หน้าที่ของฉันกลายเป็นเชิงธุรกรรมแลกเปลี่ยนได้อย่างไร
โดย ไฉ่ น่า, ประเทศจีน ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2017 ฉันทนทุกข์กับอาการความดันโลหิตสูง...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ผมกับภรรยายอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าตามกันมาในฤดูใบไม้ร่วงปี 2007 ผ่านการอ่านพระวจนะ ผมก็ได้มั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากความวิบัติ ผมคิดว่าการมีโอกาสได้ยอมรับความรอดของพระเจ้าตอนที่อายุมากแล้วเป็นพระพรอันเหลือเชื่อ และเป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่เราพลาดไม่ได้ หลังยอมรับข่าวประเสริฐไม่นาน เราสองคนก็เริ่มทำหน้าที่ ผมแบ่งปันข่าวประเสริฐและให้น้ำผู้มาใหม่ ส่วนภรรยาเป็นเจ้าบ้านอยู่ที่บ้าน เราใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข แล้วไม่นาน อาการเกี่ยวกับช่องท้อง โรคหลอดลมอักเสบ และอาการป่วยอื่นๆ ของภรรยาผมก็ดีขึ้นเอง พระเจ้าประทานพระคุณและทรงอวยพรเรา ความเชื่อในพระเจ้าของเราเติบโตขึ้น และผมก็มีแรงขับเคลื่อนในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ ปี 2012 ผมถูกจับและถูกนำตัวไปยังสถานีตำรวจนครบาลขณะกำลังแบ่งปันข่าวประเสริฐ หลังถูกปล่อยตัว ตำรวจก็ยังเทียวคุกคามเราเพราะความเชื่อ แถมพวกเขาขู่เราด้วยว่า ถ้ายังเชื่อต่อไป เรื่องนี้จะเสียไปถึงโอกาสในอนาคตของลูกหลานเรา ลูกสะใภ้เชื่อคำโกหกของพรรคเรื่องความเชื่อของเราและไล่ผมกับภรรยาออกจากบ้านช่วงเทศกาลตรุษจีน พวกเราไม่มีที่ไป อีกทั้งรู้สึกทุกข์ตรมและอ่อนแอ เราชูใจและหนุนใจกันว่า “นี่คือกระบวนการถลุงจากพระเจ้า และเป็นความยากลำบากที่เราควรแบกรับ จะท้อใจไม่ได้ เราทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมีอะไรเลย แต่เราอยู่ไม่ได้หากไม่มีพระเจ้า” หลังจากนั้นเราก็ไปอยู่ในบ้านที่ไม่มีคนอยู่ ทำหน้าที่เจ้าบ้าน เราอยู่ที่บ้านหลังนั้นแปดปี ถึงจะเป็นที่ที่ทรุดโทรม เราก็ไม่เคยถูกรบกวนจากการเชื่อและกินดื่มพระวจนะ หัวใจของเราจึงเป็นอิสระ
ในเดือนกันยายนปี 2022 อาการเจ็บหน้าอกที่ภรรยาผมเป็นมาหลายปีเริ่มกำเริบ ในหนึ่งวันกำเริบอยู่หลายครั้ง และความเจ็บปวดก็ถี่ขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ในการชุมนุม เธอไม่สามารถคุกเข่าลงเพื่ออธิษฐานได้ด้วยซ้ำ บางครั้งหัวใจของเธอก็เริ่มมีอาการเจ็บขึ้นมาตอนที่เธอกำลังล้างหน้า เวลาที่เจ็บมากๆ เธอต้องยืนอยู่อย่างนั้น รอให้ความเจ็บปวดบรรเทาถึงได้ล้างหน้าต่อจนเสร็จ การเห็นอาการของภรรยาทรุดลงทุกวันทำให้ผมกลัดกลุ้มและกังวลมาก แต่ผมคิดว่าเราเป็นผู้เชื่อ เราจึงได้รับการเอาใจใส่และการคุ้มครองจากพระเจ้า พระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงทำให้คนตายฟื้นกลับมาได้ ไม่มีอะไรที่พระองค์ทำไม่ได้ ภรรยาผมเคยเจ็บออดๆ แอดๆ มาก่อน แต่พอได้รับความเชื่อเธอก็ดีขึ้นถนัด แล้วปัญหาทางสุขภาพนิดหน่อยนี้จะเป็นไรไป? ผมไม่ได้คิดมากเรื่องนั้น และปลอบใจเธอไปว่า “ไม่ต้องกลัว—เรามีพระเจ้าอยู่ พระองค์จะทรงคุ้มครองเรา” ต่อมา ผมสังเกตว่าภรรยาเจ็บปวดยิ่งขึ้นกว่าเดิม และการกินยามากขึ้นก็ไม่ช่วยเลย ผมนึกถึงการที่พระเจ้าทรงงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและทรงคุ้มครองผู้คน แต่เราก็ต้องให้ความร่วมมือในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ผมเลยรีบพาภรรยาไปโรงพยาบาล ผลตรวจออกมาว่า ตับ ไต และปอดของเธอได้รับความเสียหายทั้งหมด หมอส่งตัวเธอเข้าห้องผู้ป่วยวิกฤตทันที บอกว่าชีวิตเธอตกอยู่ในอันตรายเฉียบพลัน และผมควรเซ็นหนังสือแจ้งภาวะวิกฤตไว้ พอเห็นหนังสือแจ้งภาวะวิกฤตผมก็อึ้งจนเกือบเป็นลม ผมยอมรับความเป็นจริงไม่ได้จริงๆ ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นได้ยังไง? พวกเราเป็นผู้เชื่อที่ได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้า เรื่องนั้นจึงไม่ควรเกิดขึ้นกับเรา ผมอ้อนวอนหมอ ขอให้เขาคิดหาวิธีรักษาโรคของภรรยาผม ให้ใช้ยาตัวไหนก็ได้ที่อาจได้ผล หมอบอกว่าเขาไม่สามารถรับประกันได้ พอได้ยินเขาพูดแบบนั้นผมก็เจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม ผมคิดว่าผมไม่สามารถพึ่งพาหมอได้ ดังนั้นผมจะพึ่งพิงพระเจ้า พอกลับมาที่หอพักผู้ป่วย ผมก็อธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ภรรยาของข้าพระองค์ป่วยหนัก และหมอก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ข้าพระองค์ขอมอบภรรยาให้แก่พระองค์ พระองค์ทรงเป็นนายแพทย์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้ เมื่อมีพระองค์ก็ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ ต่อให้ภรรยารักษาไม่หาย ข้าพระองค์ก็จะไม่ติเตียนพระองค์” ผมรู้ว่าขณะนี้ พระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจที่เหนือธรรมชาติ แต่ผมก็นึกถึงคำพยานประสบการณ์ของพี่น้องชายหญิงบางคน พวกเขาเริ่มป่วยหนัก แล้วพึ่งพิงพระเจ้า จากนั้นก็ดีขึ้นราวปาฏิหาริย์ ผมยังหวังให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับภรรยาของผม หวังว่าอาการของเธออาจจะดีขึ้น แต่ก็ต้องแปลกใจที่เช้าวันที่สามเธอก็พูดไม่ได้อีกต่อไป และลืมตาไม่ได้แล้ว ผมเห็นว่าไม่ใช่แค่อาการของเธอไม่ดีขึ้น แต่กลับแย่ลงไปทุกที ผมใจสลายอย่างที่สุด และร้องเรียกพระเจ้าอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! เห็นได้ชัดว่าภรรยาของข้าพระองค์อาการไม่ดีเลย เธอเป็นผู้เชื่อแท้จริงที่ติดตามพระองค์มาตลอดสิบปี เธอทนทุกข์และถูกกดขี่เพราะความเชื่อ ได้โปรดแสดงการอัศจรรย์และทำให้เธอดีขึ้นด้วยเถิด พระองค์ทรงรักษาเธอได้ แล้วนั่นจะทำให้การประกาศข่าวประเสริฐและคำพยานของเราน่าเชื่อถือมากขึ้น” แต่ผมก็ต้องตกใจที่ในวันที่สี่ เธอก็สิ้นลมหายใจ ผมรู้สึกหมดหวังโดยสิ้นเชิง ผมไม่มีทางอธิบายความเจ็บปวดที่รู้สึกได้เลย ผมร้องไห้และอดไม่ได้ที่จะเริ่มติเตียนพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ไม่ว่ายังไงภรรยาของข้าพระองค์ก็เป็นผู้เชื่อ เธอทนทุกข์และตรากตรำทำงานเพื่อติดตามพระองค์ เจ็บป่วยแค่ไหนก็ไม่เคยติเตียนพระองค์เลย ทำไมพระองค์ถึงไม่ทรงคุ้มครองเธอ? ตอนนี้เธอจากไปแล้ว ข้าพระองค์ถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง หันไปก็ไม่เจอใครแล้ว ข้าพระองค์จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง? ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อหรือไม่ พวกเราก็ตายเหมือนกันหมดใช่ไหม? ข้าพระองค์เองก็เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ไม่ช้าก็เร็ววันของข้าพระองค์จะมาถึง แล้วในฐานะผู้เชื่อยังมีอะไรให้หวังอีก?” หลังจากนั้นผมก็หมดอาลัยตายอยาก และไม่อยากอ่านพระวจนะด้วยซ้ำ ผมอธิษฐานอยู่เพียงไม่กี่คำเพราะไม่มีอะไรจะพูดมากนัก เมื่อไรที่ผมนึกถึงการที่เราเคยพึ่งพากันและกัน และนึกถึงเหตุการณ์อันน่าประทับใจของเราในช่วงเวลาที่ยากลำบาก การกินดื่มพระวจนะ สามัคคีธรรมด้วยกัน และหนุนใจกันและกันผมก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ โดยปกติคนที่ดูแลผมก็คือคู่ชีวิตของผม และตอนนี้ที่เธอจากไปก็ไม่มีใครดูแลผมแล้ว ผมเผชิญกับความยากลำบากทุกรูปแบบ และรู้สึกโดดเดี่ยวจริงๆ เราจะมีชีวิตที่แสนเจ็บปวดนี้ไปเพื่ออะไร? ผมอยากตายและจบเรื่องนี้ไปเสีย ชีวิตของผมช่วงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและทุกข์ตรม ผมกินไม่ได้ และนอนไม่หลับ รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักอึ้งอยู่ในหัวใจ สุขภาพของผมทรุดโทรมลงไปทุกวัน ผมความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นช้ามากจึงต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล ตอนนั้นเองผมถึงตระหนักว่าการเป็นแบบนั้นจะอันตรายมาก ผมเลยอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า! เมื่อภรรยาจากไป ข้าพระองค์ก็ดิ้นรนและโดดเดี่ยว ข้าพระองค์หมดเรี่ยวแรงจะใช้ชีวิตต่อไป และหวังที่จะตาย ข้าพระองค์รู้ว่าความคิดเหล่านั้นไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัย แต่ข้าพระองค์ยังไม่สามารถละทิ้งตัวเองได้ ได้โปรดประทานความเชื่อให้ข้าพระองค์สามารถตั้งมั่น และไม่ล้มลงในบททดสอบนี้ด้วยเถิด”
ค่ำวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังจะเข้านอน จู่ๆ พระวจนะบางส่วนก็ผุดขึ้นมาในความคิด “แก่นแท้ของความรักที่เจ้ามีต่อพระเจ้าคืออะไร? หากเจ้ารักเรา เจ้าย่อมจะไม่ทรยศเรา” ผมตระหนักว่านี่คือการให้ความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้า จึงรีบไปค้นดูในพระวจนะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ดังที่เรากล่าวแล้ว บรรดาผู้ที่ติดตามเรามีมากมาย แต่ผู้ที่รักเราอย่างแท้จริงมีเพียงนิดเดียว บางที บางคนอาจกล่าวว่า ‘เราจะจ่ายราคาแพงขนาดนั้นหรือหากเราไม่ได้รักพระองค์? เราจะติดตามมาจนถึงจุดนี้หรือหากเราไม่ได้รักพระองค์?’ เจ้ามีเหตุผลมากมายเป็นแน่ และความรักของเจ้ายิ่งใหญ่มากเป็นแน่ แต่แก่นแท้ของความรักที่เจ้ามีให้เราคืออะไร? ‘ความรัก’ ก็เป็นดั่งชื่อของมันซึ่งอ้างอิงถึงความเสน่หาซึ่งไร้ราคีและปราศจากมลทิน ที่เจ้าใช้หัวใจของเจ้าเพื่อรัก เพื่อรู้สึก และเพื่อครุ่นคิด ในความรักไม่มีเงื่อนไข ไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่มีระยะห่าง ในความรักไม่มีความสงสัย ไม่มีการหลอกลวง และไม่มีความเจ้าเล่ห์ ในความรักไม่มีการค้าขาย และไม่มีสิ่งใดไม่บริสุทธิ์ หากเจ้ารัก เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่หลอกลวง พร่ำบ่น ทรยศ ก่อกบฏ เรียกร้องหรือแสวงหาที่จะได้รับบางสิ่งหรือได้รับในปริมาณที่เจาะจง หากเจ้ารัก เจ้าก็จะมอบอุทิศตัวของเจ้าอย่างยินดี จะทนทุกข์กับความยากลำบากอย่างยินดี เจ้าจะไปกันได้กับเรา เจ้าจะละทิ้งทุกอย่างที่เจ้ามีเพื่อเรา เจ้าจะยอมละทิ้งครอบครัวของเจ้า อนาคตของเจ้า วัยเยาว์ของเจ้า และการสมรสของเจ้า หาไม่แล้ว ความรักของเจ้าจะไม่ใช่ความรักเลย แต่เป็นการหลอกลวงและการทรยศ! ความรักของเจ้าเป็นแบบใด? มันคือรักแท้? หรือเทียมเท็จ? เจ้าได้ละทิ้งไปมากเพียงใด? เจ้าได้ส่งมอบให้มากเพียงใด? เราได้รับความรักจากเจ้ามากเพียงใด? เจ้ารู้หรือไม่? หัวใจของพวกเจ้าเต็มไปด้วยความชั่วร้าย การทรยศ และความหลอกลวง—ดังนั้นแล้ว ความรักของพวกเจ้ามากเท่าใดที่ไม่บริสุทธิ์? พวกเจ้าคิดว่าเจ้าได้ยอมละทิ้งเพื่อเรามากพอแล้ว พวกเจ้าคิดว่าความรักที่พวกเจ้ามีต่อเรานั้นมากพอแล้ว แต่ถ้าเช่นนั้น เหตุใดคำพูดและการกระทำของพวกเจ้าจึงเป็นกบฏและหลอกลวงอยู่เสมอ? พวกเจ้าติดตามเรา แต่เจ้าไม่รับรู้ถึงวจนะของเรา สิ่งนี้ถือเป็นความรักหรือ? พวกเจ้าติดตามเรา แต่กระนั้น พอถึงเวลา เจ้าก็กำจัดเราให้พ้นทาง สิ่งนี้ถือเป็นความรักหรือ? พวกเจ้าติดตามเราแต่เจ้าไม่เชื่อใจเรา สิ่งนี้ถือเป็นความรักหรือ? พวกเจ้าติดตามเรา แต่เจ้าไม่สามารถยอมรับการดำรงอยู่ของเราได้ สิ่งนี้ถือเป็นความรักหรือ? พวกเจ้าติดตามเรา แต่พวกเจ้าไม่ปฏิบัติต่อเราอย่างเหมาะสมกับผู้ที่เราเป็น และเจ้าทำให้สิ่งต่างๆ ยากสำหรับเราทุกครั้งที่เราพยายามทำบางสิ่ง สิ่งนี้ถือเป็นความรักหรือ? พวกเจ้าติดตามเรา แต่เจ้าพยายามหลอกและโป้ปดเราในทุกเรื่อง สิ่งนี้ถือว่าเป็นความรักหรือไม่? พวกเจ้ารับใช้เรา แต่เจ้าไม่พรั่นพรึงในตัวเรา สิ่งนี้ถือเป็นความรักหรือ? พวกเจ้าต่อต้านเราในทุกด้านและทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งหมดนี้ถือเป็นความรักหรือ? พวกเจ้าได้มอบอุทิศมามาก นั่นคือความจริง แต่พวกเจ้าก็ยังไม่เคยปฏิบัติในสิ่งที่เราพึงประสงค์จากพวกเจ้า สิ่งนี้สามารถถือเป็นความรักได้หรือ? จากการคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแสดงให้เห็นว่าภายในพวกเจ้าไม่มีเค้าของความรักต่อเราเลยแม้แต่น้อย หลังจากช่วงเวลาการทำงานหลายปีของเราและวจนะมากมายที่เราได้จัดหาให้ พวกเจ้าได้รับไปจริงๆ มากเท่าใด? สิ่งนี้ไม่ควรค่าแก่การมองย้อนกลับไปพิจารณาอย่างถี่ถ้วนหรอกหรือ? เราขอตักเตือนพวกเจ้าว่า ผู้คนที่เราเรียกไม่ใช่ผู้ที่ไม่เคยถูกทำให้เสื่อมทราม ตรงกันข้าม ผู้ที่เราเลือกคือผู้ที่รักเราอย่างแท้จริง ดังนั้น พวกเจ้าต้องระมัดระวังคำพูดและความประพฤติของพวกเจ้า และตรวจดูเจตนาและความคิดของพวกเจ้าเพื่อให้สิ่งเหล่านี้ไม่ข้ามเส้นนั้น เมื่อถึงเวลาแห่งยุคสุดท้าย จงใช้ความพยายามสูงสุดที่เจ้ามีส่งมอบความรักของพวกเจ้าต่อหน้าเรา มิฉะนั้นความโกรธเคืองของเราจะไม่มีวันไปจากพวกเจ้า!