว่คว้านี้และไม่สามารถทำให้ตัวเองหลุดพ้นได้ ฉันถึงกับปฏิเสธหน้าที่เพื่อถนอมชีวิตสมรสของฉันไว้ พลาดโอกาสมากมายที่จะได้รับความจริง ฉันเอาเวลาที่เสียไปกลับมาไม่ได้ ตอนนี้ฉันอายุเกือบ 60 ปีแล้ว ฉันอยากใช้เวลาที่ฉันเหลืออยู่จำกัดในการปฏิบัติหน้าที่ ในส่วนของชีวิตสมรสของฉันจะเป็นยังไงในอนาคต ฉันไม่มีสิทธิ์ชี้ขาดในเรื่องนั้น ฉันต้องมอบทั้งหมดให้พระเจ้าและนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ หลังจากนั้นฉันก็ทุ่มเททุกอย่างที่มีเพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง เมื่อพบปัญหา ฉันก็สามัคคีธรรมกับพี่น้องหญิงที่ฉันร่วมงานด้วยเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น และเมื่อประสบปัญหา ฉันก็ขอคำแนะนำจากผู้นำระดับสูง ผ่านไประยะหนึ่ง ฉันก็บรรลุผลบางอย่างในงานของฉัน ฉันใช้เวลาช่วงเช้าและช่วงเย็นเพื่อการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ และเมื่อฉันมีสภาวะที่ไม่ถูกต้อง ฉันก็รีบแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข ก่อนที่จะรู้ตัว ตัวฉันก็ถึงพร้อมความจริงบางประการแล้ว เวลาที่ฉันอาศัยอยู่ที่บ้าน ฉันวุ่นไปกับงานคริสตจักรในเวลากลางวัน และวุ่นกับเรื่องครอบครัวในตอนเช้าและตอนเย็น จนแม้แต่เวลาแห่งการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณของฉันก็ยังมีจำกัด แต่ตอนนี้ฉันได้ประสบกับความสำคัญในการออกจากบ้านไปทำหน้าที่ของตนในที่สุด และฉันก็มีเวลามากขึ้นในการถึงพร้อมและได้รับความจริง ตอนนี้ฉันเข้าใจ ว่าการไล่ตามไขว่คว้าชีวิตสมรสที่สุขสันต์นั้นไม่ใช่ภารกิจของฉัน และจะไม่ทำให้ฉันได้รับความรอด ฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อไล่ตามเสาะหาการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