เหตุใดการรับฟังคำแนะนำจึงยากนัก?
โดย จูดี้ ฟิลิปปินส์ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2021 ฉันให้น้ำผู้มาใหม่ในคริสตจักร พี่น้องชายเจเรมีกำกับดูแลงานของพวกเรา...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ช่วงต้นปี 2021 ผมได้รับใช้เป็นคนประกาศและได้ทำงานคู่กับพี่มัทธิวเพื่อเฝ้าดูงานคริสตจักร ผมเพิ่งจะเริ่มทำหน้าที่นั้น และยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจเยอะ เลยถามเขาเกี่ยวกับหลายอย่างบ่อยๆ ระหว่างนั้น มัทธิวมักจะเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับอุปนิสัยเสื่อมทรามที่เขาแสดงในหน้าที่ พอเวลาผ่านไป ผมก็เริ่มดูถูกเขา ผมคิดว่าผมไม่เสื่อมทรามเท่าเขา และการต้องทำงานคู่กับเขาไม่มีประโยชน์ ผมคิดว่าผมดีกว่าเขา ผมยังเคยคิดว่า “เขาได้เป็นคนประกาศก่อนได้ยังไง ทั้งๆที่ผมเคยเป็นผู้นำเขา ผมควรจะเป็นคนบอกเขาว่าการเป็นคนประกาศต้องทำยังไง ไม่ใช่สลับกันแบบนี้ เพราะเขาได้เป็นคนประกาศก่อน ทุกคนเลยยกย่องเขามากกว่า” ผมรับไม่ได้ และผมรู้ว่าผมทำได้ดีกว่าเขา เพื่อให้ได้อยู่เหนือกว่า ผมจะเปรียบเทียบงานของเราบ่อยๆ อย่างเช่น พอมัทธิวบอกผมว่าเขามีเวลาไม่พอจะทำงานทั้งหมดให้ทัน ผมก็ดีใจ เพราะรู้ว่า ผมทำงานที่ผมรับผิดชอบเสร็จหมดแล้ว และผู้นำระดับสูงจะได้ยกย่องผมมากกว่า แต่ผมก็ต้องประหลาดใจเพราะมัทธิวทำงานที่เขารับผิดชอบได้ดีมาก วันหนึ่ง ผู้นำได้มอบหมายให้เราหาคนที่จะสามารถฝึกงานเป็นคนงานให้น้ำได้ ในเวลาแค่สองวัน มัทธิวได้คนสมัครแล้ว 3 คน ผมเริ่มตื่นตระหนก และคิดว่า “ต้องรีบแล้ว อย่างน้อยต้องหาคนมาให้ได้เท่ามัทธิว ไม่งั้นเขาจะได้รับคำชมมากกว่าผม” จากนั้น ในเวลาสามวัน ผมหามาได้เจ็ดคน ผมพอใจมากเพราะผมทำได้ดีกว่ามัทธิว แต่พอผู้นำมาถามผมเกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้สมัคร ก็ได้สรุปได้ว่าไม่มีใครที่เหมาะสมจะเป็นคนงานให้น้ำ ผมไม่ได้เข้าใจสถานการณ์จริงของพวกเขาตอนผมให้พวกเขามาเป็นคนสมัคร แต่ผู้สมัครของมัทธิวเหมาะสมที่จะทำงานทุกคน พวกเขามีความสามารถ มีความเป็นมนุษย์ พวกเขารักในความจริงและเต็มใจสละตนเองเพื่อพระเจ้า งานทั้งหมดในสามวันที่ผ่านมาไม่มีความหมายเลย ผมรู้สึกหดหู่มาก และผมก็เริ่มรู้สึกอิจฉามัทธิว ทำไมเขาถึงได้ผลลัพธ์ดีในหน้าที่เสมอ แล้วทำไมผมไม่ได้แบบนั้นบ้าง เขาจะแบ่งปันพระวจนะในกลุ่มของเราอย่างกระตือรือร้น และเขายังคอยตามงานที่ผมรับผิดชอบอีก ไม่มีทางเลยที่ผมจะโดดเด่นได้ถ้ามีเขาอยู่ด้วย ผมเหนื่อยหน่ายกับเขามาก ถึงขนาดที่เริ่มเกลียดเขา ทำไมผมต้องมาทำหน้าที่ให้ลุล่วงกับเขาด้วย ผมไม่อยากให้เขาเป็นจุดสนใจและหวังว่างานของเขาจะมีผลลัพธ์ไม่ดี ผมยังคอยแก่งแย่งชื่อเสียงและไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง
ระหว่างนั้น ผมดูแลงานของพี่อนาอิสที่เป็นผู้นำคริสตจักรอยู่ เธออยู่ในสภาวะที่ไม่ดีเพราะว่าเธอทำหน้าที่ของเธอได้ไม่ดีเท่าไร ผู้นำของผมเลยให้ผมช่วยสนับสนุนเธอ แต่พอผมติดต่อเธอไป เธอบอกผมว่าเธอไปหามัทธิวเพื่อสามัคคีธรรมแล้ว และมัทธิวได้แบ่งปันพระวจนะกับเธอและช่วยให้เธอแก้ไขปัญหาได้ มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีบทบาท ผมไม่ยินดีกับการที่มัทธิวเข้ามายุ่งกับงานของผมมาก ผู้นำคริสตจักรคนนี้อยู่ภายใต้การดูแลของผม และผมไม่อยากให้ผู้คนคิดว่าผมไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วงและไม่แก้ปัญหา ยิ่งผมคิดเรื่องนี้ผมก็ยิ่งโกรธ ไม่อยากเป็นคู่ทำงานกับมัทธิวแล้ว ผมอยากทำงานด้วยตัวเองเพราะว่า ผู้คนจะได้สังเกตเห็นผมสักที หลังจากนั้น ผมพยายามเลี่ยงมัทธิวเวลาทำหน้าที่ ครั้งหนึ่ง เขาขอหารือกับผมเรื่องปัญหาที่เราจะสามัคคีธรรมในการชุมนุม เขาโทรหาและส่งข้อความหาผม แต่ผมจงใจเมินเขา ผมไม่อยากหารืออะไรกับเขาเลย เมื่อเขาถามผมเกี่ยวกับงาน ผมก็ไม่ตอบกลับให้ตรงเวลา และเมื่อเขาขอให้ผมสามัคคีธรรมในการชุมนุม ผมก็จงใจเก็บเงียบไว้ และบอกเขาให้สามัคคีธรรมเอง ผมคิดกับตัวเองว่า “ตราบใดที่คุณอยู่ที่นี่ ก็จะไม่มีพี่น้องคนไหนมองผม แล้วผมจะสามัคคีธรรมไปทำไม” ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง มัทธิวถามความเห็นของผมหลังจากที่เขาสามัคคีธรรมเสร็จแล้ว ผมคิดว่าเขาสามัคคีธรรมมากเกินไป พูดทุกอย่างที่ผมอยากพูดหมดแล้ว ผมไม่พอใจสักเท่าไหร่ ผมก็เลยบอกเขาไปว่า “คุณสามัคคีธรรมด้วยอุปนิสัยที่โอหัง คุณไม่เปิดโปงธรรมชาติที่เสื่อมทรามของตนเอง และเพียงแต่เล่าถึงความเข้าใจของคุณอย่างคลุมเครือ คุณพูดถึงแค่โครงร่าง แต่ไม่บอกรายละเอียด” ผมรู้ตัวว่าสิ่งที่พูดไปไม่ถูกต้อง แต่ผมจงใจพูดไปแบบนั้น ผมแค่อยากกดความกระตือรือร้นของเขาให้น้อยลงบ้าง เพื่อให้เขาพูดให้น้อยลงในการชุมนุมอื่นๆ ในอนาคต พอเขาส่งข้อความหาผมและถามถึงเรื่องอื่นๆ ว่าผมเป็นยังไงบ้าง ผมก็ไม่ตอบ ผมคิดว่าเขาน่าจะรู้ตัวได้สักทีว่าผมไม่อยากทำงานด้วย ผมอยากให้เขาเลิกส่งข้อความหาผมเลยด้วยซ้ำ ผมอยากให้เขาจากไปและให้พื้นที่ผมได้แสดงความสามารถของตัวเองบ้าง ผมยังอยากทำหน้าที่แบบเต็มเวลาอย่างเขาด้วย เพื่อที่เมื่อไรก็ตามที่พี่น้องต้องการผม ผมจะไปอยู่เคียงข้างพวกเขาได้ทันที ทุกคนจะได้ยกย่องผม ผมอยากจะลาออกจากงานทางโลกและอุทิศตนให้กับหน้าที่ แต่ผมยังต้องทำงานเลี้ยงชีพและสนับสนุนครอบครัว ผมรู้สึกค่อนข้างหดหู่ที่ผมไม่สามารถอุทิศตนให้กับหน้าที่ ได้อย่างเต็มที่เหมือนมัทธิว ผมยังเคยคิดว่า “เลิกเป็นคนประกาศเลยน่าจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องทำงานคู่กับมัทธิวอีก ถ้าผมทำหน้าที่อื่นผมก็จะได้ไม่ต้องได้รับอิทธิพลจากเขา และผมจะทำให้ตัวเองโดดเด่นได้” แต่พอผมคิดที่จะเลิกจริงๆ ผมรู้สึกผิดนิดหน่อยแล้วไม่รู้จะทำยังไง ผมอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ช่วยให้ผมเข้าใจสภาวะของตัวเอง
จากนั้นผมนึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “หน้าที่ทั้งหลายมาจากพระเจ้า เป็นความรับผิดชอบและพระบัญชาที่พระองค์ทรงมอบแก่มนุษย์ เช่นนั้นแล้วมนุษย์ควรเข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างไร? ‘ในเมื่อนี่คือหน้าที่ของฉันและเป็นพระบัญชาที่พระเจ้าทรงมอบแก่ฉัน จึงเป็นภาระผูกพันและความรับผิดชอบของฉัน เป็นการถูกต้องแล้วที่ฉันควรต้องยอมรับหน้าที่ด้วยเกียรติของตน ฉันไม่สามารถบอกปัดหรือปฏิเสธ ฉันไม่สามารถเลือกเฟ้น สิ่งที่ตกมาถึงฉันย่อมเป็นสิ่งที่ฉันควรจะทำอย่างแน่นอน ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมพอที่จะเลือก—แต่ว่าฉันไม่ควรเลือกต่างหาก นี่คือสำนึกที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรจะมี’” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) ผ่านพระวจนะ ผมได้ตระหนักว่า พระเจ้าทรงมอบหน้าที่ให้กับเรา ผมควรยึดมั่นในหน้าที่และทำความรับผิดชอบให้ลุล่วง ผมไม่ควรเลี่ยงหน้าที่และทำตัวเรื่องมาก นี่เป็นเหตุผลที่ผมควรยึดมั่น สำหรับผมแล้ว เพราะผมไม่สามารถทำตามความปรารถนาแรงกล้าที่จะอยู่เหนือกว่ามัทธิวได้ ผมเลยอยากเลิกทำหน้าที่ นี่เป็นสิ่งที่น่าเจ็บปวดสำหรับพระเจ้ามาก! ผมไม่ได้มองหน้าที่ของผมเป็นความรับผิดชอบ แต่กลับมองเป็นวิธีทำให้ตัวเองโดดเด่น และเป็นวิธีให้ตัวเองได้รับความเคารพและการยกย่อง ผมอยากจะลาออกจากงานและทำหน้าที่แบบเต็มเวลา ไม่ใช่เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัยกับการทำหน้าที่ลุล่วง แต่เป็นเพื่อแก่งแย่งให้ได้สถานะและให้ได้อยู่สูงกว่าคู่ทำงาน พอผมไม่สามารถทำหน้าที่แบบเต็มเวลาได้เพราะเหตุผลในชีวิตจริง ผมก็อยากจะเปลี่ยนไปทำหน้าที่อื่นเพื่อให้ตัวเองได้มีโอกาสได้โดดเด่น ความเป็นจริงได้แสดงให้ผมเห็นแล้วว่าทุกอย่างที่ผมทำไปนั้นไม่ใช่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ แต่ผมมองหน้าที่ของผมเป็นโอกาสในการแก่งแย่งสถานะ พระเจ้ารังเกียจพฤติกรรมแบบนั้น
ต่อมา ผมเจอพระวจนะอีกบทตอนหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มนุษยชาติช่างโหดร้าย! การรู้เห็นเป็นใจและเล่ห์เพทุบาย การคว้ากระชากและฉกฉวยสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากคนอื่น การแก่งแย่งชื่อเสียงและความมั่งคั่ง การเข่นฆ่ากันและกัน—เมื่อไรมันจะสิ้นสุดเสียที? ถึงแม้ว่าจะมีพระวจนะนับหลายแสนคำที่พระเจ้าตรัส ไม่มีใครที่คิดได้สักคน ผู้คนปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของครอบครัว ลูกชายและลูกสาวของตน เพื่ออาชีพการงาน ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในภายภาคหน้า ตำแหน่งหน้าที่ ความเหลิงในลาภยศ และเงินทองของตน เพื่ออาหาร เสื้อผ้า และเนื้อหนัง แต่มีใครสักคนหรือไม่ที่มีการกระทำต่างๆ ซึ่งเป็นไปเพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริง? แม้แต่ในท่ามกลางผู้ที่ปฏิบัติเพื่อพระเจ้า ก็มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักพระเจ้า มีผู้คนสักกี่คนที่ไม่ได้ปฏิบัติบนผลประโยชน์ของตนเอง? มีสักกี่คนที่ไม่กดขี่หรือกีดกันบุคคลอื่นๆ เพื่อที่จะปกป้องตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง? และดังนั้น พระเจ้าจึงทรงถูกตัดสินประหารชีวิตโดยพลการเกินจะนับครั้งได้ และบรรดาผู้พิพากษาป่าเถื่อนจำนวนนับไม่ถ้วนได้กล่าวโทษพระเจ้าและได้ตอกตรึงพระองค์กับกางเขนอีกครั้ง จะมีสักกี่คนที่สามารถเรียกได้ว่าชอบธรรมเพราะการที่พวกเขาปฏิบัติเพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริง?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คนชั่วจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน) “มีบางคนที่กลัวอยู่เสมอว่าผู้อื่นดีกว่าพวกเขาและสูงส่งกว่าพวกเขา ว่าผู้อื่นจะได้รับการเคารพนับถือในขณะที่พวกเขาถูกละเลย นี่นำทางพวกเขาไปสู่การโจมตีและการกันแยกผู้อื่นออกไป นี่ไม่ใช่กรณีของการอิจฉาผู้คนที่มีความสามารถมากกว่าตัวพวกเขาเองหรอกหรือ? พฤติกรรมเช่นนั้นไม่เป็นการเห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยามหรอกหรือ? นี่คืออุปนิสัยประเภทใดหรือ? มันช่างมุ่งร้ายนัก! การที่คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเราเองเท่านั้น การที่สนองความอยากได้อยากมีของตัวเราเองเท่านั้น การที่ไม่แสดงให้เห็นการคำนึงถึงผู้อื่นหรือผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า—ผู้คนเยี่ยงนี้มีอุปนิสัยที่ไม่ดี และพระเจ้าไม่ทรงมีความรักให้แก่พวกเขาเลย หากเจ้าสามารถอย่างแท้จริงที่จะคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถปฏิบัติต่อผู้อื่นได้อย่างยุติธรรม หากเจ้าแนะนำบุคคลที่ดีและให้พวกเขาเข้ารับการอบรมฝึกฝนและให้ปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการเพิ่มบุคคลที่มีความสามารถพิเศษให้แก่พระนิเวศของพระเจ้าอีกคนหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว งานของเจ้าจะไม่ทำได้ง่ายขึ้นหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะไม่ได้ทำได้ดีในหน้าที่นี้จนสมกับความจงรักภักดีของเจ้าแล้วหรอกหรือ? นี่คือความประพฤติดีอย่างหนึ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ทั้งนี้ นี่คือมโนธรรมและสำนึกขั้นต่ำซึ่งคนเราที่เป็นผู้นำควรครอง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น) ผ่านพระวจนะ ผมถึงได้เข้าใจสภาวะของตัวเอง พระเจ้าตรัสว่า “มีบางคนที่กลัวอยู่เสมอว่าผู้อื่นดีกว่าพวกเขาและสูงส่งกว่าพวกเขา ว่าผู้อื่นจะได้รับการเคารพนับถือในขณะที่พวกเขาถูกละเลย นี่นำทางพวกเขาไปสู่การโจมตีและการกันแยกผู้อื่นออกไป นี่ไม่ใช่กรณีของการอิจฉาผู้คนที่มีความสามารถมากกว่าตัวพวกเขาเองหรอกหรือ? พฤติกรรมเช่นนั้นไม่เป็นการเห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยามหรอกหรือ? นี่คืออุปนิสัยประเภทใดหรือ? มันช่างมุ่งร้ายนัก!” พระวจนะเหล่านี้คือความจริง และได้เปิดโปงสภาวะจริงของผม เมื่อผมเห็นว่าคู่ทำงานของผมทำหน้าที่ได้ดีกว่า และแก้ปัญหาของพี่น้องได้ดีกว่า ผมรู้สึกว่าเขาดีกว่าผม และผมจะไม่มีทางโดดเด่นได้ถ้าทำงานกับเขา ผมเลยอิจฉาและผลักไสเขา ไม่อยากเป็นคู่ทำงานกับเขา ผมจงใจเมินข้อความของเขา แล้วไม่รับสายโทรศัพท์ ตอนเขาสามัคคีธรรมเรื่องประสบการณ์และความเข้าใจ ผมก็ไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาชีวิตคริสตจักร แต่กลับพยายามจับผิดหาข้อบกพร่องของเขา ผมยังจงใจเรียกเขาว่าโอหัง และโจมตีเขา เขาจะได้กระตือรือร้นน้อยลงบ้าง และจะได้เลิกทำตัวเด่นและได้ดีกว่าผมสักที ผมมุ่งร้ายมาก ทุกครั้งที่ผมต้องทำหน้าที่กับเขา ผมรู้สึกทรมานมาก ผมอยากจะแข่งขันกับเขาตลอดและสงบใจไม่ได้เลย เหมือนกับที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ “มนุษยชาติช่างโหดร้าย! การรู้เห็นเป็นใจและเล่ห์เพทุบาย การคว้ากระชากและฉกฉวยสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากคนอื่น การแก่งแย่งชื่อเสียงและความมั่งคั่ง การเข่นฆ่ากันและกัน—เมื่อไรมันจะสิ้นสุดเสียที?” เพราะว่าความปรารถนาที่จะได้ชื่อเสียงและสถานะของผมไม่เป็นจริง ผมเลยเริ่มเกลียดคู่ทำงานของผม ผมแค่อยากจะหนีให้พ้นจากเขาเพื่อที่ผมจะได้ทำงานด้วยตัวเองได้ ผมถึงกับคิดจะเลิกทำหน้าที่ของตัวเอง ผมรู้ตัวว่าตัวเองมุ่งร้ายและขาดมนุษยธรรมขนาดไหน ผมไม่ต่างอะไรจากสัตว์ป่าที่คอยล่าเหยื่อ พร้อมที่จะขับเคี่ยวและต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ผมคิดถึงแต่ตัวเอง ไม่ได้คิดถึงงานของคริสตจักร ถึงแม้งานของคริสตจักรจะล่าช้า ผมก็คงไม่กังวลหรือตื่นตระหนก ผมมันเห็นแก่ตัวและต่ำช้า! ผมกลับมาคิดว่าทำไมผมไม่สามารถทำงานคู่กับมัทธิวอย่างเรียบง่ายและสามัคคีได้ แล้วผมคิดได้ว่า ในความเชื่อของผมนั้น ผมใช้เส้นทางที่ผิดเพราะอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของผม ถ้าผมไม่แสวงหาความจริงและแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของผม ผมจะสูญเสียงานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และจมสู่ความมืด ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่หลายครั้ง ขอให้พระองค์ช่วยให้ผมเข้าใจตัวเองและแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามนี้
จากนั้นผมก็เห็นพระวจนะบทตอนหนึ่ง “อะไรคือคติประจำใจของพวกศัตรูของพระคริสต์ ไม่สำคัญว่าพวกเขาอยู่ในกลุ่มใด? ‘ฉันต้องแข่งขัน! แข่งขัน! แข่งขัน! ฉันต้องแข่งขันเพื่อเป็นผู้ที่สูงส่งที่สุดและผู้ที่มีพละกำลังมากที่สุด!’ นี่คืออุปนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์ ทุกแห่งหนที่พวกเขาไป พวกเขาแข่งขันและพยายามสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขา พวกเขาคือลูกสมุนของซาตาน และพวกเขารบกวนงานของคริสตจักร อุปนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์เป็นเยี่ยงนี้ กล่าวคือ พวกเขาเริ่มต้นด้วยการมองไปรอบๆ คริสตจักรเพื่อดูว่ามีใครบ้างที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและมีต้นทุน ใครบ้างที่มีพรสวรรค์หรือทักษะพิเศษบางอย่าง ใครบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชายหญิงในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา ใครบ้างที่ได้รับการนับหน้าถือตาเป็นอย่างดี ใครบ้างที่มีอาวุโส ใครบ้างเป็นที่กล่าวขวัญท่ามกลางพี่น้องชายหญิง ใครบ้างมีสิ่งที่เป็นบวกมากกว่า ผู้คนเหล่านั้นย่อมจะเป็นคู่แข่งของพวกเขา กล่าวโดยสรุป ทุกครั้งที่พวกศัตรูของพระคริสต์อยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้คน นี่คือสิ่งที่พวกเขาทำอยู่เสมอ กล่าวคือ พวกเขาแข่งขันเพื่อสถานะ แข่งขันเพื่อที่จะมีชื่อเสียงในทางดี แข่งขันเพื่อให้มีอำนาจชี้ขาดในเรื่องทั้งหลายและพลังอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจในกลุ่ม ซึ่งทำให้พวกเขามีความสุขในทันทีที่พวกเขาได้รับสิ่งเหล่านั้น…นั่นเองคือลักษณะของอุปนิสัยอันโอหัง น่าเกลียดน่าชัง และไม่มีเหตุผลของศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาไม่มีทั้งมโนธรรมและเหตุผล หรือแม้แต่เศษเสี้ยวของความจริง คนเราสามารถมองเห็นจากการกระทำและความประพฤติของศัตรูพระคริสต์ ว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นไม่มีเหตุผลของบุคคลปกติ และถึงแม้คนเราอาจสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงแก่พวกเขา พวกเขาก็ไม่ยอมรับ ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าพูดจะถูกต้องเพียงใด สิ่งนั้นก็ไม่ถูกใจพวกเขา สิ่งเดียวที่พวกเขาชอบไล่ตามไขว่คว้าคือความมีหน้ามีตาและสถานะซึ่งพวกเขาเคารพ ตราบใดที่พวกเขาสามารถสุขสำราญกับประโยชน์จากสถานะ พวกเขาก็พอใจแล้ว พวกเขาเชื่อว่านี่คือคุณค่าแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ท่ามกลางผู้คนกลุ่มใด พวกเขาจำเป็นที่จะต้องแสดงให้ผู้คนเห็นถึง ‘ความสว่าง’ และ ‘ความอบอุ่น’ ที่พวกเขาจัดเตรียม ความสามารถพิเศษของพวกเขา ความเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา และเป็นเพราะพวกเขาเชื่อว่าพวกเขานั้นพิเศษนั่นเอง จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาคิดว่าพวกเขาควรได้รับการปฏิบัติดีกว่าผู้อื่น ว่าพวกเขาควรรับการสนับสนุนและความเลื่อมใสจากผู้คน ว่าผู้คนควรยกย่องบูชาพวกเขา สักการบูชาพวกเขา—พวกเขาคิดว่าทั้งหมดนี้คือสิทธิที่พวกเขาสมควรได้รับ ผู้คนเช่นนี้ไม่หน้าหนาและไร้ยางอายหรอกหรือ? การมีผู้คนเช่นนี้อยู่ในคริสตจักรไม่ทำให้เดือดร้อนหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า: พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สาม)) ด้วยพระวจนะ ผมถึงได้รู้ตัวเรื่องความร้ายแรงของการกระทำของผม กลายเป็นว่า การแสวงหาชื่อเสียง สถานะ และการยกย่องจากผู้อื่นในหน้าที่ของผมนั้น ผมได้แสดงอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ พอผมเห็นว่าสามัคคีธรรมความจริงของมัทธิวนั้นให้ความรู้แจ้ง เขาเกิดผลในหน้าที่ และพี่น้องคนอื่นต่างยกย่องเขาและไปหาเขาเมื่อมีคำถาม ผมอิจฉาเขา เพื่อที่จะได้อยู่เหนือกว่าเขาและได้อยู่ในใจของคนอื่น ผมถึงกับคิดที่จะลาออกจากงานและทำหน้าที่แบบเต็มเวลา เพื่อที่เมื่อไรที่ใครต้องการผม ผมจะไปอยู่เคียงข้างเขาได้ เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ คนอื่นจะได้ชื่นชมผมและคู่ทำงานของผมจะได้ไม่ต้องมีที่พิเศษในใจของพวกเขา ทุกครั้งที่ผมทำหน้าที่กับมัทธิว ผมรู้สึกเหมือนผมอยู่ในเงาของเขาตลอดและไม่มีโอกาสได้โดดเด่นเลย ผมไม่ชอบที่เขาได้รับคำชมและการยกย่องจากพี่น้องคนอื่นตลอด แล้วผมหวังด้วยซ้ำว่าจะไม่มีใครตอบเขาเวลาเขาส่งข้อความในแชทกลุ่ม เป็นเพราะเขา พี่น้องคนอื่นไม่สนใจผมเลย ผมเลยใช้เวลาทั้งหมดไปกับการสู้กับเขา หวังว่าจะได้อยู่เหนือกว่าให้พี่น้องชื่นชมและยกย่องผม นี่เป็นพฤติกรรมที่ผมจะแสดงบ่อยๆตอนผมแข่งขันให้ได้ชื่อเสียงและสถานะ แล้วพอความทะเยอทะยานและความปรารถนาของผมไม่เป็นจริง ผมคิดว่าผมไม่มีโอกาสจะโดดเด่นแล้ว และอยากจะเลิกเป็นคนประกาศ คิดว่าผมจะมีโอกาสสร้างชื่อเสียงในหน้าที่อื่นอีก ผมรู้ตัวได้ว่าความหลงไหลในชื่อเสียงและสถานะของผมมันควบคุมไม่ได้แล้ว ผมเป็นเหมือนกับศัตรูของพระคริสต์ในความรักในชื่อเสียงและสถานะของผม ความปรารถนานี้ได้หยั่งรากในตัวผม เป็นธรรมชาติที่แท้จริงของผม ผมตระหนักได้ว่าเส้นทางที่ผมเดินนั้นอันตรายมาก พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นมิอาจล่วงเกินได้—พระองค์ทรงชอบธรรม ถ้าผมไม่แสวงหาความเปลี่ยนแปลง และมุ่งเน้นแต่การแก่งแย่งชื่อเสียงและสถานะโดยที่ไม่นึกถึงงานของคริสตจักรแม้แต่น้อย ผมจะถูกพระเจ้าปฏิเสธและขับออก ผมรู้สึกขยะแขยงกับพฤติกรรมของตัวเอง และไม่อยากแก่งแย่งเพื่อสถานะกับคู่ทำงานอีกแล้ว ผมอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ช่วยให้ผมหลุดพ้นจากบ่วงโซ่ของอุปนิสัยเยี่ยงซาตานนี้
จากนั้นผมก็มาเจอพระวจนะบทตอนนี้ “ไม่ว่าทิศทางหรือเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของเจ้าคืออะไร หากเจ้าไม่ทบทวนการไล่ตามไขว่คว้าสถานะและเกียรติยศ และหากเจ้าพบว่าเป็นการยากมากที่จะละวางสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า ตราบใดที่สถานะมีที่ทางในหัวใจของเจ้า สถานะก็จะควบคุมและมีอิทธิพลต่อทิศทางชีวิตของเจ้าและจุดหมายที่เจ้าเพียรพยายามบรรลุจนหมดสิ้น ซึ่งในกรณีนี้ย่อมจะยากมากที่เจ้าจะเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า การที่เจ้าจะสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่ในท้ายที่สุดนั้นแน่นอนว่าชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หากเจ้าไม่มีวันสามารถละวางการไล่ตามไขว่คว้าสถานะของตน นี่ย่อมจะส่งผลกระทบต่อความสามารถของเจ้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างเพียงพอ ซึ่งจะทำให้ยากมากที่เจ้าจะกลายเป็นสิ่งทรงสร้างที่พระเจ้าทรงยอมรับได้ เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้? พระเจ้าไม่ทรงเกลียดชังสิ่งใดมากไปกว่าเวลาที่ผู้คนไล่ตามไขว่คว้าสถานะ เพราะการไล่ตามไขว่คว้าสถานะคืออุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เป็นเส้นทางที่ผิด และเกิดจากความเสื่อมทรามของซาตาน เป็นบางสิ่งที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษ และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพิพากษาและชำระให้สะอาด พระเจ้าไม่ทรงดูหมิ่นสิ่งใดมากไปกว่าเวลาที่ผู้คนไล่ตามไขว่คว้าสถานะ แต่ทว่าเจ้ายังคงแข่งขันกันอย่างดันทุรังเพื่อสถานะ เจ้าทะนุถนอมและปกป้องสถานะอย่างไม่ลดละ พยายามเอาสถานะมาเป็นของตนเองอยู่เสมอ และโดยธรรมชาติแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นปรปักษ์กับพระเจ้ามิใช่หรือ? พระเจ้าไม่ได้ทรงลิขิตสถานะขึ้นมาให้แก่ผู้คน พระเจ้าทรงจัดเตรียมความจริง หนทาง และชีวิตให้ผู้คน และในท้ายที่สุดแล้วก็ทรงทำให้พวกเขากลายเป็นสิ่งทรงสร้างที่ยอมรับได้ของพระเจ้า สิ่งทรงสร้างขนาดเล็กและไร้นัยสำคัญของพระเจ้า—ไม่ใช่ใครบางคนที่มีสถานะและความมีเกียรติในสังคมและเป็นที่เคารพของผู้คนหลายพันคน และดังนั้น ไม่ว่าจะมองจากมุมมองใด การไล่ตามเสาะหาสถานะก็คือทางตัน ไม่ว่าคำแก้ตัวของเจ้าสำหรับการไล่ตามเสาะหาสถานะจะสมเหตุสมผลเพียงใด เส้นทางนี้ก็ยังคงเป็นเส้นทางที่ผิด และไม่เป็นที่สรรเสริญของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าพยายามหนักเพียงใดหรือว่าเจ้าจ่ายราคามากเพียงใด หากเจ้าพึงปรารถนาสถานะ พระเจ้าก็จะไม่ประทานสถานะแก่เจ้า หากพระเจ้าไม่ทรงมอบสถานะ เจ้าย่อมจะล้มเหลวในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสถานะ และหากเจ้ายังคงต่อสู้อยู่เรื่อยไป ก็ย่อมจะมีจุดจบเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ เจ้าจะถูกเปิดโปงและขับออกไป ซึ่งก็คือทางตัน” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า: พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สาม)) ผ่านพระวจนะ ผมได้เห็นว่า การไล่ตามเสาะหาสถานะของผมไม่เพียงขัดขวางการทำหน้าที่ แต่ยังทำให้ผมขาดคุณสมบัติในการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เพราะว่าผมคอยเอาแต่จะแสวงหาสถานะ เอาแต่พยายามที่จะได้รับการยกย่องจากทุกคนและอยู่เหนือกว่ามัทธิว คอยแก่งแย่งและแข่งขันอยู่ตลอด ผมมุ่งร้ายมากขึ้นเรื่อยๆและขาดความเป็นมนุษย์ปกติ ผมมองเห็นว่าการแสวงหาชื่อเสียงและสถานะไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง และเป็นเส้นทางต่อต้านพระเจ้าที่จะนำไปสู่ความล่มจม เพราะว่าผมมองตัวเองเป็นผู้เชื่อและเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ผมควรมุ่งเน้นไปที่การแสวงหาความจริง และเลิกดิ้นรนกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์อย่างชื่อเสียงและสถานะ ตอนนั้นเองที่ผมจะสามารถหลีกเลี่ยงการทำชั่วและต่อต้านพระเจ้าได้ ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ว่า “พระเจ้าที่รัก! ข้าพระองค์รับรู้ถึงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตน เนื่องจากความหลงไหลในชื่อเสียงและสถานะ ข้ามักจะรู้สึกอิจฉามัทธิวและไม่อยากเป็นคู่ทำงานด้วย พระเจ้าที่รัก! จากนี้ข้าฯ จะกลับใจ ไม่เสาะหาชื่อเสียงและสถานะ ข้าจะแสวงหาเพียงความจริงและทำหน้าที่ให้ดี พระเจ้าโปรดทรงนำและช่วยข้าด้วย”
ระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ผมก็ได้เจอพระวจนะบทตอนนี้ “อะไรคือหลักการประพฤติปฏิบัติตนของพวกเจ้า? เจ้าควรประพฤติตนให้สอดคล้องกับที่ตั้งของเจ้า หาที่ตั้งที่เหมาะสมกับตัวเจ้า แล้วปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าควรทำ นี่เท่านั้นคือใครบางคนที่มีสำนึก ตัวอย่างเช่น มีผู้คนที่ทำได้ดีในวิชาชีพหนึ่งและสามารถจับความเข้าใจในหลักการของวิชาชีพนั้น และพวกเขาควรแบกรับความรับผิดชอบนั้นและทำการตรวจสอบขั้นสุดท้ายในส่วนนั้น มีผู้คนที่สามารถจัดเตรียมแนวคิดและความรู้ความเข้าใจเชิงลึก โดยทำให้ผู้อื่นสามารถต่อยอดแนวคิดของตนและปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีขึ้น—เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจึงควรจัดเตรียมแนวคิด หากเจ้าสามารถหาที่ตั้งอันเหมาะควรสำหรับตัวเจ้าและทำงานในความปรองดองกับพี่น้องชายหญิงของเจ้า เจ้าก็กำลังทำให้หน้าที่ของเจ้าลุล่วง และเจ้ากำลังประพฤติตนอย่างสอดคล้องกับที่ตั้งของเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน) พระวจนะให้เส้นทางปฏิบัติแก่ผม ผมคิดว่า “ผมเป็นคนปกติ—ผมควรแสวงหาเพื่อให้ได้เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง เพื่อให้ได้ยืนในตำแหน่งของผม ได้ทำงานกับผู้อื่นอย่างปรองดอง และทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แบบนี้เท่านั้นคือเส้นทางที่ถูกต้อง” ผมคิดถึงการที่พระเจ้าให้อาดัมตั้งชื่อให้แก่สัตว์ต่างๆ พระองค์ยอมรับชื่อที่อาดัมคิดมา—พระองค์ไม่ปฏิเสธอาดัมและกำหนดชื่อขึ้นมาเอง เพื่อแสดงว่าพระองค์ยิ่งใหญ่กว่าแค่ไหน แต่ยอมรับตัวเลือกของอาดัม นี่แสดงให้ผมเห็นว่าความความถ่อมใจและความซ่อนเร้นของพระเจ้านั้นเป็นที่รักอย่างแท้จริง พระเจ้านั้นอยู่สูงสุด องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งทรงสร้างทั้งหมด แต่พระองค์ยังปกปิดตนเองอย่างถ่อมใจ สำหรับผมนั้น ผมเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั่วไป แต่ผมพยายามอวดตัวและได้รับความเคารพจากผู้อื่น ผมถึงกับพยายามกดขี่ผู้ที่ทำหน้าที่ได้ดี เพื่อชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง ผมนั้นโอหังและไร้เหตุผลที่สุด! ผมเสียใจกับสิ่งที่ทำไปมาก ผมจึงมาเฉพาะพระพักตร์เพื่อกลับใจและอธิษฐานต่อพระองค์ ขอให้พระองค์ช่วยให้ผมมีความกล้าหาญที่จะเปิดโปงตัวเองต่อหน้าคู่ทำงาน
ต่อมา ผมรวบรวมความกล้าและไปขอโทษมัทธิว เปิดโปงถึงอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ที่ก่อขึ้นในความปรารถนาที่จะแก่งแย่งชื่อเสียงและสถานะกับเขาอย่างลับๆ หลังจากปฏิบัติแบบนั้นไป ผมรู้สึกสงบสุขขี้นมาก ต่อมา มัทธิวก็เจอพระวจนะที่เกี่ยวข้องกับสภาวะของผม และพระวจนะเหล่านั้นนั้นช่วยผมได้มาก ผมขอบคุณพระเจ้ามากๆ! ผมสาบานต่อพระองค์ว่าผมจะประพฤติตนอย่างที่พระองค์ต้องการ หลังจากนั้น ผมเลิกเมินข้อความของคู่ทำงานของผม แล้วเริ่มรายงานสถานะของโครงการที่ผมรับผิดชอบอย่างตั้งใจ เพื่อให้เขารู้ความคืบหน้าของงานของผม และคอยดูแลและช่วยเหลือผม เราหารือเรื่องงานของเราและทำงานคู่กันในการชุมนุมและสามัคคีธรรม เราเติมเต็มแต่ละฝ่ายและส่งเสริมงานของคริสตจักรอย่างเป็นทีม ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย จูดี้ ฟิลิปปินส์ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2021 ฉันให้น้ำผู้มาใหม่ในคริสตจักร พี่น้องชายเจเรมีกำกับดูแลงานของพวกเรา...
โดย ห้าว ลี่, ประเทศจีน ฉันเข้ารับตำแหน่งผู้นำคริสตจักร เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2019 ค่ะ ครั้งหนึ่งฉันจำได้ หลังจบการสามัคคีธรรม...
ปี 2021 ฉันได้รับเลือกเป็นผู้นำคริสตจักร เป็นเวลานึง ที่ฉันมีปัญหากับงานให้น้ำของเรา ผู้ให้น้ำบางคนไม่มาร่วมชุมนุมอย่างสม่ำเสมอ...
โดย หวาง หลิน, เกาหลีใต้ เพราะว่าผมมีทักษะการเชื่อมเหล็ก ในปี 2017 ผมจึงได้รับมอบหมายให้ไปดูแลงานของคริสตจักร มันเป็นงานที่ใช้กำลัง...