พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 194

วันที่ 14 เดือน 11 ปี 2023

วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของผู้คนที่มีความเชื่อต่างๆ

พวกเราเพิ่งได้หารือกันถึงวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของผู้คนจำพวกแรก คือบรรดาผู้ไม่เชื่อ บัดนี้ ขอให้พวกเรามาหารือกันถึงพวกที่สอง คือผู้คนที่มีความเชื่อต่างๆ "วัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของผู้คนที่มีความเชื่อต่างๆ" ยังเป็นหัวข้อที่สำคัญมากอีกหัวข้อหนึ่ง และมีความจำเป็นอย่างมากที่พวกเจ้าจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้าง ก่อนอื่นขอให้พวกเราพูดกันถึงเรื่อง "ความเชื่อ" ในคำว่า "ผู้คนที่มีความเชื่อ" ว่าอ้างถึงความเชื่อใดบ้าง คือห้าศาสนาหลักได้แก่ ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก ศาสนาอิสลาม และศาสนาพุทธ นอกเหนือจากบรรดาผู้ไม่เชื่อแล้ว ผู้คนที่เชื่อในห้าศาสนาเหล่านี้ครองสัดส่วนของประชากรโลกอยู่มาก ท่ามกลางห้าศาสนานี้ บรรดาผู้ที่ประกอบอาชีพตามความเชื่อของพวกเขามีไม่มาก ถึงกระนั้นศาสนาเหล่านี้ก็ยังมีผู้ติดตามจำนวนมาก พวกเขาจะไปยังสถานที่ที่แตกต่างเมื่อพวกเขาตาย "แตกต่าง" จากผู้ใด? จากบรรดาผู้ไม่เชื่อ—ผู้คนที่ไม่มีความเชื่อ—ผู้ซึ่งเราพูดถึงอยู่เมื่อครู่ หลังจากพวกเขาตาย บรรดาผู้เชื่อของห้าศาสนาเหล่านี้จะไปที่อื่น เป็นบางแห่งที่แตกต่างจากผู้ไม่เชื่อ อย่างไรก็ตาม มันยังคงเป็นกระบวนการเดียวกัน โลกฝ่ายวิญญาณจะพิพากษาพวกเขาในทำนองเดียวกันบนพื้นฐานของทุกอย่างที่พวกเขาเคยทำก่อนที่พวกเขาจะตาย ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาจะเข้าสู่กระบวนการตามการตัดสินนั้น อย่างไรก็ดี เหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงถูกส่งไปเข้าสู่กระบวนการยังพื้นที่ที่แตกต่างกันเล่า? มีเหตุผลที่สำคัญสำหรับการนี้ มันคืออะไร? เราจะอธิบายกับพวกเจ้าด้วยตัวอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เราจะอธิบาย พวกเจ้าอาจจะคิดกับตัวพวกเจ้าเองว่า "บางทีคงจะเป็นเพราะพวกเขามีการเชื่อในพระเจ้าน้อย! พวกเขาไม่ใช่ผู้ไม่เชื่อเสียทีเดียว" อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เหตุผล มีเหตุผลที่สำคัญมากอยู่อย่างหนึ่งที่พวกเขาถูกแยกออกจากผู้อื่น

จงดูศาสนาพุทธเป็นตัวอย่าง เราจะบอกพวกเจ้าถึงข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง ก่อนอื่น คนพุทธคือใครบางคนที่ได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธ และนี่คือบุคคลที่รู้ว่าสิ่งใดคือการเชื่อของตน เมื่อคนพุทธตัดผมของพวกเขาและกลายเป็นพระหรือแม่ชี นั่นหมายความว่าพวกเขาได้แยกตนเองออกจากโลกฆราวาสแล้ว โดยทิ้งความอลหม่านของโลกมนุษย์ไว้เบื้องหลัง ทุกๆ วันพวกเขาจะท่องพระสูตรและสวดพระนามของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย กินเพียงอาหารมังสวิรัติ ดำรงชีวิตแบบนักพรต และผ่านวันเวลาไปพร้อมกับแสงอ่อนเย็นของตะเกียงน้ำมันเนย พวกเขาใช้ชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขาไปแบบนี้ เมื่อชีวิตทางกายภาพของคนพุทธคนหนึ่งจบลง พวกเขาจะทำบทสรุปชีวิตของพวกเขา แต่ในหัวใจของพวกเขาแล้วพวกเขาจะไม่รู้ว่าพวกเขาจะไปที่ใดหลังจากที่พวกเขาตาย พวกเขาจะพบกับใคร หรือบทอวสานของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ลึกลงไป พวกเขาจะไม่มีแนวคิดที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายเช่นนั้น พวกเขาจะไม่ได้ทำสิ่งใดมากไปกว่าดำรงความเชื่อชนิดหนึ่งไว้อย่างหูหนวกตาบอดตลอดชีวิตของพวกเขา ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาจะไปจากโลกมนุษย์พร้อมกับความปรารถนาและอุดมการณ์ทั้งหลายที่มืดบอดของพวกเขา เช่นนั้นคือการสิ้นสุดชีวิตทางกายภาพของคนพุทธ เมื่อพวกเขาออกจากโลกของสิ่งมีชีวิต หลังจากนั้นพวกเขาจะกลับไปยังสถานที่ดั้งเดิมของพวกเขาในโลกฝ่ายวิญญาณ การที่บุคคลผู้นี้จะมาเกิดใหม่เพื่อกลับมายังแผ่นดินโลกและสานต่อการบ่มเพาะตนเองของพวกเขาต่อไปหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและการปฏิบัติของพวกเขาก่อนความตายของพวกเขา หากพวกเขาไม่เคยทำสิ่งใดผิดในระหว่างชั่วชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็จะได้มาเกิดและถูกส่งกลับมายังแผ่นดินโลกอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ที่ซึ่งบุคคลผู้นี้จะได้กลายเป็นพระหรือแม่ชีอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือ พวกเขาปฏิบัติการบ่มเพาะตนเองในระหว่างมีชีวิตทางกายภาพของพวกเขาโดยสอดคล้องกับวิธีที่พวกเขาเคยปฏิบัติการบ่มเพาะตนเองครั้งแรก และแล้วก็กลับมายังอาณาจักรฝ่ายวิญญาณหลังจากที่ชีวิตทางกายภาพของพวกเขาได้สรุปปิดตัวลง ที่ซึ่งพวกเขาจะถูกตรวจสอบ หลังจากนั้น หากไม่พบว่ามีปัญหาใดๆ พวกเขาจะสามารถกลับมายังโลกของมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง และเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการสานต่อการปฏิบัติของพวกเขา หลังจากมาเกิดใหม่สามถึงเจ็ดครั้งแล้ว พวกเขาจะกลับไปยังโลกฝ่ายวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง ที่ซึ่งพวกเขาจะไปหลังจากชีวิตทางกายภาพจบลงแต่ละครั้ง หากคุณสมบัติต่างๆ และพฤติกรรมของพวกเขาในโลกมนุษย์เป็นการปฏิบัติตามประกาศิตจากสวรรค์แห่งโลกฝ่ายวิญญาณ เช่นนั้นแล้ว จากจุดนี้เป็นต้นไป พวกเขาจะคงอยู่ที่นั่น พวกเขาจะไม่มาเกิดใหม่เป็นมนุษย์อีกต่อไป และจะไม่มีความเสี่ยงใดๆ ที่พวกเขาจะถูกลงโทษจากการทำชั่วบนแผ่นดินโลกอีก พวกเขาจะไม่มีวันต้องก้าวผ่านกระบวนการนี้อีกครั้ง ในทางตรงกันข้าม พวกเขาจะได้รับตำแหน่งหนึ่งในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณโดยขึ้นอยู่กับรูปการณ์แวดล้อมของพวกเขา นี่คือสิ่งที่คนพุทธอ้างถึงว่าเป็น "การบรรลุพุทธภาวะ" การบรรลุพุทธภาวะโดยมากแล้วหมายถึงการสัมฤทธิ์การเกิดผลได้เป็นเจ้าหน้าที่ของโลกฝ่ายวิญญาณ และหลังจากนั้นจะไม่มาเกิดใหม่หรือมีความเสี่ยงที่จะถูกลงโทษอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น มันหมายถึงการไม่ทนทุกข์กับความทุกข์ร้อนทั้งหลายของการเป็นมนุษย์หลังจากการมาเกิดใหม่อีกต่อไป ดังนั้น พวกเขายังคงมีโอกาสใดๆ ที่จะมาเกิดเป็นสัตว์อยู่หรือไม่? (ไม่มี) การนี้หมายความว่า พวกเขาจะคงอยู่เพื่อเข้ารับบทบาทหนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณและจะไม่มาเกิดใหม่อีกแล้ว นี่คือตัวอย่างหนึ่งของการบรรลุการเกิดผลของพุทธภาวะในศาสนาพุทธ ในส่วนของพวกที่ไม่บรรลุการเกิดผล เมื่อพวกเขากลับไปยังโลกฝ่ายวิญญาณ พวกเขากลายเป็นผู้ที่อยู่ภายใต้การตรวจสอบและการยืนยันความถูกต้องจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่ค้นพบว่าในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติการบ่มเพาะตัวเอง หรือไม่ได้มีจิตสำนึกในการท่องพระสูตรทั้งหลายและการสวดพระนามของพระพุทธเจ้าอย่างขันแข็งดังที่ศาสนาพุทธบัญญัติไว้ และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับกระทำการชั่วร้ายมากมายและมีส่วนร่วมในพฤติกรรมชั่วหลายอย่าง เช่นนั้นแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณจะมีการพิพากษาเกี่ยวกับการทำชั่วของพวกเขา และต่อจากนั้น พวกเขาจะได้รับการลงโทษแน่นอน ในการนี้ ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อใดที่บุคคลเช่นนั้นจะสามารถบรรลุการเกิดผล? ในชั่วชีวิตที่พวกเขาไม่กระทำความชั่ว—หลังจากที่กลับมายังโลกฝ่ายวิญญาณแล้ว เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดผิดก่อนที่พวกเขาจะตายเลย จากนั้นพวกเขาก็มาเกิดใหม่ต่อไป โดยดำเนินการท่องพระสูตรและสวดพระนามของพระพุทธเจ้า ใช้วันเวลาของพวกเขาไปกับแสงอ่อนเย็นของตะเกียงน้ำมันเนย งดเว้นจากการฆ่าสิ่งมีชีวิตใดๆ หรือการกินเนื้อใดๆ พวกเขาไม่มีส่วนร่วมในโลกของมนุษย์ โดยทิ้งปัญหาของมันไว้ห่างไกลที่เบื้องหลังและไม่มีการโต้เถียงกับผู้อื่น ในกระบวนการนั้น หากพวกเขากระทำความชั่ว เช่นนั้นแล้ว หลังจากที่พวกเขากลับไปยังโลกฝ่ายวิญญาณ และการกระทำและพฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขาได้รับการตรวจสอบ พวกเขาก็จะถูกส่งไปยังอาณาจักรของมนุษย์อีกครั้งหนึ่งในวัฏจักรที่ต่อเนื่องไปเป็นจำนวนสามถึงเจ็ดครั้ง หากไม่มีการประพฤติผิดเกิดขึ้นในครั้งนี้ เช่นนั้นแล้ว การบรรลุพุทธภาวะของพวกเขาก็จะยังคงไม่ได้รับผลกระทบ และจะไม่ถูกทำให้ล่าช้าออกไป นี่คือลักษณะพิเศษของวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของผู้คนที่มีความเชื่อทั้งหมด กล่าวคือ พวกเขาสามารถที่จะ "บรรลุการเกิดผล" และสามารถที่จะเข้ารับตำแหน่งหนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาแตกต่างไปจากบรรดาผู้ไม่เชื่อ ก่อนอื่น ขณะที่พวกเขายังคงใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก บรรดาผู้ที่สามารถเข้ารับตำแหน่งหนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณประพฤติตัวอย่างไร? พวกเขาต้องแน่ใจว่าจะไม่กระทำความชั่วใดๆ เลย กล่าวคือ พวกเขาต้องไม่ทำการฆาตกรรม วางเพลิง ข่มขืน หรือชิงทรัพย์ หากพวกเขามีส่วนร่วมในการฉ้อโกง การหลอกลวง การลักขโมย หรือการปล้น เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถบรรลุการเกิดผลได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากพวกเขามีความเกี่ยวข้องหรือการมีส่วนร่วมใดๆ กับการทำชั่วไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม พวกเขาจะไม่สามารถหลีกหนีการลงโทษที่โลกฝ่ายวิญญาณกำหนดไว้แก่พวกเขาได้ โลกฝ่ายวิญญาณทำการจัดการเตรียมการที่เหมาะสมให้แก่คนพุทธที่บรรลุพุทธภาวะ กล่าวคือ พวกเขาอาจได้รับการแต่งตั้งให้บริหารบรรดาผู้ที่ดูเหมือนว่าเชื่อในศาสนาพุทธ และเชื่อในชายชราบนฟ้า—พวกเขาอาจได้รับการจัดสรรเขตอำนาจ พวกเขายังอาจเพียงแค่รับหน้าที่ควบคุมบรรดาผู้ไม่เชื่อหรือมีตำแหน่งที่มีหน้าที่เล็กน้อยมากๆ เท่านั้นด้วยเช่นกัน การจัดสรรเช่นนั้นมีขึ้นตามธรรมชาติต่างๆ ของดวงจิตของพวกเขา นี่คือตัวอย่างของศาสนาพุทธ

ในบรรดาห้าศาสนาที่เราได้พูดถึงนั้น ศาสนาคริสต์ค่อนข้างพิเศษ สิ่งใดทำให้คริสตชนพิเศษยิ่งนัก? เหล่านี้คือผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้ เหตุใดบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้จึงอยู่ในรายการนี้ได้? ในการกล่าวว่าศาสนาคริสต์คือความเชื่อประเภทหนึ่ง มันคงจะเกี่ยวข้องกับความเชื่อเท่านั้นอย่างไม่ต้องสงสัย มันคงจะเป็นพิธีการประเภทหนึ่งเท่านั้น เป็นศาสนาประเภทหนึ่ง และเป็นสิ่งที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงจากความเชื่อของบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง เหตุผลที่เราได้ลงรายการศาสนาคริสต์ไว้ท่ามกลางห้าศาสนาใหญ่ๆ ก็คือว่า มันได้ถูกลดระดับไปอยู่ระดับเดียวกันกับศาสนายิว ศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลาม ผู้คนส่วนใหญ่ในที่นี้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า หรือไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง นับประสาอะไรที่พวกเขาจะเชื่อในการมีอยู่ของพระองค์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาเพียงใช้คัมภีร์ทั้งหลายเพื่อหารือเกี่ยวกับเทววิทยาและใช้เทววิทยาเพื่อสอนผู้คนให้มีเมตตา ให้สู้ทนความทุกข์ และให้ทำสิ่งดีๆ ทั้งหลาย นั่นคือศาสนาแบบที่ศาสนาคริสต์ได้กลายมาเป็น กล่าวคือ ศาสนาคริสต์เพียงแค่จดจ่ออยู่กับทฤษฎีทางเทววิทยาเท่านั้น โดยไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ โดยสิ้นเชิงกับพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการและการช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า ศาสนาคริสต์ได้กลายมาเป็นศาสนาของผู้คนที่ติดตามพระเจ้าแต่เป็นผู้ที่ไม่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงจากพระเจ้า อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงมีหลักการหนึ่งในการเข้าถึงผู้คนเช่นนั้นด้วยเช่นกัน พระองค์มิได้ทรงรับมือหรือจัดการกับพวกเขาอย่างง่ายๆ ตามอำเภอใจดั่งที่พระองค์ทรงกระทำกับบรรดาผู้ไม่เชื่อ พระองค์ทรงปฏิบัติกับพวกเขาแบบเดียวกันกับที่พระองค์ทรงปฏิบัติกับคนพุทธ กล่าวคือ หากว่าในขณะที่มีชีวิตอยู่ คริสตชนคนหนึ่งสามารถทำการบ่มวินัยตัวเองได้ ปฏิบัติตามพระบัญญัติสิบประการอย่างเคร่งครัด และทำตามข้อเรียกร้องให้พฤติกรรมของพวกเขาเองสอดคล้องกับธรรมบัญญัติและพระบัญญัติทั้งหลาย และยึดถือสิ่งเหล่านั้นไปตลอดชีวิตของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว พวกเขายังต้องใช้เวลาเท่ากันในการก้าวผ่านวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายด้วยเช่นกันก่อนที่พวกเขาจะสามารถบรรลุถึงสิ่งที่เรียกว่า "การถูกรับขึ้นไป" ได้อย่างแท้จริง หลังจากสัมฤทธิ์การถูกรับขึ้นไปนี้ พวกเขายังอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่ซึ่งพวกเขาเข้ารับตำแหน่งหนึ่งและกลายเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของที่นั่น ในทำนองเดียวกัน หากพวกเขากระทำความชั่วบนแผ่นดินโลก—หากพวกเขาบาปหนามากเกินไปและกระทำบาปมากเกินไป—เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะถูกลงโทษและถูกบ่มวินัยด้วยความรุนแรงที่แตกต่างกันไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในศาสนาพุทธนั้น การบรรลุการเกิดผลหมายถึงการผ่านไปยังแดนสุขาวดีอันบรมสุข แต่พวกเขาเรียกมันว่าอย่างไรในศาสนาคริสต์? เรียกว่า "การเข้าสู่สวรรค์" และ "การถูกรับขึ้นไป" บรรดาผู้ที่ถูกรับขึ้นไปอย่างแท้จริงยังก้าวผ่านวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายสามถึงเจ็ดครั้งด้วย ซึ่งหลังจากนั้น เมื่อตายแล้ว พวกเขาจะมายังโลกฝ่ายวิญญาณ ราวกับพวกเขาได้นอนหลับไป หากพวกเขาได้มาตรฐาน พวกเขาก็สามารถคงอยู่ที่นั่นเพื่อเข้ารับตำแหน่ง และจะไม่ได้มาเกิดใหม่ในลักษณะที่เรียบง่ายหรือตามธรรมเนียม ซึ่งไม่เหมือนกับผู้คนบนแผ่นดินโลก

ท่ามกลางศาสนาเหล่านี้ทั้งหมด บทอวสานที่พวกเขาพูดถึงและที่พวกเขาเพียรพยายามไปถึงนั้นเป็นแบบเดียวกันกับการบรรลุการเกิดผลในศาสนาพุทธ มันเป็นเพียงแค่ว่า "การเกิดผล" นี้สัมฤทธิ์ได้โดยวิถีทางที่แตกต่างกัน พวกเขาล้วนเป็นนกที่มีขนเหมือนกัน สำหรับบรรดาผู้ติดตามของศาสนาเหล่านี้ ในส่วนของผู้ที่พฤติกรรมของพวกเขาสามารถยึดปฏิบัติตามข้อบังคับทางศาสนาได้อย่างเคร่งครัด พระเจ้าทรงจัดเตรียมบั้นปลายที่เหมาะสม สถานที่ที่เหมาะสมให้ไปสู่ และทรงรับมือกับพวกเขาตามสมควร ทั้งหมดนี้สมเหตุสมผล แต่มันไม่เป็นดังเช่นที่ผู้คนจินตนาการ ใช่หรือไม่? บัดนี้ เมื่อได้ฟังเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคริสตชนแล้ว พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร? พวกเจ้ารู้สึกว่าสภาพของพวกเขาไม่ยุติธรรมเลยใช่หรือไม่? เจ้าสงสารพวกเขาใช่หรือไม่? (นิดหน่อย) ไม่มีอะไรที่สามารถทำได้เลย พวกเขามีเพียงตัวเองเท่านั้นให้ตำหนิ เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? พระราชกิจของพระเจ้านั้นจริงแท้ พระองค์ทรงมีชีวิตและเป็นจริง และพระราชกิจของพระองค์มุ่งหมายไปที่มวลมนุษย์ทั้งหมดและปัจเจกบุคคลทุกคน เช่นนั้นแล้ว เหตุใดคริสตชนทั้งหลายจึงไม่ยอมรับการนี้? เหตุใดพวกเขาจึงรีบร้อนต่อต้านและข่มเหงพระเจ้าเหลือเกิน? พวกเขาควรพิจารณาว่าตัวพวกเขาเองโชคดีที่ยังมีบทอวสานแบบนี้ ดังนั้นเหตุใดพวกเจ้าจึงรู้สึกเสียใจกับพวกเขาเล่า? การรับมือกับพวกเขาในหนทางนี้แสดงให้เห็นความยอมผ่อนปรนที่ยิ่งใหญ่ เมื่อพิจารณาดูว่าพวกเขาต่อต้านพระเจ้าปานใด พวกเขาควรจะถูกทำลาย แต่กระนั้นพระเจ้าก็ไม่ทรงทำการนี้ พระองค์กลับทรงรับมือกับศาสนาคริสต์อย่างเรียบง่ายแบบเดียวกันกับศาสนาอื่นทั่วไป ด้วยเหตุนี้ มีความจำเป็นใดหรือที่จะต้องกล่าวถึงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับศาสนาอื่นๆ ที่เหลือ? ลักษณะพื้นฐานของศาสนาเหล่านี้ทั้งหมดเป็นไปเพื่อให้ผู้คนทนทุกข์กับความยากลำบากมากยิ่งขึ้น ไม่ทำความชั่ว ประพฤติดี ไม่สบถใส่ผู้อื่น ไม่ตัดสินผู้อื่น นำตัวเองออกห่างจากการโต้เถียง และเป็นคนดี—คำสอนทางศาสนาส่วนใหญ่เป็นเยี่ยงนี้ เพราะฉะนั้น หากผู้คนที่มีความเชื่อเหล่านี้—บรรดาผู้ติดตามของศาสนาและคณะนิกายต่างๆ เหล่านี้—สามารถยึดปฏิบัติตามข้อบังคับทางศาสนาของพวกตนได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะไม่กระทำความผิดพลาดหรือบาปใหญ่ทั้งหลายในระหว่างที่พวกเขาอยู่บนแผ่นดินโลก และหลังจากที่ได้มาเกิดใหม่เป็นจำนวนสามถึงเจ็ดครั้งแล้ว ผู้คนเหล่านี้—บรรดาผู้ซึ่งสามารถยึดปฏิบัติตามข้อบังคับทางศาสนาได้อย่างเคร่งครัด—โดยทั่วไปแล้วจะยังคงอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณเพื่อเข้ารับตำแหน่งหนึ่ง ผู้คนเช่นนี้มีมากหรือไม่? (ไม่ มีไม่มาก) คำตอบของเจ้าอยู่บนพื้นฐานของสิ่งใด? มันไม่ง่ายเลยที่จะทำความดีและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และธรรมบัญญัติทางศาสนา ศาสนาพุทธไม่อนุญาตให้ผู้คนกินเนื้อสัตว์—เจ้าสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่? หากเจ้าต้องสวมเสื้อคลุมสีเทาและท่องพระสูตรและสวดพระนามของพระพุทธเจ้าในวัดของคนพุทธตลอดทั้งวัน เจ้าจะสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่? มันคงจะไม่ง่าย คริสตชนมีพระบัญญัติสิบประการ พระบัญญัติ และธรรมบัญญัติทั้งหลาย เหล่านี้ง่ายต่อการปฏิบัติตามหรือไม่? มันไม่ง่ายเลย! จงดูการไม่สบถใส่ผู้อื่นเป็นตัวอย่าง กล่าวคือ ผู้คนไม่สามารถปฏิบัติตามกฎข้อนี้ได้โดยง่าย เมื่อไร้ความสามารถที่จะหยุดตัวเอง พวกเขาจึงสบถ—และหลังจากสบถแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถถอนคำพูดเหล่านั้นกลับมาได้ ดังนั้น พวกเขาทำอย่างไร? ตอนกลางคืน พวกเขาสารภาพบาปของพวกเขา บางครั้งหลังจากที่พวกเขาสบถใส่ผู้อื่น พวกเขายังคงเก็บงำความเกลียดชังไว้ในหัวใจของพวกเขาอยู่ และพวกเขาไปไกลถึงขั้นวางแผนหาเวลาที่จะทำอันตรายผู้คนเหล่านั้นยิ่งขึ้นไปอีก กล่าวสั้นๆ คือ สำหรับบรรดาผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางหลักเกณฑ์ตายตัวนี้ ก็คงจะไม่ง่ายที่จะยับยั้งจากการทำบาปหรือการทำชั่ว เพราะฉะนั้น ในทุกๆ ศาสนา จึงมีผู้คนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่สามารถบรรลุการเกิดผลได้อย่างแท้จริง เจ้านึกเอาว่าเพราะผู้คนมากมายเพียงนั้นปฏิบัติตามศาสนาเหล่านี้ คงมีคนจำนวนมากสามารถคงอยู่ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณเพื่อเข้ารับบทบาท อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้มีมากขนาดนั้น มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้อย่างแท้จริง โดยทั่วไปแล้ววัฏจักรแห่งชีวิตและความตายของผู้คนที่มีความเชื่อเป็นเช่นนั้นเอง สิ่งที่แยกพวกเขาออกมาก็คือการที่พวกเขาสามารถบรรลุการเกิดผลได้ และนี่คือสิ่งที่แยกพวกเขาออกจากบรรดาผู้ไม่เชื่อ

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger