พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 77

วันที่ 24 เดือน 02 ปี 2024

การทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

ยอห์น 11:43-44 เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงร้องเสียงดังว่า "ลาซารัส ออกมาเถิด" คนตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันมือและเท้า และที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วย พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "จงแกะผ้าที่พันออกแล้วปล่อยเขาเถิด"

พวกเจ้ามีความประทับใจใดบ้างหลังจากที่ได้อ่านบทตอนนี้? นัยสำคัญของการอัศจรรย์ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงแสดงนี้ยิ่งใหญ่กว่าการอัศจรรย์ก่อนหน้านี้มาก เพราะไม่มีการอัศจรรย์ใดจะน่าประหลาดใจมากไปกว่าการนำคนตายกลับขึ้นจากหลุมฝังศพ ในสมัยนั้น การที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำบางสิ่งบางอย่างเช่นนี้เป็นสิ่งที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เพราะพระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ผู้คนจึงสามารถมองเห็นได้เพียงการทรงปรากฏทางกายของพระองค์ ด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ และแง่มุมที่ไม่มีนัยสำคัญของพระองค์เท่านั้น ถึงแม้ว่าบางคนจะมองเห็นและเข้าใจบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับคุณลักษณะของพระองค์ หรือความสามารถพิเศษบางอย่างที่ปรากฏว่าพระองค์ทรงครอบครอง แต่ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาจากที่ใด จริงๆ แล้วพระองค์ทรงเป็นผู้ใดในเนื้อแท้ของพระองค์ และจริงๆ แล้วพระองค์ทรงมีความสามารถในการทำสิ่งอื่นใดอีก ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มวลมนุษย์ไม่รู้ มีผู้คนมากมายเหลือเกินที่ต้องการพบหลักฐานเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าเหล่านี้ และเพื่อให้รู้ความจริง พระเจ้าทรงสามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อพิสูจน์พระอัตลักษณ์ของพระองค์เองได้หรือไม่? สำหรับพระเจ้าแล้ว นี่คือของเด็กเล่น—มันง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก พระองค์ทรงสามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อพิสูจน์พระอัตลักษณ์และเนื้อแท้ของพระองค์ได้ทุกที่ ทุกเวลา แต่พระเจ้าทรงมีวิธีการทำสิ่งต่างๆ—โดยมีแผนและอย่างเป็นขั้นเป็นตอน พระองค์ไม่ทรงทำสิ่งต่างๆ โดยไม่เลือกหน้า แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น พระองค์ทรงมองหาเวลาที่เหมาะสมและโอกาสที่เหมาะสมในการทำบางสิ่งบางอย่างที่พระองค์จะทรงอนุญาตให้มนุษย์เห็นได้ บางสิ่งบางอย่างที่ชุ่มไปด้วยความหมายอย่างแท้จริง พระองค์ทรงพิสูจน์สิทธิอำนาจและพระอัตลักษณ์ของพระองค์ในหนทางนี้ ดังนั้นแล้ว การทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายเป็นการพิสูจน์พระอัตลักษณ์ขององค์พระเยซูเจ้าหรือไม่? พวกเรามาดูบทตอนต่อไปนี้ของพระคัมภีร์กันเถิด: "เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงร้องเสียงดังว่า 'ลาซารัส ออกมาเถิด' คนตายนั้นก็ออกมา…" เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงทำเช่นนี้ พระองค์ตรัสเพียงอย่างเดียว: "ลาซารัส ออกมาเถิด" จากนั้นลาซารัสก็ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ—สิ่งนี้สำเร็จลุล่วงเพียงเพราะพระวจนะไม่กี่คำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดำรัสออกมา ในช่วงระหว่างเวลานี้ องค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงตั้งแท่นบูชา และพระองค์ไม่ได้ทรงกระทำการอื่นใด พระองค์แค่ตรัสสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวนี้ นี่ควรเรียกว่าการอัศจรรย์หรือพระบัญชา? หรือมันเป็นศาสตร์เวทมนตร์คาถาบางอย่าง? จากภายนอกแล้ว ดูเหมือนว่าสามารถเรียกสิ่งนี้ได้ว่าเป็นการอัศจรรย์ และหากเจ้ามองสิ่งนี้จากมุมมองสมัยใหม่ แน่นอนว่าเจ้าก็จะยังคงเรียกสิ่งนี้ว่าการอัศจรรย์ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นเวทมนตร์ประเภทที่ควรจะเรียกวิญญาณกลับจากความตาย และสิ่งนี้ไม่ใช่ศาสตร์เวทมนตร์คาถาประเภทใดๆ อย่างแน่นอน หากพูดว่าการอัศจรรย์นี้เป็นการแสดงเล็กๆ ให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างอย่างเป็นปกติที่สุดก็ถูกต้องแล้ว นี่คือสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจที่จะให้บุคคลคนหนึ่งตาย ที่จะให้วิญญาณของเขาออกจากร่างกายของเขาและกลับสู่แดนคนตายหรือที่ใดก็ตามที่มันควรไป กรอบเวลาการตายของบุคคลและสถานที่ที่พวกเขาจะไปหลังจากที่ตาย—สิ่งเหล่านี้พระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนด พระองค์ตัดสินพระทัยเรื่องเหล่านี้ทุกที่และทุกเวลา โดยไม่ถูกจำกัดจากพวกมนุษย์ เหตุการณ์ วัตถุ พื้นที่ หรือภูมิศาสตร์ หากพระองค์ทรงต้องประสงค์จะทำมัน พระองค์ทรงสามารถทำมันได้ เพราะทุกสรรพสิ่งและสิ่งมีชีวิตอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ และทุกสรรพสิ่งแพร่หลาย ดำรงอยู่ และพินาศตามพระวจนะของพระองค์และสิทธิอำนาจของพระองค์ พระองค์ทรงสามารถทำให้ชายที่ตายแล้วเป็นขึ้นจากตาย และสิ่งนี้คือบางสิ่งบางอย่างที่พระองค์ทรงสามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา นี่คือสิทธิอำนาจที่มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ครอบครอง

เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ เช่นการนำลาซารัสกลับจากความตาย เป้าหมายของพระองค์คือการให้หลักฐานเพื่อให้พวกมนุษย์และซาตานมองเห็น และเพื่อให้พวกมนุษย์และซาตานรู้ว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับมวลมนุษย์ ชีวิตและความตายของมวลมนุษย์ได้รับการกำหนดโดยพระเจ้า และว่าถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ยังทรงเป็นผู้บัญชาโลกฝ่ายกายที่สามารถมองเห็นได้ และโลกฝ่ายวิญญาณที่พวกมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ นี่เป็นไปเพื่อให้มวลมนุษย์และซาตานรู้ว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับมวลมนุษย์ไม่ได้อยู่ภายใต้คำสั่งของซาตาน นี่คือการเผยและการแสดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า และยังเป็นวิธีหนึ่งที่พระเจ้าทรงส่งสารถึงทุกสรรพสิ่ง ว่าชีวิตและความตายของมวลมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า การที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายเป็นหนึ่งในวิธีที่พระผู้สร้างทรงสอนและแนะนำมวลมนุษย์ นี่คือการกระทำที่เป็นรูปธรรมที่พระองค์ทรงใช้ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจเพื่อแนะนำและจัดเตรียมมวลมนุษย์ นี่คือวิธีหนึ่งที่พระผู้สร้างทรงทำให้มวลมนุษย์สามารถมองเห็นความจริงโดยไม่ใช้พระวจนะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้บัญชาทุกสรรพสิ่ง นี่คือวิธีหนึ่งที่พระองค์ทรงบอกมวลมนุษย์โดยผ่านทางการกระทำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงว่าไม่มีความรอดอื่นใดนอกเหนือจากความรอดโดยผ่านทางพระองค์ วิถีทางที่ไร้พระสุรเสียงที่พระองค์ทรงใช้เพื่อแนะนำมวลมนุษย์นี้อยู่ชั่วนิรันดร์ ลบไม่ออก และนำความตกใจและความรู้แจ้งที่ไม่มีวันเลือนลางไปมาสู่หัวใจของมนุษย์ การทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า—นี่มีผลกระทบที่ลึกซึ้งต่อผู้ติดตามทุกๆ คนของพระเจ้า การนี้ทำให้ความเข้าใจ นิมิตว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถบัญชาชีวิตและความตายของมวลมนุษย์ได้เกิดติดตรึงอยู่ในทุกผู้คนที่เข้าใจเหตุการณ์นี้อย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงมีสิทธิอำนาจประเภทนี้ และถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงส่งสารเกี่ยวกับอธิปไตยที่พระองค์ทรงมีเหนือชีวิตและความตายของมวลมนุษย์โดยผ่านทางการทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตาย แต่นี่ก็ไม่ใช่พระราชกิจหลักของพระองค์ พระเจ้าทรงไม่มีวันทำบางสิ่งบางอย่างโดยไร้ความหมาย ทุกๆ สิ่งที่พระองค์ทรงทำมีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ และเป็นเครื่องอาภรณ์ที่เลิศล้ำในห้องเก็บขุมทรัพย์ พระองค์จะไม่ทรงทำให้ "การทำให้บุคคลหนึ่งออกมาจากอุโมงค์ฝังศพของพวกเขา" เป็นรายการหรือเป้าหมายหลักเพียงอย่างเดียวของพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งใดก็ตามที่ปราศจากความหมาย การทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายในฐานะเหตุการณ์เดี่ยวๆ นั้นเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า และพิสูจน์พระอัตลักษณ์ขององค์พระเยซูเจ้า นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมองค์พระเยซูเจ้าจึงไม่ทรงทำการอัศจรรย์ประเภทนี้ซ้ำ พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ ตามหลักการของพระองค์เอง ในภาษาของมนุษย์ สามารถกล่าวได้ว่าพระเจ้าทรงให้จิตใจของพระองค์ติดพันอยู่กับเรื่องที่จริงจังเท่านั้น นั่นคือ เมื่อพระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ พระองค์ไม่ทรงไถลห่างจากจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ทรงต้องประสงค์จะปฏิบัติพระราชกิจใดในช่วงระยะนี้ พระองค์ทรงต้องประสงค์จะสำเร็จลุล่วงในสิ่งใด และพระองค์จะทรงพระราชกิจตามแผนของพระองค์อย่างเข้มงวด หากบุคคลที่เสื่อมทรามมีความสามารถประเภทนั้น เขาจะคิดถึงเพียงวิธีที่จะเผยความสามารถของเขาเพื่อให้ผู้อื่นรู้ว่าเขาช่างน่าเกรงขามเพียงใด เพื่อให้พวกเขากราบไหว้เขา เพื่อให้เขาสามารถควบคุมพวกเขาและล้างผลาญพวกเขา นี่คือความชั่วที่มาจากซาตาน—สิ่งนี้เรียกว่าความเสื่อมทราม พระเจ้าไม่ทรงมีพระอุปนิสัยเช่นนั้น และพระองค์ไม่ทรงมีเนื้อแท้เช่นนั้น จุดประสงค์ของพระองค์ในการทำสิ่งต่างๆ ไม่ใช่เพื่ออวดตัวพระองค์ แต่เพื่อจัดเตรียมการเปิดเผยและการทรงนำมากยิ่งขึ้นให้แก่มวลมนุษย์ และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้คนจึงมองเห็นตัวอย่างอุบัติการณ์ประเภทนี้ในพระคัมภีร์น้อยมาก นี่ไม่ใช่เพื่อจะพูดว่าฤทธานุภาพขององค์พระเยซูเจ้ามีจำกัด หรือว่าพระองค์ไม่ทรงสามารถทำสิ่งเช่นนั้น เป็นเพียงว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะทำเช่นนั้น เพราะการที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายมีนัยสำคัญที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก และยังเป็นเพราะว่าพระราชกิจหลักของพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้นไม่ใช่การแสดงการอัศจรรย์ ไม่ใช่การนำผู้คนกลับจากความตาย แต่เป็นพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ ดังนั้น พระราชกิจส่วนใหญ่ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำให้ครบบริบูรณ์คือการสอนผู้คน การจัดเตรียมพวกเขา และการช่วยเหลือพวกเขา และเหตุการณ์ต่างๆ เช่นการทรงทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตายเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของพันธกิจที่องค์พระเยซูเจ้าทรงดำเนินการ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าสามารถกล่าวได้ว่า "การอวด" ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อแท้ของพระเจ้า ดังนั้น องค์พระเยซูเจ้าจึงไม่ทรงมีเจตนาที่จะหักห้ามพระทัยโดยการไม่แสดงการอัศจรรย์เพิ่มเติม อีกทั้งนี่ไม่ได้เป็นเพราะข้อจำกัดด้านสภาพแวดล้อม และแน่นอนว่าไม่ได้เป็นเพราะการขาดฤทธานุภาพ

เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงนำลาซารัสกลับจากความตาย พระองค์ทรงใช้เพียงไม่กี่คำเหล่านี้: "ลาซารัส ออกมาเถิด" พระองค์ไม่ตรัสสิ่งใดนอกเหนือไปจากนี้ ดังนั้นแล้วพระวจนะเหล่านี้แสดงถึงสิ่งใด? พระวจนะเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงสามารถทำสิ่งใดก็ตามให้สำเร็จลุล่วงได้โดยการตรัส รวมถึงการทรงทำให้คนตายเป็นขึ้นจากตาย เมื่อพระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง เมื่อพระองค์ทรงสร้างโลก พระองค์ทรงทำเช่นนั้นด้วยพระวจนะ—พระบัญชาที่ตรัสออกมา พระวจนะที่มีสิทธิอำนาจ และในหนทางนี้ ทุกสรรพสิ่งได้รับการสร้างขึ้น และด้วยเหตุนี้การทรงสร้างจึงสำเร็จลุล่วง พระวจนะไม่กี่คำที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสเหล่านี้เป็นเหมือนกับพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเมื่อพระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก และสรรพสิ่ง ในลักษณะเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ก็ถือสิทธิอำนาจของพระเจ้าและฤทธานุภาพของพระผู้สร้าง ทุกสรรพสิ่งได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นและยืนหยัดได้เพราะพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า และในหนทางเดียวกัน ลาซารัสเดินออกจากอุโมงค์ฝังศพของเขาเพราะพระวจนะจากพระโอษฐ์ขององค์พระเยซูเจ้า นี่คือสิทธิอำนาจของพระเจ้า ซึ่งได้รับการแสดงให้เห็นและได้รับการทำให้เป็นจริงขึ้นในเนื้อหนังที่พระองค์ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ สิทธิอำนาจและความสามารถประเภทนี้เป็นของพระผู้สร้างและบุตรมนุษย์ ซึ่งพระผู้สร้างได้ทรงเป็นจริงขึ้นในบุตรมนุษย์นี้ นี่คือความเข้าใจที่มวลมนุษย์ได้รับการสอนจากการที่พระเจ้าทรงนำลาซารัสกลับจากความตาย

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger