พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 50

วันที่ 19 เดือน 02 ปี 2024

การสำแดงถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบในช่วงระหว่างการทดสอบของเขา (การทำความเข้าใจความดีพร้อม ความเที่ยงธรรม ความยำเกรงพระเจ้า และการหลบเลี่ยงความชั่วของโยบในช่วงระหว่างการทดสอบของเขา)

เมื่อโยบได้ยินว่าทรัพย์สินของเขาได้ถูกขโมยไป ว่าบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาได้เสียชีวิตไป และว่าผู้รับใช้ของเขาได้ถูกสังหารไปแล้ว เขามีปฏิกิริยาดังนี้ "แล้วโยบก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการ" (โยบ 1:20) พระวจนะเหล่านี้บอกให้เรารู้ข้อเท็จจริงหนึ่ง นั่นคือ หลังจากได้ยินข่าวนี้แล้ว โยบไม่ได้ตื่นตระหนก เขาไม่ได้ร้องไห้หรือตำหนิผู้รับใช้ทั้งหลายที่ได้บอกข่าวนี้กับเขา นับประสาอะไรที่เขาจะได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุเพื่อเจาะลึกและยืนยันความถูกต้องของรายละเอียดและหาว่าที่จริงแล้วได้เกิดอะไรขึ้น เขาไม่ได้แสดงความเจ็บปวดหรือความเสียใจใดๆ ที่สูญเสียสิ่งครอบครองของเขา อีกทั้งเขาไม่ได้หลั่งน้ำตาเนื่องจากสูญเสียลูกๆ ของเขาและบรรดาผู้เป็นที่รักของเขา ในทางตรงกันข้าม เขาได้ฉีกเสื้อคลุมของเขา และโกนศีรษะ กราบลงถึงดินและนมัสการ การกระทำของโยบไม่เหมือนกับการกระทำของมนุษย์ธรรมดาคนใด การกระทำเหล่านั้นทำให้ผู้คนมากมายสับสน และทำให้พวกเขาตำหนิโยบในหัวใจของพวกเขาสำหรับ "ความเลือดเย็น" ของเขา การที่จู่ๆ ก็สูญเสียสิ่งครอบครองทั้งหลายของตนไป ผู้คนปกติคงจะปรากฏว่าใจสลายหรือหมดอาลัยตายอยาก—หรือในกรณีของผู้คนบางคน พวกเขาอาจถึงขั้นตกอยู่ในความซึมเศร้าที่ลึกซึ้ง นี่เป็นเพราะว่าในหัวใจของผู้คนนั้น ทรัพย์สินของพวกเขาเป็นตัวแทนของความพยายามชั่วชีวิตของพวกเขา—มันคือสิ่งที่ความอยู่รอดของพวกเขาพึ่งพาอยู่ มันเป็นความหวังที่ทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่ การสูญเสียทรัพย์สินของพวกเขาไปหมายถึงความพยายามของพวกเขาได้สูญเปล่า ว่าพวกเขาอยู่โดยไม่มีความหวัง และแม้กระทั่งว่าพวกเขาไม่มีอนาคต นี่คือท่าทีของบุคคลปกติทุกคนที่มีต่อทรัพย์สินของพวกเขาและเป็นสัมพันธภาพอันใกล้ชิดที่พวกเขามีกับมัน และนี่ยังเป็นความสำคัญของทรัพย์สินในสายตาของผู้คนอีกด้วย เช่นนั้นเอง ผู้คนส่วนใหญ่จำนวนมากจึงรู้สึกสับสนกับท่าทีที่ไม่แยแสของโยบที่มีต่อความสูญเสียทรัพย์สินของเขา วันนี้ พวกเรากำลังจะขจัดความสับสนที่ผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดรู้สึกโดยการอธิบายถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นภายในหัวใจของโยบ

สามัญสำนึกบอกบทว่า เมื่อได้รับมอบสินทรัพย์อันอุดมสมบูรณ์เช่นนั้นจากพระเจ้าแล้ว โยบควรจะที่รู้สึกละอายเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเนื่องจากการสูญเสียสินทรัพย์เหล่านั้น เพราะเขาไม่ได้ดูแล หรือเอาใจใส่สิ่งเหล่านั้น เขาไม่ได้ยึดติดกับสินทรัพย์ที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เขา ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขาได้ยินว่าทรัพย์สินของเขาได้ถูกขโมยไป ปฏิกิริยาแรกของเขาควรจะเป็นการไปยังที่เกิดเหตุและตรวจสอบสิ่งของที่คงเหลือจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้สูญหายไป แล้วจากนั้นก็ควรจะสารภาพต่อพระเจ้าเพื่อที่เขาอาจจะได้รับพระพรของพระเจ้าอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม โยบไม่ได้ทำการนี้ และเขามีเหตุผลของเขาเองโดยธรรมชาติสำหรับการไม่ทำเช่นนั้น ในหัวใจของเขา โยบเชื่ออย่างล้ำลึกว่าทั้งหมดที่เขาครอบครองนั้นได้ถูกพระเจ้าประทานมาให้แก่เขา และไม่ใช่ผลผลิตจากการลงแรงของเขาเอง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่มองว่าพระพรเหล่านี้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้เป็นต้นทุน แต่กลับผูกติดหลักการแห่งความอยู่รอดของเขาไว้ในการยึดมั่นกับหนทางที่ควรจะยกชูด้วยพละกำลังทั้งหมดของเขาแทน เขาเชิดชูพระพรของพระเจ้าและขอบคุณสำหรับสิ่งเหล่านั้น แต่เขาไม่ได้ติดใจกับพระพร อีกทั้งเขาไม่ได้แสวงหาสิ่งเหล่านั้นให้มากยิ่งขึ้น เช่นนั้นเองคือท่าทีของเขาที่มีต่อทรัพย์สิน เขาไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อประโยชน์ของการได้มาซึ่งพระพร อีกทั้งไม่ได้กังวลหรือเป็นทุกข์ด้วยการขาดหรือสูญเสียพระพรต่างๆ ของพระเจ้า เขาไม่ได้กลายเป็นมีความสุขอย่างลำพองและพร่ำเพ้อเนื่องจากพระพรของพระเจ้า อีกทั้งไม่ได้เพิกเฉยต่อทางแห่งพระเจ้าหรือลืมพระคุณของพระเจ้าเนื่องจากพระพรต่างๆ ที่เขาได้ชื่นชมอยู่เป็นนิตย์ ท่าทีของโยบที่มีต่อทรัพย์สินของเขาเปิดเผยให้ผู้คนเห็นสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงของเขา กล่าวคือ ประการแรก โยบไม่ใช่คนโลภ และไม่ต้องการมากมายในชีวิตทางวัตถุของเขา ประการที่สอง โยบไม่เคยเป็นห่วงหรือเกรงว่าพระเจ้าจะเอาทั้งหมดที่เขามีไป ซึ่งเป็นท่าทีของเขาที่เชื่อฟังต่อพระเจ้าในหัวใจของเขา กล่าวคือ เขาไม่มีความต้องการหรือการร้องทุกข์คร่ำครวญเกี่ยวกับว่าพระเจ้าจะทรงเอาไปจากเขาเมื่อไหร่ หรือจะเอาไปหรือไม่ และไม่ได้ถามเหตุผลว่าทำไม แต่มีเพียงพยายามที่จะเชื่อฟังการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ประการที่สาม เขาไม่เคยเชื่อว่าสินทรัพย์ของเขานั้นมาจากการลงแรงของเขาเอง แต่ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เขา นี่คือความเชื่อในพระเจ้าของโยบ และคือเครื่องบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของเขา สภาวะความเป็นมนุษย์ของโยบและการไล่ตามเสาะหาประจำวันที่แท้จริงของเขาได้เป็นที่ชัดเจนในข้อสรุปสามประเด็นเกี่ยวกับเขานี้หรือไม่? สภาวะความเป็นมนุษย์และการไล่ตามเสาะหาของโยบเป็นส่วนสำคัญในการประพฤติที่ดีเยี่ยมของเขาเมื่อเผชิญหน้ากับความสูญเสียในทรัพย์สินของเขา มันเป็นเพราะการไล่ตามเสาะหาประจำวันของเขาอย่างแน่นอนที่โยบได้มีวุฒิภาวะและความเชื่อมั่นที่จะกล่าวว่า "พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์" ในช่วงระหว่างการทดสอบของพระเจ้า คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่ได้มาชั่วข้ามคืน อีกทั้งคำพูดเหล่านี้ไม่ใช่เพิ่งได้ปรากฏขึ้นในหัวของโยบ คำพูดเหล่านั้นคือสิ่งที่เขาได้มองเห็นและคุ้นเคยในช่วงระหว่างหลายปีแห่งการได้รับประสบการณ์กับชีวิต เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่เพียงแค่แสวงหาพระพรของพระเจ้าและผู้ที่เกรงว่าพระเจ้าจะทรงเอาไปจากพวกเขา และผู้ที่เกลียดมันและพร่ำบ่นถึงมันแล้วนั้น การเชื่อฟังของโยบเป็นจริงอย่างมากไม่ใช่หรือ? เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่เป็นผู้ไม่มีวันเชื่อว่าพระเจ้าทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่งแล้วนั้น โยบครอบครอบความซื่อสัตย์และความเที่ยงธรรมที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่หรือ?