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้ที่ถูกเรียกมีมากมาย แต่ผู้ที่ถูกเลือกมีเพียงนิดเดียว) พระเจ้าทรงพิพากษาหัวใจของผมด้วยคำถามแต่ละคำ ทำให้ผมรู้สึกละอายในตัวเอง และไม่สามารถตอบคำถามได้ ขณะที่อ่าน ผมไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความเสียใจเอาไว้ได้ ทั้งหมดคือข้อเรียกร้องที่พระเจ้าทรงมีต่อผม แต่ผมไม่ได้ทำให้ลุล่วงแม้แต่ข้อเดียว ความรักที่ผมมีต่อพระเจ้าไม่ใช่ความรักแท้จริง แต่เป็นความรักจอมปลอม มีมลทิน และเป็นการแลกเปลี่ยน แต่ผมก็ยังคิดว่าผมมีความรักต่อพระเจ้า ผมไม่รู้จักตัวเองสักนิดเลยจริงๆ ปกติเวลาผมเผชิญความยากลำบากหรือเจ็บป่วยและผมได้รับการเอาใจใส่และความคุ้มครองจากพระเจ้า หรือในยามที่ผมรู้สึกเหมือนมีความหวังจะถูกช่วยให้รอดและเข้าสู่ราชอาณาจักร ผมก็จะขอบคุณพระเจ้าและมีเรี่ยวแรงล้นเหลือ เมื่อความเชื่อนั้นยากลำบากและเจ็บปวด อย่างการถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุมตัว ถูกลูกๆ กดขี่ข่มและปฏิเสธ ถูกญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านเยาะเย้ยและว่าร้าย ผมก็รับมือกับความยากลำบากทั้งหมดนั้นได้ ผมยอมที่จะหนีออกจากบ้านไปขอทาน และเตร็ดเตร่ไปตามถนนดีกว่าทรยศพระเจ้า ผมคิดว่าสิ่งนี้หมายถึงผมมีความรักที่แท้จริง และมีความนบนอบที่แท้จริงต่อพระเจ้า และสุดท้าย พระเจ้าจะทรงช่วยผมให้รอดและเป็นคนที่เหลืออยู่ แต่เมื่อมีของจริงเกิดขึ้นและความตายของคู่ชีวิตก็ทำร้ายจิตใจผมอย่างมาก ทำให้ผมต้องอยู่ลำพัง โดดเดี่ยว เจ็บปวด และไม่มีใครให้พึ่งพา แถมทำให้ความฝันที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรกับภรรยาขาดสะบั้นด้วย ผมก็ถูกเปิดโปงอย่างหมดเปลือก ผมไม่เพียงแต่ติเตียนพระเจ้าที่ไม่ทรงคุ้มครองภรรยา ทว่ายังตั้งคำถามกับพระองค์ และอยากตายเพื่อจะไปเผชิญหน้ากับพระองค์ด้วย ผมไม่มีความเชื่อฟัง ผมไม่มีร่องรอยของความรักที่มีให้พระเจ้าเลย พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์สองครั้งเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ ทรงทนทุกข์ความเจ็บปวดทุกรูปแบบ ทรงแสดงความจริงเพื่อให้น้ำและเลี้ยงดูพวกเราอยู่หลายปี ทรงยอมลำบากหนักหนา เพื่อให้เราสามารถเข้าใจความจริงได้ ไม่ว่าผมทำตัวกบฏหรือขัดขืนแค่ไหน พระเจ้าก็ทรงอดทน อดกลั้น และเปี่ยมกรุณาต่อผมครั้งแล้วครั้งเล่า ประทานโอกาสให้ผมกลับใจ พระเจ้าทรงเฝ้าดูแลพวกเราหลายครั้งผ่านอันตรายและความยากลำบาก ทรงป้องกันพวกเราให้พ้นจากอันตราย เมื่อผมรู้สึกอ่อนแอและคิดลบ พระวจนะก็เกื้อหนุนและค้ำจุนผม มอบความเข้มแข็งให้ผม ทำให้วิญญาณของผมแข็งแกร่ง พระองค์ทรงนำผมมาทีละก้าวจนถึงปัจจุบัน ความรักของพระเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก และจริงแท้เหลือเกิน ไม่มีสิ่งเจือปนและเงื่อนไขใดๆ เลย แต่ความรักที่ผมมีต่อพระเจ้ามีมลทินและเป็นการแลกเปลี่ยนเหลือเกิน ผมกู่ร้องเสมอเรื่องที่พระวจนะควรปกครองสูงสุดในหัวใจผม แต่ทันทีที่ภรรยาของผมตาย ผมก็นึกถึงแต่เธอ ความรักที่ผมมีต่อคู่ชีวิตมากกว่าความรักที่ผมมีต่อพระเจ้า—พระองค์ไม่มีที่ทางในหัวใจของผมเลย ผมเห็นว่าสิ่งที่ผมเรียกว่าความรักเป็นแค่คำติดปาก เป็นคำสอน ผมทั้งหลอกและลวงพระเจ้า สิ่งนี้ไม่อาจยืนหยัดในการทดสอบได้—มีแต่ความจอมปลอม! พอตระหนักเรื่องนี้ได้ ผมก็เสียใจที่ทำตัวเป็นกบฏเกินไปและไม่มีมโนธรรมเลย ผมมาเฉพาะพระพักตร์เพื่ออธิษฐานและกลับใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า! พออ่านพระวจนะแล้ว ข้าพระองค์ก็รู้สึกติดค้างพระองค์ หลายปีที่ข้าพระองค์ติดตามพระองค์มา พระองค์ทรงให้น้ำ ทรงเลี้ยงดู ทรงเกื้อหนุน และทรงค้ำจุนข้าพระองค์ ทรงยอมลำบากหนักหนา ความรักที่พระองค์ทรงมีต่อข้าพระองค์นั้นแสนจริงแท้ แต่ความรักที่ข้าพระองค์มีต่อพระองค์กลับเป็นแค่คำขวัญ เป็นคำพูด มีแต่ความจอมปลอม เป็นการหลอกลวง ข้าพระองค์ไม่คู่ควรที่จะมาเฉพาะพระพักตร์ ข้าพระองค์ไม่อยากทำให้พระองค์เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าในอนาคตข้าพระองค์จะเผชิญความยากลำบากหรือสถานการณ์ใด ไม่ว่าสิ่งต่างๆ ยากเย็นเพียงไหน ข้าพระองค์ก็จะไม่ติเตียนพระองค์อีกแล้ว ข้าพระองค์พร้อมที่จะนบนอบต่อการทรงจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์” หลังจากวันนั้นผมก็สงบใจ กินและดื่มพระวจนะ ดูวิดีโอ และฟังบทเพลงสรรเสริญ แล้วผมก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่เคย
วันหนึ่ง ผมบังเอิญเจอพระวจนะบทตอนหนึ่ง และตอนนั้นเองผมถึงตระหนักว่า สาเหตุที่ผมไม่อาจปล่อยวางจากความตายของภรรยาได้ แถมยังซ่อนงำการติเตียนและความเข้าใจผิดที่มีต่อพระเจ้าเป็นเพราะทัศนะในการไล่ตามเสาะหาของผมไม่ถูกต้อง พระวจนะกล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือการที่จะสามารถได้รับสันติสุขภายหลังการเชื่อในพระเจ้า เพื่อลูกหลานของเจ้าจะได้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อสามีของเจ้าจะมีงานที่ดี เพื่อบุตรชายของเจ้าจะได้เจอภรรยาที่ดี เพื่อบุตรสาวของเจ้าจะได้เจอสามีที่มีความประพฤติดีเหมาะสม เพื่อม้าและโคของเจ้าจะไถพรวนผืนดินได้ดี เพื่อปีที่มีสภาพอากาศที่ดีสำหรับพืชผลของเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าแสวงหา การไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็เพียงเพื่อจะมีชีวิตในความสุขสบาย เพื่อที่จะไม่มีอุบัติภัยตกมาถึงครอบครัวของเจ้า เพื่อที่สายลมจะโชยผ่านเจ้า เพื่อที่ใบหน้าของเจ้าจะไม่สัมผัสกรวดทราย เพื่อที่พืชผลของครอบครัวเจ้าจะไม่ถูกน้ำท่วม ไม่ได้รับผลกระทบจากความวิบัติอันใด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในรังอันอุ่นสบาย คนขี้ขลาดอย่างเจ้าผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาเนื้อหนังเสมอนั้น—เจ้ามีหัวใจ เจ้ามีจิตวิญญาณหรือไม่? เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกหรือ? เราให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้าโดยไม่ได้ขออะไรกลับคืน กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่? เรามอบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากสุกรหรือสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ? พวกสุกรไม่เสาะหาชีวิตของมนุษย์ พวกมันไม่ไล่ตามเสาะหาการได้รับการชำระให้สะอาด และพวกมันไม่เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร ในแต่ละวัน หลังจากที่พวกมันกินกันจนอิ่มแปล้ มันก็แค่หลับไป เราได้ให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้รับมัน เจ้าเป็นคนมือเปล่า เจ้าเต็มใจที่จะดำเนินต่อไปในชีวิตนี้ ชีวิตของสุกรตัวหนึ่งหรือไม่? อะไรคือนัยสำคัญของการที่ผู้คนเช่นนั้นมีชีวิตอยู่? ชีวิตของเจ้าช่างน่าเหยียดหยามและต่ำศักดิ์ เจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความโสมมและความเสเพล และเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดเลย ชีวิตของเจ้าไม่ได้ต่ำศักดิ์ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดหรอกหรือ? เจ้ากล้าดีที่จะมองพระเจ้าหรือ? หากเจ้ามีประสบการณ์ในหนทางนี้ต่อไป เจ้าย่อมจะไม่ได้สิ่งใดเลยไม่ใช่หรือ? หนทางที่แท้จริงได้ถูกมอบให้เจ้าไปแล้ว แต่การที่เจ้าจะสามารถรับไว้จนถึงที่สุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาส่วนบุคคลของตัวเจ้าเอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) การอ่านพระวจนะทำให้ผมตระหนักว่า ความเชื่อของผมไม่ใช่เพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง แต่เพื่อให้ได้รับการอวยพร เพื่อได้รับประโยชน์และสันติสุข ผมกำลังต่อรองกับพระเจ้า นับตั้งแต่แรกที่ผมกับภรรยายอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า ผมคิดว่าพวกเรามีความเชื่อ ติดตามพระเจ้า สามารถทนทุกข์และยอมลำบากเพื่อพระองค์ได้ ดังนั้นพระองค์จะทรงรับรองสันติสุขและสุขภาพของพวกเราอย่างแน่นอน และเมื่อพระราชกิจของพระองค์สิ้นสุดลง เราก็จะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรด้วยกัน และได้ชื่นชมกับพรแห่งราชอาณาจักร ทันทีที่มาเป็นผู้เชื่อ เราก็แข็งขันในหน้าที่เพื่อจะได้รับบั้นปลายที่ดี ผมเห็นว่าจู่ๆ ภรรยาก็หายจากปัญหาสุขภาพร้ายแรงที่เป็นอยู่หลายอย่าง เราได้รับพระพรและพระคุณจากพระเจ้า ผมเลยยิ่งมีแรงจูงใจมากกว่าเดิม และถึงแม้เราทนทุกข์กับการจับกุมจากพญานาคใหญ่สีแดง และการข่มเหงจากครอบครัว แถมยังถูกลูกๆ ไล่ออกจากบ้าน ไม่ว่ายากลำบากแค่ไหนเราก็ไม่เคยหันกลับไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะติดตามพระเจ้าไปจนปลายทาง ผมคิดว่านี่คือการตั้งมั่นในการเป็นพยาน และมีความอุทิศตนเพื่อพระเจ้า และสุดท้ายเราจะถูกช่วยให้รอดและได้เป็นคนที่เหลือ การที่ภรรยาของผมป่วยนั้นไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของผม และผมก็เรียกร้องให้พระเจ้าทรงแสดงการอัศจรรย์และรักษาภรรยาผม ผมใช้ความทุกข์และการกดขี่ในอดีตมาเป็นทุนในการต่อรองกับพระเจ้าเพื่อเสนอเงื่อนไข การที่ภรรยาเสียชีวิตไปทำให้ความฝันที่เราจะเข้าสู่ราชอาณาจักรและเพลิดเพลินกับพระพรด้วยกันพังไม่เป็นท่า ผมก็หันกลับทันที เรียกร้องอยากจะรู้ว่าทำไมพระเจ้าถึงไม่ทรงคุ้มครองภรรยาผม ผมถึงกับอยากตายเพื่อจะไปเผชิญหน้ากับพระเจ้า ตั้งคำถามกับความชอบธรรมของพระองค์ และรู้สึกเหมือนการมีความเชื่อนั้นไร้ความหมาย ผมเห็นว่าในความเชื่อ ผมก็เป็นเหมือนคนเหล่านั้นในศาสนาที่เรียกร้องในการเติมเต็มตัวเอง ทั้งหมดนั้นเพื่อให้ได้รับพระพรและสันติสุข เมื่อผมได้รับการอวยพร ผมก็ขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า และยกย่องความชอบธรรมของพระองค์ เมื่อผมไม่ได้รับการอวยพร ผมก็ติเตียนพระเจ้า โต้เถียงพระองค์และไม่พอใจ ทั้งหมดที่ผมต้องการในความเชื่อคือการได้รับพระคุณและพระพรจากพระเจ้า ขณะเดียวกันก็อ้างว่าตัวเองรักและนบนอบต่อพระเจ้า นั่นคือการหลอกลวงและหลอกใช้พระองค์ไม่ใช่เหรอ? ชีวิตและทุกสิ่งที่ผมมีเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้ การแต่งงานของผมก็ได้รับการจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า พระเจ้าประทานพระคุณและพระพรอันแสนยิ่งใหญ่แก่ผม แต่ผมก็ยังไม่พอใจ ผมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ และพร่ำบ่นเมื่อบางสิ่งไม่เป็นไปอย่างที่คิด มโนธรรมของผมอยู่ที่ไหน? ผมยังเป็นมนุษย์อยู่ไหม? ผมแย่กว่าสุนัขเสียอีก! สุนัขนั้นสามารถเฝ้าบ้านให้เจ้าของได้ อีกทั้งสัตย์ซื่อต่อพวกเขา แต่ในฐานะผู้เชื่อและผู้ที่ติดตามพระเจ้า ผมยอมรับการให้น้ำและการเลี้ยงดูมากมายจากพระองค์ ชื่นชมในพระคุณอันอุดม แต่ก็ยังไม่อยากตอบแทนความรักของพระเจ้า ถึงกับหลอกลวงพระเจ้าและพยายามต่อรอง ผมไม่มีความเป็นมนุษย์เลย! ผมเห็นว่าตัวผมนั้นมีความเชื่อแค่เพื่อให้ได้รับพระพร ไม่ใช่เพื่อได้รับความจริง เพื่อไล่ตามการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิต หรือใช้ชีวิตที่มีความหมาย หลังจากเชื่อมาหลายปีผมก็ยังไม่มีความเป็นจริงความจริงเลยแม้แต่น้อย ผมใช้เหตุผลกับพระเจ้าและวางเงื่อนไขในทุกเรื่อง เต็มไปด้วยความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อ แต่ผมก็ยังหวังจะได้เข้าสู่ราชอาณาจักร และชื่นชมพระพร ช่างเป็นความคิดเพ้อฝัน! เป็นความฝันที่หลงผิดเหลือเกิน! ถ้าไม่ได้การเปิดโปงของสถานการณ์นั้น ผมก็จะยังไม่รู้จักตัวเองและจะไม่เห็นว่าผมขาดมโนธรรมและเหตุผลแค่ไหน เมื่อก่อน ผมคิดเสมอว่าในฐานะที่เป็นผู้เชื่อมาหลายปี อธิษฐานและอ่านพระวจนะอยู่ทุกวัน ไม่เคยถอยหนีเมื่อเผชิญกับการข่มเหง ผมย่อมเป็นคนที่มีวุฒิภาวะ และผมสละตนเพื่อพระเจ้า ดังนั้นเมื่อถึงเวลา ผมจะถูกช่วยให้รอดและได้เข้าสู่ราชอาณาจักรแน่นอน แต่แล้วผมก็ได้เรียนรู้ว่า ถ้าผมต้องการสัมฤทธิ์ความรอด กุญแจสำคัญคือการนำความจริงมาปฏิบัติและใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริง ถ้าผมไม่เปลี่ยนแปลงการไล่ตามเสาะหาเพื่อให้ได้รับพระพร ผมก็สามารถเชื่อไปจนถึงปลายทางได้ แต่หากไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย ผมก็จะถูกพระเจ้าทรงกำจัดออกไปและทำลายทิ้ง
ต่อมา เมื่อผมเจอพี่น้องชายหญิง พวกเขาก็แบ่งปันพระวจนะสองบทตอนที่แก้ไขสภาวะของผมได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “หากการเกิดของคนเราถูกลิขิตชะตาโดยชีวิตก่อนหน้าของคนเรา เช่นนั้นแล้วความตายก็เป็นเครื่องหมายแสดงบทอวสานของชะตาลิขิตนั้น หากการเกิดของคนเราคือตอนเริ่มต้นภารกิจของคนเราในชีวิตนี้ เช่นนั้นแล้ว ความตายของคนเราก็เป็นเครื่องหมายแสดงบทอวสานของภารกิจของคนเรา เนื่องจากพระผู้สร้างได้ทรงกำหนดชุดของรูปการณ์แวดล้อมที่ตายตัวสำหรับกำเนิดของบุคคลหนึ่งเอาไว้แล้ว มันจึงไม่จำเป็นต้องพูดว่า พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมชุดรูปการณ์แวดล้อมที่ตายตัวสำหรับความตายของคนเราไว้แล้วเช่นกัน พูดได้อีกอย่างว่า ไม่มีใครเลยที่เกิดมาโดยบังเอิญ ไม่มีความตายของใครเลยที่มาถึงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และทั้งการเกิดและความตายนั้นจำเป็นต้องเชื่อมโยงสัมพันธ์กับชีวิตในปัจจุบันและชีวิตก่อนหน้าของคนเรา ทั้งรูปการณ์แวดล้อมของการเกิดและความตายของคนเราได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วโดยพระผู้สร้าง นี่คือชะตาลิขิตของบุคคล ชะตากรรมของบุคคล เนื่องจากมีคำอธิบายมากมายสำหรับกำเนิดของบุคคลหนึ่ง จึงเป็นความจริงเช่นกันที่ความตายของบุคคลจะเกิดขึ้นเป็นธรรมดาภายใต้ชุดรูปการณ์แวดล้อมพิเศษอันหลากหลายของมันเอง นี่คือเหตุผลสำหรับอายุขัยที่แปรปรวนของผู้คนและลักษณะกับเวลาแห่งความตายของพวกเขาที่แตกต่างกันไป ผู้คนบางคนแข็งแรงและมีสุขภาพดี ทว่าตายลงตั้งแต่อายุยังน้อย คนอื่นๆ อ่อนแอและเจ็บออดๆ แอดๆ ทว่ามีชีวิตอยู่จนถึงวัยชราและจากไปอย่างสงบ บ้างก็พินาศลงด้วยสาเหตุที่ไม่เป็นธรรมชาติ ส่วนคนอื่นๆ ตายอย่างเป็นธรรมชาติ บ้างก็จบชีวิตของพวกเขาไกลบ้าน ส่วนคนอื่นๆ ปิดเปลือกตาลงเป็นครั้งสุดท้ายโดยมีผู้เป็นที่รักอยู่เคียงข้าง ผู้คนบางคนตายกลางอากาศ คนอื่นๆ ตายใต้พื้นโลก บ้างก็จมลงใต้น้ำ คนอื่นๆ สูญหายไปในความวิบัติ บ้างก็ตายในเวลาเช้า คนอื่นๆ ตายตอนกลางคืน… ทุกคนต้องการกำเนิดที่เด่นดัง ชีวิตที่เจิดจรัส และความตายที่มีเกียรติ แต่ไม่มีใครสามารถไปไกลเกินกว่าชะตาลิขิตของพวกเขาเองได้ ไม่มีใครสามารถหลีกพ้นอธิปไตยของพระผู้สร้างได้ นี่เป็นชะตากรรมของมนุษย์ มนุษย์สามารถวางแผนสำหรับอนาคตของพวกเขาได้ทุกประเภท แต่ไม่มีใครสามารถวางแผนว่าตนจะคลอดออกมาอย่างไรหรือจะจากโลกนี้ไปอย่างไรและเมื่อใด แม้ว่าผู้คนทำดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงและต้านทานการมาของความตาย ความตายก็ยังคงคืบคลานเข้ามาใกล้อย่างเงียบกริบโดยที่พวกเขาไม่รู้เลยอยู่ดี ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะพินาศลงเมื่อใดหรือเช่นไร ยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ว่าเมื่อใดมันจะเกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่มนุษยชาติที่กุมพลังอำนาจของชีวิตและความตายเอาไว้ ไม่ใช่ชีวิตบางอย่างในโลกธรรมชาติ แต่เป็นพระผู้สร้างผู้ทรงสิทธิอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์ ชีวิตและความตายของมวลมนุษย์ไม่ใช่ผลลัพธ์ของกฎบางอย่างแห่งโลกธรรมชาติ แต่เป็นผลสืบเนื่องของอธิปไตยแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) “ในชีวิตนี้ ผู้คนมีเพียงเวลาอันจำกัดที่จะเริ่มจากการเข้าใจสิ่งทั้งหลายไปสู่การมีโอกาสนี้ การครองขีดความสามารถนี้ และทำตามเงื่อนไขเพื่อที่จะมีส่วนร่วมในการสนทนากับพระผู้สร้าง เพื่อที่จะไปถึงจุดที่มีความเข้าใจ ความรู้ และความยำเกรงพระผู้สร้างอย่างแท้จริง ตลอดจนเดินบนหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว หากตอนนี้เจ้าต้องการให้พระเจ้าทรงนำเจ้าไปโดยเร็ว เจ้าก็ไร้ความรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเอง เพื่อที่จะมีความรับผิดชอบนั้นเจ้าควรทำงานหนักขึ้นในการเตรียมตัวเจ้าเองให้พร้อมด้วยความจริง คิดทบทวนตนเองให้มากขึ้นเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับเจ้า และชดเชยข้อบกพร่องของตนเองโดยเร็ว เจ้าควรมาปฏิบัติความจริง ปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับหลักธรรม เข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริง รู้เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าให้มากขึ้น สามารถรู้และเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไม่ใช้ชีวิตของเจ้าโดยเปล่าประโยชน์ เจ้าต้องเริ่มรู้ว่าพระผู้สร้างสถิตอยู่ที่ใด เจตนารมณ์ของพระผู้สร้างคืออะไร และพระผู้สร้างทรงแสดงความชื่นบานยินดี พระโมหะ ความโศกเศร้า และความปีติสุขอย่างไร—ต่อให้เจ้าไม่สามารถบรรลุการตระหนักรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหรือความรู้ที่ครบบริบูรณ์ได้ อย่างน้อยเจ้าก็ต้องครองความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับพระเจ้า ไม่มีวันทรยศพระเจ้า เข้ากันได้กับพระเจ้าโดยพื้นฐาน แสดงการคำนึงถึงพระเจ้า ให้การปลอบพระทัยขั้นพื้นฐานแด่พระเจ้า และทำสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมและโดยพื้นฐานแล้วเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างสามารถสัมฤทธิ์ได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้โดยง่าย ในกระบวนการของการทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงนั้น ผู้คน สามารถเริ่มรู้จักตนเองทีละน้อย แล้วจึงรู้จักพระเจ้า อันที่จริงกระบวนการนี้คือปฏิสัมพันธ์ระหว่างพระผู้สร้างกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และนี่ควรเป็นกระบวนการที่ควรค่าแก่การระลึกถึงตลอดชีวิตของคนเรา กระบวนการนี้คือบางสิ่งที่ผู้คนควรได้ชื่นชม มากกว่ากระบวนการที่เจ็บปวดและลำบากยากเย็น ด้วยเหตุนั้น ผู้คนจึงควรชื่นชูวันคืนและเดือนปีที่ใช้ไปในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาควรชื่นชูช่วงชีวิตนี้และไม่ควรมองว่าช่วงชีวิตดังกล่าวเป็นตัวถ่วงหรือภาระ พวกเขาควรลิ้มรสและได้รับความรู้จากประสบการณ์ในช่วงระยะนี้ของชีวิตตน แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะเข้าใจความจริงและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และทำชั่วน้อยลงเรื่อยๆ เจ้าเข้าใจความจริงมากมาย เจ้าไม่ทำสิ่งที่ทำให้พระเจ้าเสียพระทัยหรือสิ่งที่พระองค์ทรงรังเกียจ เมื่อเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าไม่ทรงชังเจ้าอีกต่อไป ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้! เมื่อใครบางคนบรรลุสิ่งนี้แล้ว ต่อให้ต้องตายพวกเขาก็ย่อมอยู่อย่างสันติไม่ใช่หรือ? แล้วเกิดเรื่องอะไรกับผู้คนเหล่านั้นที่ร้องขอความตายในเวลานี้เล่า? พวกเขาเพียงต้องการที่จะหลบหนีและไม่อยากทนทุกข์ พวกเขาเพียงต้องการจบชีวิตนี้โดยเร็ว เพื่อที่พวกเขาจะสามารถไปและรายงานตัวต่อพระเจ้าได้ เจ้าต้องการที่จะรายงานตัวต่อพระเจ้า แต่พระเจ้ายังไม่ทรงต้องการเจ้า เพราะเหตุใดเจ้าถึงจะรายงานตัวต่อพระเจ้าก่อนที่พระองค์จะทรงเรียกหาเจ้าเสียอีก? จงอย่ารายงานตัวต่อพระองค์ก่อนถึงเวลาของเจ้า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี หากเจ้าใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความหมาย และพระเจ้าทรงรวบรวมเจ้าไป นั่นย่อมเป็นสิ่งที่วิเศษ!” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ) พอได้อ่านพระวจนะสองบทตอนนั้น หัวใจของผมก็สว่างขึ้นมาก เมื่อก่อน ผมคิดว่าในเมื่อภรรยาของผมเป็นผู้เชื่อมาหลายปีและไม่ติเตียนพระเจ้าเลยแม้ตอนตาย พระเจ้าก็ไม่ควรปล่อยให้เธอจากไปเร็วนัก พระองค์ควรปล่อยให้เธอมีชีวิตอยู่เพื่อที่เราจะได้เข้าสู่ราขอาณาจักรด้วยกัน อีกทั้งมีบั้นปลายและจุดจบที่ดี นี่คือเหตุผลที่ผมไม่สามารถปล่อยวางความตายของเธอได้ และในหัวใจผมก็เต็มไปด้วยการติเตียนและความเข้าใจผิดต่อพระเจ้า การอ่านพระวจนะทำให้ผมเห็นว่า การมีความเชื่อไม่ได้รับประกันว่าคนเราจะไม่ตาย การเกิด แก่ เจ็บ และตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเลี่ยงได้ ไม่ว่าผู้คนมีชีวิตอยู่ถึงอายุเท่าไหร่พระเจ้าก็ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าทั้งหมด การเกิดและตายของภรรยาผมเป็นผลจากชีวิตก่อนหน้าและชีวิตปัจจุบันของเธอ และพระเจ้าก็ทรงจัดการเตรียมการทั้งหมดไว้ก่อนที่เธอจะเกิดด้วยซ้ำ เวลาที่เธอเกิด วิถีชีวิต ภารกิจที่มุ่งหมายไว้ในชีวิตเธอ อายุขัยของเธอ และเวลาที่เธอจะตาย—ไม่มีเรื่องไหนที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ผู้คนมักจะกล่าวว่าชะตากรรมของเราถูกสวรรค์กำหนดไว้ล่วงหน้า นี่คือกฎเกณฑ์ของสวรรค์ และไม่มีใครทำลายกฎนี้ได้ เมื่อภรรยาผมหมดอายุขัยเธอก็จากไปโดยธรรมชาติ และไม่มีใครเปลี่ยนแปลงเรื่องนั้นได้ ผมเคยคิดว่าในเมื่อภรรยาของผมตายไปแล้ว เธอก็ไม่สามารถถูกช่วยให้รอดได้อีก แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ไม่ว่าคนเราจะตายหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับความรอดของพวกเขา กุญแจสำคัญสำหรับความรอดของพวกเขาคือพวกเขาไล่ตามความจริงหรือไม่ ใช้ชีวิตตามความเป็นจริงแห่งพระวจนะหรือไม่ บรรดาผู้ที่เชื่อฟังพระเจ้า อีกทั้งผู้ที่ไล่ตามเสาะหาและได้รับความจริง ดวงจิตของพวกเขาจะถูกช่วยให้รอดหลังจากตายไปแล้ว ดูอย่างอับราฮัม โยบ และเปโตร—ร่างกายของพวกเขาล้วนจากไปแล้ว แต่ดวงจิตของพวกเขาได้รับการช่วยให้รอดหลังจากตายไป และพวกเขาก็มีบั้นปลายและจุดจบที่ดี ผู้เชื่อบางคนไม่มีความเชื่อที่แท้จริง และเป็นเหมือนผู้ปราศจากความเชื่อ แม้ว่าพวกเขามีชีวิตอยู่ตอนนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถถูกช่วยให้รอดได้ ภรรยาของผมเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี และผมก็ไม่อาจรู้ว่าเธอมีความเชื่อแท้จริงหรือเทียมเท็จ ไม่ว่าพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการจุดจบของเธอไว้ยังไง ไม่ว่าพระองค์จะส่งเธอไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ พระเจ้าก็ทรงชอบธรรม และพระองค์จะไม่ทรงทำสิ่งที่ผิด ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ผมควรนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ผมจำเป็นต้องมีเหตุผลประเภทนั้น ก่อนนี้ผมเคยขาดความกระจ่างและไม่เต็มใจนบนอบต่อกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เมื่อภรรยาของผมตายไป ผมก็อยากตายและจบเรื่องนี้ไปเสีย แต่ตอนนี้ผมตระหนักแล้วว่า ความตายของภรรยาผมเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ และพระองค์ทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น อีกอย่าง การต้องการที่จะตายเป็นการแข็งขืนต่อพระเจ้า ไม่ใช่การนบนอบต่อพระองค์ นี่เป็นการกบฏต่อพระองค์ ความตายของภรรยาทำให้ผมเจ็บปวดและทุกข์ตรม แต่น้ำพระทัยอันดีนั้นอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ประการหนึ่งคือ เรื่องนี้เปิดโปงความเสื่อมทรามของผม และสามารถชำระแรงขับเคลื่อนในใจของผมที่จะต่อรองพระพรกับพระเจ้าให้สะอาด อีกทั้งช่วยให้ผมรู้ถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าด้วย นั่นคือความรักและความรอดของพระเจ้า พระเจ้าทรงอนุญาตให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อมาจนอายุมากขนาดนี้ ผมควรถนอมเวลานี้ไว้และขยันไล่ตามความจริงในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดขึ้น เพื่อให้เข้าใจถึงความเสื่อมทรามของตัวเองและพระราชกิจของพระเจ้า เพื่อสัมฤทธิ์ความนบนอบและนมัสการพระเจ้า และเพื่อหยุดกบฏต่อพระเจ้าและทำให้พระองค์ทรงเจ็บปวด ไม่ว่าพระเจ้าทำสิ่งใดในอนาคต หรือทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมใด ผมก็ควรเชื่อฟังพระองค์ ใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม เผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้พระเจ้า ใช้ชีวิตเพื่อทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง รวมถึงนบนอบต่อกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ผมไม่อาจทำให้เจตนารมณ์อันเปี่ยมเมตตาของพระองค์ผิดหวัง ผมต้องกำจัดความคิดที่จะจบชีวิตตัวเองทิ้งไป ดังนั้น ผมจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยใจจริงว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์ไม่ต้องการพระคุณหรือพระพรแล้ว ข้าพระองค์ไร้ซึ่งความจริง ดังนั้นข้าพระองค์จึงไม่ขอสิ่งอื่นใดนอกจากความจริง ข้าพระองค์มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานและจำเป็นต้องให้พระองค์ทรงพิพากษาและการตีสอนข้าพระองค์ เพื่อควบคุมและไม่ให้ข้าพระองค์ทำตัวผลีผลามไป” เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ทั้งตัวของผมก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ผมสามารถเพลิดเพลินกับอาหารและกลับมานอนหลับได้ดีอีกครั้ง เพราะสถานการณ์ที่ทุกข์ยาก ผมจึงไม่สามารถชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงได้ แต่ผมก็ยังทำการเฝ้าเดี่ยว และกินดื่มพระวจนะตามปกติ พระวจนะนั้นให้น้ำและบำรุงเลี้ยงผม ผมจึงรู้สึกสงบใจ สันติสุข และเป็นอิสระ สุขภาพของผมยังค่อยๆ ดีขึ้นอีกด้วย คนอื่นๆ ในหมู่บ้านที่เจอผมต่างก็บอกว่า ผมดูแข็งแรง ไม่เหมือนคนอายุเจ็ดสิบกว่าเลย ผมขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าอยู่ในหัวใจ!
ต่อมาผมได้อ่านพระวจนะอีกบทตอนหนึ่ง ที่ช่วยให้ผมเข้าใจความเสื่อมทรามของตัวเองได้ดีขึ้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ไม่ว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับพวกเขามากมายเพียงใดก็ตาม คนจำพวกที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่เคยพยายามจัดการแก้ไขเรื่องเหล่านั้นด้วยการแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า และยิ่งไม่พยายามมองสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า—ซึ่งล้วนเป็นเพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าทุกประโยคในพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่เปิดใจรับฟังอยู่ดี และดังนั้นจึงไม่มีท่าทีที่ถูกต้องไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญสถานการณ์เช่นใดก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเป็นหนทางที่พวกเขาเข้าหาพระเจ้าและความจริง ศัตรูของพระคริสต์ดื้อรั้นไม่ยอมวางมโนคติอันหลงผิดของตน พระเจ้าที่พวกเขาเชื่อจึงเป็นพระเจ้าที่กระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ เป็นพระเจ้าที่เหนือธรรมชาติ ใครก็ตามที่สามารถทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ได้—ไม่ว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม พระพุทธ หรือพระแม่มาจู่—พวกเขาก็เรียกว่าพระเจ้า… ในความรู้สึกนึกคิดของศัตรูของพระคริสต์ พระเจ้าทั้งหลายควรเร้นกายอยู่หลังแท่นบูชา ให้ผู้คนถวายของแก่ตน กินอาหารที่ผู้คนถวาย สูดควันกำยานที่พวกเขาจุดให้ ยื่นมือออกมาช่วยเหลือในเวลาที่พวกเขาเดือดร้อน แสดงตนว่ามีฤทธานุภาพอย่างมากและให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาทันทีภายในขอบเขตของสิ่งที่พวกเขาเข้าใจได้ และสนองความต้องการของพวกเขาในเวลาที่ผู้คนร้องขอความช่วยเหลือและจริงจังตั้งใจในคำวิงวอนของตน สำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว พระเจ้าแบบนี้เท่านั้นคือพระเจ้าที่แท้จริง ในขณะเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำในวันนี้กลับเผชิญกับการดูถูกของพวกศัตรูพระคริสต์ แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เมื่อตัดสินตามแก่นแท้ธรรมชาติของพวกศัตรูพระคริสต์แล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่พระราชกิจของการให้น้ำ การเป็นผู้เลี้ยง และการช่วยให้รอดซึ่งพระผู้สร้างทรงปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่เป็นความเจริญรุ่งเรืองและการลุล่วงความทะยานอยากของตนในทุกสิ่ง การไม่ถูกลงโทษในชีวิตนี้ และการไปสวรรค์ในโลกที่จะมาถึง มุมมองและความต้องการของพวกเขายืนยันแก่นแท้ของพวกเขาที่เกลียดชังความจริง” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบห้า: พวกเขาไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า และพวกเขาไม่ยอมรับแก่นแท้ของพระคริสต์ (ภาคที่หนึ่ง)) พระเจ้าทรงเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ที่เกลียดความจริง ไม่ว่าพวกเขากินดื่มพระวจนะมากี่ปี พวกเขาก็ไม่เคยมองดูสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะเลย พวกเขาเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ไล่ตามความจริง พวกเขาต้องการการอัศจรรย์เท่านั้น ในใจของพวกเขาเรียกร้องอยู่เสมอให้พระเจ้าทรงแก้ไขปัญหา และมอบสิ่งที่พวกเขาต้องการ ทำให้ทุกอย่างได้ดั่งใจพวกเขาในชีวิตนี้ และทำให้พวกเขาได้มีชีวิตนิรันดร์ในชาติหน้า ความเชื่อของพวกเขามีอยู่เพื่อพระพรทั้งสิ้น มุมมองในการไล่ตามเสาะหาในความเชื่อของผมเหมือนกับศัตรูของพระคริสต์ไม่มีผิด ผมนมัสการพระเจ้าราวกับพระองค์ทรงเป็นรูปเคารพ โดยปกติแล้วเมื่อพวกเราเผชิญความยากลำบากหรือมีปัญหาสุขภาพ ผมจะเอ่ยคำอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงเฝ้าดูแลเรา และแก้ไขปัญหาให้เรา ผมคิดว่าพระเจ้าควรประทานสิ่งที่เราต้องการ ควรทำตามทุกข้อเรียกร้องของเรา นี่คือพระเจ้าในความคิดของผม การใช้ประโยชน์จากพระเจ้าเพื่อสนองความต้องการของผมเป็นการหลอกลวงและหมิ่นประมาทพระองค์ไม่ใช่เหรอ? และนี่ไม่ใช่ยุคพระคุณแล้ว พระเจ้าจึงไม่ทรงพระราชกิจในการรักษาคนเจ็บและขับผี พระราชกิจของพระองค์ในวันนี้ คือการพิพากษาและการตีสอนเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษยชาติ เพื่อช่วยพวกเราให้รอดจากอิทธิพลของซาตาน แต่ผมไม่รักความจริงหรือเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้านั้นล้ำค่า ผมเอาแต่เรียกร้องพระคุณและพระพรจากพระเจ้า ผมคือผู้ปราศจากความเชื่อโดยแก่นแท้ ผมติดตามพระเจ้ามาหลายปี ชื่นชมการให้น้ำ การค้ำจุนจากพระวจนะ รวมถึงการเอาใจใส่และการคุ้มครองจากพระเจ้า แต่ผมไม่ไล่ตามความจริงหรือพยายามตอบแทนความรักของพระเจ้า ผมสร้างข้อเรียกร้องที่ไร้เหตุผลกับพระเจ้าด้วยซ้ำ การไล่ตามเสาะหาในส่วนของผมแบบนั้นคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า และผมจะลงเอยด้วยการถูกพระเจ้าทรงลงโทษอย่างแน่นอน พอตระหนักเรื่องนี้ได้ผมก็รู้สึกกลัว ผมไม่ต้องการอยู่บนเส้นทางที่ผิดนั้นต่อไป แต่ต้องการที่จะสารภาพและกลับใจ
ต่อมา ผมก็ได้รับอะไรมากยิ่งขึ้นผ่านการอ่านประสบการณ์ของโยบ ผมได้เรียนรู้วิธีเผชิญหน้าและก้าวผ่านบททดสอบที่เกิดขึ้น และได้อ่านเพิ่มเติมจากพระวจนะที่ว่า “โยบไม่ได้สนทนาเรื่องการค้ากับพระเจ้า และไม่ได้ทำการเรียกร้องหรือการร้องขอใดๆ จากพระเจ้า การที่เขาสรรเสริญพระนามของพระเจ้านั้นเป็นเพราะฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง และมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่เขาได้รับพรหรือประสบกับความวิบัติหรือไม่ เขาเชื่อว่าไม่ว่าพระเจ้าทรงอวยพรผู้คนหรือทรงนำความวิบัติมาสู่พวกเขาก็ตาม ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง และด้วยเหตุนี้ ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมของบุคคลจะเป็นอย่างไร พระนามของพระเจ้าก็ควรได้รับการสรรเสริญ การที่มนุษย์ได้รับพรจากพระเจ้าเป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้า และเมื่อความวิบัติเกิดขึ้นกับมนุษย์ ดังนั้น มันก็เป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าจัดการเตรียมการและปกครองเหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับโชควาสนาของมนุษย์เป็นการสำแดงฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้า และไม่ว่าทัศนคติของคนเราจะเป็นอย่างไร พระนามของพระเจ้าก็ควรได้รับการสรรเสริญ นี่คือสิ่งที่โยบได้รับประสบการณ์และได้มารู้ในช่วงระหว่างหลายปีแห่งชีวิตของเขา ความคิดและการกระทำทั้งหมดของโยบได้ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าและได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าสำคัญ พระเจ้าทรงเชิดชูความรู้ของโยบนี้ และทรงทะนุถนอมความล้ำค่าของโยบเนื่องจากการมีหัวใจเช่นนี้ หัวใจนี้รอคอยพระบัญชาของพระเจ้าอยู่เสมอ และในทุกที่ และไม่สำคัญว่าเป็นเวลาหรือสถานที่ใด มันยินดีต้อนรับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ตาม โยบไม่ทำการเรียกร้องใดๆ ต่อพระเจ้า สิ่งที่เขาเรียกร้องจากตัวเขาเองคือให้รอคอย ยอมรับ เผชิญหน้า และนบนอบการจัดการเตรียมการทั้งหมดที่มาจากพระเจ้า โยบเชื่อว่านี่เป็นหน้าที่ของเขา และมันเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์อย่างแน่นอน โยบไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้า อีกทั้งไม่เคยได้ยินพระองค์ตรัสพระวจนะใด ทรงออกพระบัญชาใด ทรงมอบการสอนใด หรือทรงแนะนำเขาให้ทำสิ่งใด กล่าวเป็นคำพูดในปัจจุบันนี้ได้ว่า การที่เขาสามารถครอบครองความรู้และท่าทีเช่นนั้นต่อพระเจ้าเมื่อพระเจ้าไม่ได้ทรงมอบความรู้แจ้ง การชี้นำ หรือการจัดเตรียมที่เกี่ยวกับความจริงใดๆ แก่เขา—นี่เป็นสิ่งที่มีค่า และการที่เขาแสดงสิ่งต่างๆ เช่นนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับพระเจ้า และคำพยานของเขาได้รับการชมเชยและเชิดชูจากพระเจ้า โยบไม่เคยได้มองเห็นพระเจ้าหรือได้ยินพระองค์ดำรัสคำสอนใดๆ แก่เขาด้วยพระองค์เอง แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว หัวใจของเขาและตัวเขาเองนั้นมีค่ามากกว่าผู้คนที่เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าก็เพียงแค่สามารถพูดคุยในแง่ของทฤษฎีที่ลึกซึ้ง ผู้ที่เพียงแต่สามารถอวดตัวและพูดถึงการถวายเครื่องบูชา แต่ไม่เคยได้มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า และไม่เคยยำเกรงพระเจ้าอย่างแท้จริงเหล่านั้นมากมายนัก เพราะหัวใจของโยบบริสุทธิ์ และไม่ซ่อนเร้นจากพระเจ้า และสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขานั้นซื่อสัตย์และใจดี และเขารักความยุติธรรมและสิ่งที่เป็นเชิงบวก มีเพียงมนุษย์อย่างนี้ผู้ซึ่งครอบครองหัวใจและสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นนั้นเท่านั้นที่สามารถติดตามหนทางแห่งพระเจ้าได้ และสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ มนุษย์เช่นนั้นสามารถมองเห็นอธิปไตยของพระเจ้า สามารถมองเห็นสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์ และสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ มีเพียงมนุษย์เช่นนี้เท่านั้นที่สามารถสรรเสริญพระนามของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง นั่นเป็นเพราะเขาไม่ดูว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรเขาหรือทรงนำความวิบัติมาสู่เขาหรือไม่ เพราะเขารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกควบคุมด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้า และรู้ว่าการที่มนุษย์วิตกกังวลนั้นคือเครื่องหมายที่แสดงถึงความโง่เขลา ความไม่รู้เท่าทัน และการไร้ซึ่งเหตุผล ทั้งยังเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงการสงสัยข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง และแสดงถึงการไม่ยำเกรงพระเจ้าอีกด้วย ความรู้ของโยบคือสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์อย่างแน่นอน” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2) ผมเห็นจากพระวจนะว่า โยบเชื่อว่าทุกสิ่งและทุกกิจธุระนั้นพระเจ้าเป็นผู้ชี้ขาด ไม่ว่าเขาได้รับพรหรือทนทุกข์จากภัยพิบัติ ทุกสิ่งก็ล้วนมาจากพระเจ้า เมื่อเขาถูกทดสอบ เขาก็ถูกพรากความมั่งคั่งของครอบครัว และลูกๆ ทุกคนไป อีกทั้งเนื้อตัวเขายังปกคลุมด้วยตุ่มหนอง เขายังไม่พร่ำบ่นสักนิด แต่กลับสรรเสริญพระนามของพระเจ้าว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) ในความเชื่อของโยบ ไม่มีการแลกเปลี่ยนหรือข้อเรียกร้องใดๆ เลย เขาสรรเสริญฤทธานุภาพของพระเจ้าเพราะเขาเชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า เขาเชื่อว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนเป็นเรื่องดี โยบเป็นคนซื่อสัตย์และมีเมตตามาตั้งแต่เกิด นั่นทำให้ผมรู้สึกผิดและละอายใจ เมื่อเทียบกับโยบ ผมยังขาดอะไรมากเหลือเกิน โยบรู้เกี่ยวกับพระเจ้าจากที่เขาได้ยินมาเท่านั้น เขาไม่ได้ก้าวผ่านการให้น้ำและการค้ำจุนจากพระวจนะ แต่เมื่อเผชิญบททดสอบ เขาก็ไม่ติเตียนพระเจ้า ไม่ว่าเขาได้รับการอวยพรหรือเผชิญความวิบัติ เขาก็สามารถยอมรับสิ่งนั้นจากพระเจ้าและนบนอบได้ เมื่อนำเรื่องนั้นมาเทียบกับตัวผม ผมได้กินดื่มพระวจนะมากมายแต่ไม่รู้จักวิธีตอบแทนความรักของพระเจ้า เมื่อผมได้รับพระคุณและพระพรของพระเจ้า ผมก็เชื่อในฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระองค์ แต่เมื่อภรรยาของผมป่วยและจากไป ผมก็เกิดกังขาในฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้า ผมไม่ได้นบนอบต่อพระเจ้า แถมยังโต้แย้งพระองค์อีกด้วย ในหัวใจผมไม่มีที่ให้พระเจ้า และผมก็ไม่เชื่อในกฎเกณฑ์หรือการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ผมเห็นว่าการที่ผมสรรเสริญสิทธิอำนาจและมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้านั้น ขึ้นอยู่กับการประเมินพระพรและภัยพิบัติของผมเอง ผมไม่อาจนบนอบต่อกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระเจ้าโดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อเกิดความยากลำบากผมก็โต้เถียงพระเจ้า ถึงกับแข็งขืนและโวยวาย เมื่อเทียบกับโยบแล้ว ผมไม่มีความเป็นมนุษย์หรือเหตุผลเลยแม้แต่น้อย นี่คือสิ่งที่น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงสำหรับพระเจ้า ผมไม่ต้องการทำให้พระองค์เสียพระทัยอีกต่อไป ผมสาบานว่าหลังจากนี้ ไม่ว่าพระเจ้าทรงจัดวางสถานการณ์ใด ไม่ว่าผมได้รับพระพรหรือทนทุกข์กับโชคร้าย ผมก็จะเอาอย่างโยบ และไม่ต่อรองกับพระเจ้าอีก ผมจะนบนอบต่อกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระองค์ ต่อให้ท้ายที่สุดผมไม่ได้รับความจริงและถูกกำจัดออกไป ผมก็จะไม่พร่ำบ่น ผ่านไประยะหนึ่งผมก็ไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนั้นแล้ว และสามารถเข้าชุมนุมได้อีกครั้ง ผมสามารถกินและดื่มพระวจนะร่วมกับพี่น้องชายหญิง และใช้ชีวิตคริสตจักรได้ คริสตจักรยังจัดเตรียมหน้าที่เอาไว้ให้ผมด้วย ตอนนี้ผมมีความสุขจริงๆ
ความตายของภรรยาเปิดเผยความเป็นกบฏมากมายของผมเอง การพิพากษาและการเปิดเผยของพระวจนะทำให้ผมเห็นถึงการไล่ตามอันน่ารังเกียจในการเสาะหาพระพรในความเชื่อ ผมเลิกทุ่มเทให้กับเส้นทางที่ผิดพลาด นอกจากนี้ผมยังมาเข้าใจด้วยว่า ภรรยาของผมตายเพราะเธอหมดอายุขัย การเผชิญกับเรื่องนั้นอย่างเหมาะสมทำให้ความเจ็บปวดของผมหายไป สิ่งที่ผมต้องทำตอนนี้คือตั้งใจไล่ตามความจริงและสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย ไม่ว่าผมได้รับการอวยพรหรือทนทุกข์กับโชคร้าย ผมก็ควรฟังพระวจนะ และนบนอบต่อกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระเจ้า
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย ไฉ่ น่า, ประเทศจีน ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2017 ฉันทนทุกข์กับอาการความดันโลหิตสูง...
โดย หยาง หยี, ประเทศจีน ฉันเริ่มเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าในปี 1995 หลังจากนั้น โรคหัวใจที่ฉันเป็นมานาน ก็ดีขึ้นอย่างปาฏิหาริย์ ฉันซาบซึ้งมาก...
โดย เจียง ผิง, ประเทศจีน วันหนึ่งเมื่อเมษายนที่แล้ว จู่ๆ ฉันก็รู้สึกปวดหลังตรงด้านขวาอย่างแรง ฉันคิดว่าคงทำหลังเดาะโดยไม่ได้ตั้งใจ...
โดย จินซิน, ประเทศจีน แม่ของฉันเป็นมะเร็งและเสียชีวิตไปก่อนฉันแต่งงาน ส่วนพ่อของฉันพออายุได้ 57 ปีก็เป็นโรคความดันโลหิตสูง...