ความมีเหตุผลของโยบ

ประสบการณ์จริงของโยบและสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เที่ยงธรรมและซื่อสัตย์หมายความว่าเขาได้ทำการตัดสินและเลือกอย่างมีเหตุผลมากที่สุดเมื่อเขาได้สูญเสียสินทรัพย์และลูกๆ ของเขาไป ทางเลือกที่มีเหตุผลเช่นนั้นไม่อาจแยกกันได้จากการไล่ตามเสาะหาประจำวันของเขาและกิจการทั้งหลายของพระเจ้าที่เขาได้มารู้จักในช่วงระหว่างชีวิตแต่ละวันของเขา ความซื่อสัตย์ของโยบทำให้เขาสามารถเชื่อได้ว่าพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง การเชื่อของเขาเปิดโอกาสให้เขารู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระยาห์เวห์พระเจ้า ความรู้ของเขาทำให้เขาเต็มใจและสามารถที่จะเชื่อฟังอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระยาห์เวห์พระเจ้า การเชื่อฟังของเขาทำให้เขาสามารถซื่อสัตย์สุจริตในความยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาได้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ความยำเกรงของเขาทำให้เขาเป็นจริงในการหลบเลี่ยงความชั่วของเขามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในท้ายที่สุดโยบก็ได้กลายเป็นดีพร้อมเพราะเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ความดีพร้อมของเขาได้ทำให้เขามีปัญญา และได้ให้ความมีเหตุผลสูงสุดแก่เขา

พวกเราควรเข้าใจคำว่า "มีเหตุผล" นี้อย่างไร? การตีความตามตัวอักษรก็คือมันหมายถึงการมีสำนึกรับรู้ที่ดี การมีตรรกะและสามัญสำนึกในความคิดของคนเรา การมีวาทะ การกระทำ และการตัดสินที่ถูกต้อง และการครอบครองมาตรฐานทางศีลธรรมที่ดีงามและเป็นปกติ กระนั้น ความมีเหตุผลของโยบก็ไม่ใช่จะอธิบายได้อย่างง่ายดาย เมื่อมีการกล่าวในที่นี้ว่าโยบครอบครองความมีเหตุผลสูงสุด การนี้กล่าวในความเชื่อมโยงกับสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาและการประพฤติของเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพราะโยบเป็นคนซื่อสัตย์ เขาจึงสามารถที่จะเชื่อและเชื่อฟังอธิปไตยของพระเจ้า ซึ่งได้มอบความรู้อย่างหนึ่งที่คนอื่นๆ ไม่สามารถหามาได้ให้แก่เขา และความรู้นี้ได้ทำให้เขาสามารถวินิจฉัย ตัดสิน และกำหนดนิยามสิ่งที่ได้ประสบแก่เขาได้อย่างถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้เขาสามารถเลือกสิ่งที่จะทำและสิ่งที่จะยึดมั่นได้อย่างถูกต้องแม่นยำและอย่างเฉียบแหลมมากยิ่งขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คำพูด พฤติกรรมของเขา หลักการเบื้องหลังการกระทำของเขา และจรรยาบรรณในการที่เขาได้กระทำนั้นเป็นปกติ ชัดเจน และเฉพาะเจาะจง และไม่ได้มืดบอด หุนหันพลันแล่น หรือตามอารมณ์ เขารู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไรกับสิ่งใดก็ตามที่ประสบกับเขา เขารู้ว่าจะจัดสมดุลและรับมืออย่างไรกับสัมพันธภาพระหว่างเหตุการณ์ที่ซับซ้อน เขารู้วิธีที่จะยึดมั่นกับหนทางที่ควรจะยึดมั่น และยิ่งไปกว่านั้น เขารู้วิธีที่จะปฏิบัติกับการประทานและการทรงเอาไปของพระยาห์เวห์พระเจ้า นี่คือความมีเหตุผลอย่างยิ่งของโยบ มันเป็นเพราะโยบมีพร้อมด้วยความมีเหตุผลเช่นนั้นอย่างแน่นอนที่เขาได้กล่าวว่า "พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์" เมื่อเขาได้สูญเสียสินทรัพย์ของเขาและบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขา

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger