พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 119

วันที่ 26 เดือน 02 ปี 2024

ผู้คนห้าประเภท

ณ ขณะนี้ เราจะจบการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไว้ที่นี่ อันดับต่อไป เราจะจัดผู้ติดตามของพระเจ้าออกเป็นหลายประเภทตามความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า และความเข้าใจและประสบการณ์ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ เพื่อที่พวกเจ้าอาจจะรู้จักช่วงระยะที่พวกเจ้ากำลังอยู่ในขณะนี้ ตลอดจนวุฒิภาวะปัจจุบันของพวกเจ้าด้วย ในแง่ของความรู้ที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระเจ้าและความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์นั้น โดยทั่วไปแล้วช่วงระยะและวุฒิภาวะต่างๆ ที่ผู้คนมีนั้นสามารถแยกออกได้เป็นห้าประเภท หัวข้อนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการรู้จักพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ ดังนั้น ขณะที่พวกเจ้าอ่านเนื้อหาต่อไปนี้ พวกเจ้าควรพยายามคิดให้ออกอย่างรอบคอบว่าพวกเจ้ามีความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับความทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้าและพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์มากเพียงใดกันแน่ และหลังจากนั้น พวกเจ้าควรใช้ผลลัพธ์นั้นตัดสินว่าแท้จริงแล้วพวกเจ้าอยู่ในช่วงระยะใด แท้จริงแล้ววุฒิภาวะของพวกเจ้ามีมากเพียงใด และแท้จริงแล้วพวกเจ้าเป็นบุคคลประเภทใด

ประเภทที่หนึ่ง: ช่วงระยะของทารกที่พันผ้าอ้อม

"ทารกที่พันผ้าอ้อม" หมายถึงอะไร? ทารกที่พันผ้าอ้อมคือทารกที่เพิ่งเกิดมาในโลกนี้ ซึ่งก็คือเด็กแรกเกิด นั่นคือเวลาที่ผู้คนไม่มีวุฒิภาวะมากที่สุด

โดยพื้นฐานแล้วผู้คนในช่วงระยะนี้ไม่มีการตระหนักรู้หรือจิตสำนึกใดๆ เกี่ยวกับเรื่องของการเชื่อในพระเจ้า พวกเขางุนงงอย่างที่สุดและไม่รู้เท่าทันเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้คนเหล่านี้อาจเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานานแล้วหรือบางทีอาจไม่นานนักเลย แต่สภาวะที่งุนงงอย่างที่สุดและไม่รู้เท่าทันของพวกเขาและวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเขาทำให้พวกเขาอยู่ภายในช่วงระยะของทารกที่พันผ้าอ้อม คำจำกัดความที่แน่นอนของสภาวะของทารกที่พันผ้าอ้อมนั้นเป็นดังนี้คือ ไม่สำคัญว่าบุคคลประเภทนี้จะเชื่อในพระเจ้ามานานเพียงใดก็ตาม พวกเขาจะสับสนปนเป งุนงง และซื่อเสมอ พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงเชื่อในพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าคือผู้ใดหรือผู้ใดคือพระเจ้า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะติดตามพระเจ้า แต่ก็ไม่มีคำจำกัดความที่แน่ชัดเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาไม่สามารถกำหนดพิจารณาได้ว่าองค์หนึ่งเดียวที่พวกเขาติดตามนั้นคือพระเจ้าหรือไม่ นับประสาอะไรที่จะกำหนดพิจารณาได้ว่าพวกเขาควรเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์อย่างแท้จริงหรือไม่ นี่คือสภาวะที่แท้จริงของบุคคลประเภทนี้ ความคิดของผู้คนเหล่านี้มืดสลัว และกล่าวอย่างง่ายๆ คือ การเชื่อของพวกเขานั้นปนเปยุ่งเหยิง พวกเขาอยู่ในสภาวะที่พิศวงและว่างเปล่าเสมอ "ความสับสนปนเป" "ความงุนงง" และ "ความซื่อ" คือสิ่งที่สรุปสภาวะของพวกเขา พวกเขายังไม่เคยเห็นอีกทั้งยังไม่เคยรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้า และดังนั้น การพูดกับพวกเขาเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้าก็มีประโยชน์พอๆ กับการให้พวกเขาอ่านหนังสือที่เขียนด้วยอักษรอียิปต์โบราณ—พวกเขาจะไม่มีวันเข้าใจหรือยอมรับมัน สำหรับพวกเขาแล้ว การรู้จักพระเจ้าก็เหมือนกับการได้ยินเรื่องเล่าเพ้อฝัน ขณะที่ความคิดของพวกเขาอาจมืดสลัว แต่ที่จริงแล้วพวกเขาเชื่ออย่างหนักแน่นว่าการรู้จักพระเจ้าเป็นเรื่องเสียเวลาและเป็นการพยายามที่สูญเปล่าอย่างที่สุด นี่คือบุคคลประเภทแรก กล่าวคือ ทารกที่พันผ้าอ้อม

ประเภทที่สอง: ช่วงระยะของทารกที่ยังดูดนม

เมื่อเปรียบเทียบกับทารกที่พันผ้าอ้อม บุคคลจำพวกนี้มีความก้าวหน้าอยู่บ้าง น่าเศร้าใจที่พวกเขายังคงไม่มีความเข้าใจใดๆ เกี่ยวกับพระเจ้าไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม พวกเขายังคงขาดพร่องความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับพระเจ้าและขาดพร่องความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับพระเจ้า และพวกเขาไม่เข้าใจชัดเจนนักว่าเหตุใดพวกเขาจึงควรเชื่อในพระเจ้า แต่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขามีจุดประสงค์และแนวคิดที่ชัดเจนของพวกเขาเอง พวกเขาไม่สนใจที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ วัตถุประสงค์และจุดประสงค์ที่พวกเขาแสวงหาโดยผ่านทางการเชื่อในพระเจ้าคือการชื่นชมพระคุณของพระองค์ การมีความชื่นบานยินดีและสันติสุข การใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย การชื่นชมการใส่พระทัยและการปกป้องของพระเจ้า และการใช้ชีวิตภายใต้พระพรของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับระดับที่พวกเขารู้จักพระเจ้า พวกเขาไม่มีความเร่งเร้าที่จะแสวงหาความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่ได้กังวลสนใจว่าพระเจ้ากำลังทรงทำสิ่งใด หรือพระองค์ทรงปรารถนาจะทำสิ่งใด พวกเขาเพียงแสวงหาอย่างหูหนวกตาบอดเพื่อให้ได้ชื่นชมพระคุณของพระองค์และได้รับพระพรของพระองค์มากขึ้น พวกเขาพยายามที่จะได้รับเป็นร้อยเท่าในยุคปัจจุบัน และได้รับชีวิตนิรันดร์ในยุคที่กำลังจะมาถึง ความคิดของพวกเขา ระดับการสละตัวเองของพวกเขา การอุทิศตัวของพวกเขา และความทุกข์ของพวกเขา ทั้งหมดมีวัตถุประสงค์เดียวกัน นั่นคือ เพื่อให้ได้รับพระคุณและพระพรของพระเจ้า พวกเขาไม่มีความกังวลสนใจเกี่ยวกับเรื่องอื่นใด บุคคลประเภทนี้มั่นใจแต่เพียงว่าพระเจ้าทรงสามารถรักษาผู้คนให้ปลอดภัยและประทานพระคุณของพระองค์ให้แก่พวกเขาได้ คนเราสามารถพูดได้ว่าพวกเขาไม่สนใจและไม่เข้าใจชัดเจนนักว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงปรารถนาที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด หรือผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงปรารถนาจะได้รับด้วยพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์ พวกเขาไม่เคยใช้ความมานะพยายามใดๆ เพื่อให้รู้จักเนื้อแท้และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่เคยรวบรวมความสนใจที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาขาดพร่องความโน้มเอียงที่จะให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งพวกเขาไม่ปรารถนาที่จะรู้จักสิ่งเหล่านี้ด้วย พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะถามเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าต่อมนุษย์ น้ำพระทัยของพระเจ้า หรือสิ่งอื่นใดที่เกี่ยวโยงกับพระเจ้า และพวกเขาขาดพร่องความโน้มเอียงนั้นมากเกินที่จะถามเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวโยงกับการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขากังวลสนใจแต่กับพระเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเองโดยตรง และผู้สามารถประทานพระคุณให้กับมนุษย์ได้เท่านั้น พวกเขาไม่มีความสนใจใดๆ ในสิ่งอื่นใดเลย และดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถเข้าสู่ความจริงความเป็นจริงได้ ไม่ว่าพวกเขาจะได้เชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้วก็ตาม หากปราศจากผู้ที่คอยให้น้ำหรือป้อนอาหารพวกเขา ก็เป็นการยากที่พวกเขาจะเดินต่อไปในเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้า หากพวกเขาไม่สามารถชื่นชมความชื่นบานยินดีและสันติสุขก่อนหน้านั้นของพวกเขาหรือพระคุณของพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ค่อนข้างหมิ่นเหม่ที่จะเดินจากไป นี่คือบุคคลประเภทที่สอง กล่าวคือ บุคคลที่ดำรงอยู่ในช่วงระยะของทารกที่ยังดูดนม

ประเภทที่สาม: ช่วงระยะของทารกที่หย่านม หรือช่วงระยะของเด็กเล็ก

ผู้คนกลุ่มนี้ครอบครองความตระหนักรู้ที่ชัดเจนระดับหนึ่ง พวกเขาตระหนักรู้ว่าการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าตัวพวกเขาเองครอบครองประสบการณ์ที่แท้จริง และพวกเขาตระหนักรู้ว่าถึงแม้ว่าพวกเขาไม่มีวันเบื่อการแสวงหาความชื่นบานยินดีและสันติสุข การแสวงหาพระคุณ หรือถึงแม้ว่าพวกเขาสามารถเป็นพยานโดยแบ่งปันประสบการณ์การชื่นชมพระคุณของพระเจ้าของพวกเขา หรือโดยสรรเสริญพระเจ้าสำหรับพระพรที่พระองค์ได้ประทานให้พวกเขา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาครอบครองชีวิต อีกทั้งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาครอบครองความเป็นจริงของความจริง โดยเริ่มต้นจากความมีสติของพวกเขา พวกเขายุติการมีความหวังที่ไร้เหตุผลว่าพวกเขาจะมีแต่พระคุณของพระเจ้าติดตามเคียงข้างเท่านั้น แต่พวกเขากลับปรารถนาที่จะทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อพระเจ้าในขณะที่พวกเขาชื่นชมพระคุณของพระเจ้าไปพร้อมกันแทน พวกเขาเต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา สู้ทนความยากลำบากและความเหนื่อยล้าเล็กน้อย มีส่วนร่วมในการให้ความร่วมมือกับพระเจ้าในระดับหนึ่งๆ อย่างไรก็ตาม เพราะการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขามีสิ่งเจือปนมากเกินไป เพราะเจตนาและความอยากแต่ละอย่างที่พวกเขาเก็บงำนั้นแข็งแกร่งเกินไป เพราะอุปนิสัยของพวกเขาโอหังลำพองมากเกินไป จึงเป็นการยากที่พวกเขาจะทำให้สมดังสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนาหรือจงรักภักดีต่อพระเจ้า ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถทำให้ความปรารถนาแต่ละอย่างของพวกเขาเป็นจริง หรือทำตามสัญญาที่พวกเขามีให้กับพระเจ้าได้อยู่บ่อยครั้ง พวกเขามักพบตัวเองอยู่ในสภาวะที่ขัดแย้ง กล่าวคือ พวกเขาปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยจนถึงระดับสูงสุดที่เป็นไปได้ แต่กระนั้นพวกเขาก็ใช้กำลังทั้งหมดของพวกเขาในการต่อต้านพระองค์ และพวกเขามักให้คำปฏิญาณต่อพระเจ้า แต่หลังจากนั้นก็ทำผิดคำปฏิญาณของพวกเขาอย่างรวดเร็ว และที่บ่อยยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามักพบตัวเองอยู่ในสภาวะที่ขัดแย้งอื่นๆ อีก กล่าวคือ พวกเขาเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ แต่กระนั้นพวกเขาก็ปฏิเสธพระองค์และทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากพระองค์ พวกเขาหวังอย่างร้อนรนว่าพระเจ้าจะประทานความรู้แจ้งให้แก่พวกเขา นำทางพวกเขา จัดหาให้พวกเขา และช่วยเหลือพวกเขา แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงแสวงหาทางออกของตัวเอง พวกเขาปรารถนาที่จะเข้าใจและรู้จักพระเจ้า แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะเข้าใกล้ชิดพระองค์ แทนที่จะทำเช่นนั้น พวกเขากลับหลีกเลี่ยงพระเจ้าอยู่เสมอ และหัวใจของพวกเขาปิดรับพระองค์ ในขณะที่พวกเขามีความเข้าใจและประสบการณ์เพียงผิวเผินเกี่ยวกับความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้าและของความจริง และมีมโนทัศน์ที่ผิวเผินเกี่ยวกับพระเจ้าและความจริง พวกเขายังคงไม่สามารถยืนยันหรือกำหนดพิจารณาจากจิตใต้สำนึกได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงหรือไม่ หรือยืนยันว่าพระเจ้าทรงชอบธรรมอย่างแท้จริงหรือไม่ พวกเขายังไม่สามารถกำหนดพิจารณาความเป็นจริงของพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรที่จะกำหนดพิจารณาการดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระองค์ การเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาประกอบด้วยความสงสัยและความเข้าใจผิดเสมอ และยังประกอบด้วยการจินตนาการและมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายด้วยเช่นกัน ในขณะที่พวกเขาชื่นชมพระคุณของพระเจ้า พวกเขาก็ได้รับประสบการณ์หรือปฏิบัติตามความจริงบางอย่างด้วยความลังเลเช่นกัน ซึ่งพวกเขาพิจารณาความจริงเหล่านี้ว่ามีความเป็นไปได้ในการประเทืองการเชื่อของพวกเขา เสริมประสบการณ์ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ยืนยันความถูกต้องของความเข้าใจเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา และสนองความทะนงของพวกเขาด้วยการเดินบนเส้นทางชีวิตที่ตัวพวกเขาเองสร้างขึ้น และด้วยการสำเร็จลุล่วงในหน้าที่การงานที่ชอบธรรมสำหรับมวลมนุษย์ ในขณะเดียวกัน พวกเขายังทำสิ่งเหล่านี้เพื่อสนองความอยากของพวกเขาเองเพื่อที่จะได้รับพระพร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเดิมพันที่พวกเขาวางด้วยความหวังว่าจะได้รับพระพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้นสำหรับมนุษยชาติ และเพื่อให้สำเร็จลุล่วงในความทะเยอทะยานที่มักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากชั่วชีวิตของพวกเขาว่าจะไม่หยุดพักจนกว่าพวกเขาจะได้รับพระเจ้าแล้ว ผู้คนเหล่านี้มีน้อยคนเหลือเกินที่จะสามารถได้รับความรู้แจ้งของพระเจ้า เพราะความอยากของพวกเขาและเจตนาที่จะได้รับพระพรของพวกเขานั้นสำคัญสำหรับพวกเขามากเกินไป พวกเขาไม่มีความอยากที่จะละทิ้งสิ่งนี้ และพวกเขาไม่สามารถทนที่จะทำเช่นนั้นได้โดยแท้ พวกเขากลัวว่าหากปราศจากความอยากที่จะได้รับพระพร และหากปราศจากความมักใหญ่ใฝ่สูงที่ทะนุถนอมมายาวนานว่าจะไม่หยุดพักจนกว่าพวกเขาจะได้รับพระเจ้าแล้ว พวกเขาจะสูญเสียเครื่องกระตุ้นที่จะเชื่อในพระเจ้าไป ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ปรารถนาที่จะเผชิญหน้าความเป็นจริง พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเผชิญหน้ากับพระวจนะของพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเผชิญหน้ากับพระอุปนิสัยหรือเนื้อแท้ของพระเจ้าด้วยซ้ำ นับประสาอะไรที่จะพูดถึงหัวข้อเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้า นี่เป็นเพราะว่าทันทีที่พระเจ้า เนื้อแท้ของพระองค์ และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์เข้าแทนที่การจินตนาการของพวกเขา ความฝันของพวกเขาจะลอยหายไปในควันไฟ และสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความเชื่อที่บริสุทธิ์และ "คุณความดี" ที่สะสมผ่านการทำงานอย่างเพียรพยายามมานานหลายปีจะหายไปและกลายเป็นความว่างเปล่า ในทำนองเดียวกัน "อาณาเขต" ที่พวกเขาได้พิชิตด้วยหยาดเหงื่อและเลือดของพวกเขามานานหลายปีจะเผชิญกับการพังทลาย ทั้งหมดนี้จะมีนัยสำคัญว่าการทำงานและความมานะพยายามนานหลายปีของพวกเขาไร้ประโยชน์มาตลอด และว่าพวกเขาต้องเริ่มต้นจากความว่างเปล่าอีกครั้ง นี่คือความเจ็บปวดที่ยากลำบากที่สุดที่พวกเขาจะแบกรับไว้ในหัวใจของพวกเขา และเป็นผลลัพธ์ที่พวกเขาอยากจะเห็นน้อยที่สุด ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงถูกขังไว้ในภาวะจนมุมนี้ และปฏิเสธที่จะหันหลังกลับ นี่คือบุคคลประเภทที่สาม กล่าวคือ บุคคลที่ดำรงอยู่ในช่วงระยะของทารกที่กำลังหย่านม

บุคคลสามประเภทที่อธิบายไปข้างต้น—ซึ่งหมายถึงผู้ที่ดำรงอยู่ในสามช่วงระยะเหล่านี้—ไม่ได้ครอบครองความเชื่อที่แท้จริงใดๆ เกี่ยวกับพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าหรือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ อีกทั้งพวกเขาไม่ได้มีการระลึกรู้หรือการยืนยันที่ชัดเจนและถูกต้องแม่นยำใดๆ เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ดังนั้น จึงเป็นการยากอย่างยิ่งที่ผู้คนสามประเภทนี้จะเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง อีกทั้งยังเป็นการยากเช่นกันที่พวกเขาจะได้รับความปรานี ความรู้แจ้ง หรือความกระจ่างของพระเจ้า เพราะลักษณะที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและท่าทีที่ผิดพลาดที่พวกเขามีต่อพระเจ้านั้นทำให้เป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจภายในหัวใจของพวกเขา ความสงสัย มโนทัศน์ผิดๆ และการจินตนาการของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้านั้นมีมากเกินกว่าการเชื่อและความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า เหล่านี้คือผู้คนสามประเภทที่มีความเสี่ยงอย่างมาก และเป็นสามช่วงระยะที่อันตรายอย่างมาก เมื่อคนเรารักษาท่าทีที่สงสัยพระเจ้า เนื้อแท้ของพระเจ้า พระอัตลักษณ์ของพระเจ้า เรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงหรือไม่และความเป็นจริงของการดำรงอยู่ของพระองค์ และเมื่อคนเราไม่สามารถมั่นใจในสิ่งเหล่านี้ได้ คนเราจะสามารถยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากพระเจ้าได้อย่างไร? คนเราจะสามารถยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง เป็นหนทาง และเป็นชีวิตได้อย่างไร? คนเราจะสามารถยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าได้อย่างไร? คนเราจะสามารถยอมรับความรอดของพระเจ้าได้อย่างไร? คนประเภทนี้จะสามารถได้รับการทรงนำทางและการจัดเตรียมที่แท้จริงของพระเจ้าได้อย่างไร? ผู้ที่อยู่ในสามช่วงระยะเหล่านี้สามารถต่อต้านพระเจ้า ตัดสินพระเจ้า หมิ่นประมาทพระเจ้า หรือทรยศพระเจ้าได้ทุกเมื่อ พวกเขาสามารถทิ้งขว้างหนทางที่แท้จริงและละทิ้งพระเจ้าได้ทุกเมื่อ คนเราสามารถพูดได้ว่าผู้คนในสามช่วงระยะเหล่านี้ดำรงอยู่ในช่วงเวลาวิกฤติ เพราะพวกเขาไม่เคยเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า

ประเภทที่สี่: ช่วงระยะของเด็กที่กำลังเติบโต หรือวัยเด็ก

หลังจากที่บุคคลหนึ่งหย่านมแล้ว—นั่นคือ หลังจากที่พวกเขาได้ชื่นชมพระคุณในปริมาณที่มากพอแล้ว—พวกเขาเริ่มต้นสำรวจความหมายของการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาเริ่มปรารถนาที่จะทำความเข้าใจคำถามต่างๆ เช่น เหตุใดมนุษย์จึงมีชีวิต มนุษย์ควรใช้ชีวิตอย่างไร และเหตุใดพระเจ้าจึงทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์กับมนุษย์ เมื่อความคิดที่ไม่ชัดเจนและรูปแบบความคิดที่งุนงงสับสนเหล่านี้อุบัติขึ้นภายในตัวพวกเขาและดำรงอยู่ภายในตัวพวกเขา พวกเขาก็ได้รับการให้น้ำอย่างต่อเนื่อง และพวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ด้วยเช่นกัน ในระหว่างช่วงเวลานี้ พวกเขาไม่มีความสงสัยใดๆ อีกต่อไปเกี่ยวกับความจริงของการดำรงอยู่ของพระเจ้า และพวกเขามีการจับความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำว่าการเชื่อในพระเจ้ามีความหมายว่าอย่างไร บนพื้นฐานนี้ พวกเขาได้รับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าทีละน้อย และพวกเขาค่อยๆ ได้รับคำตอบบางอย่างสำหรับความคิดที่ไม่ชัดเจนและรูปแบบความคิดที่งุนงงสับสนของพวกเขาเกี่ยวกับพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระเจ้า ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาตลอดจนความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้านั้น ผู้คนในช่วงระยะนี้เริ่มต้นออกเดินบนร่องครรลองที่ถูกต้อง และพวกเขาเข้าสู่ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน ผู้คนเริ่มมีชีวิตภายในช่วงระยะนี้เอง การบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงการครอบครองชีวิตคือการค่อยๆ ตอบคำถามต่างๆ ที่เกี่ยวโยงกับการรู้จักพระเจ้าที่ผู้คนมีอยู่ในหัวใจของพวกเขาทีละน้อย—เช่น ความเข้าใจผิด การจินตนาการ มโนคติที่หลงผิด และคำจำกัดความที่คลุมเครือเกี่ยวกับพระเจ้า—และไม่เพียงแต่พวกเขาจะมาเชื่อและระลึกได้จริงๆ ถึงความเป็นจริงของการดำรงอยู่ของพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังมาครอบครองคำจำกัดความที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับพระเจ้า และมีสถานที่ที่ถูกต้องสำหรับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาด้วย และการติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริงจะเข้ามาแทนที่ความเชื่อที่คลุมเครือของพวกเขา ในระหว่างช่วงระยะนี้ ผู้คนค่อยๆ มารู้จักมโนทัศน์ผิดๆ ที่พวกเขามีต่อพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาและหนทางแห่งการเชื่อที่ผิดพลาดของพวกเขา พวกเขาเริ่มกระหายความจริง กระหายที่จะได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา การตีสอน และการบ่มวินัยของพระเจ้า และกระหายการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา พวกเขาค่อยๆ ทิ้งมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการทุกชนิดเกี่ยวกับพระเจ้าไว้เบื้องหลังในระหว่างช่วงระยะนี้ และในขณะเดียวกัน พวกเขาก็เปลี่ยนแปลงและแก้ไขความรู้ผิดๆ ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าให้ถูกต้อง และได้รับความรู้พื้นฐานที่ถูกต้องบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า ถึงแม้ว่าความรู้ส่วนหนึ่งที่ผู้คนในช่วงระยะนี้ครอบครองนั้นจะไม่เฉพาะเจาะจงหรือถูกต้องแม่นยำมากนัก แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ค่อยๆ เริ่มทิ้งขว้างมโนคติที่หลงผิด ความรู้ที่ผิดพลาด และความเข้าใจผิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาไม่รักษามโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของพวกเขาเองเกี่ยวกับพระเจ้าไว้อีกต่อไป พวกเขาเริ่มต้นเรียนรู้วิธีทิ้งขว้าง—เพื่อทิ้งขว้างสิ่งทั้งหลายที่พบท่ามกลางมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเอง สิ่งทั้งหลายจากความรู้ และสิ่งทั้งหลายจากซาตาน พวกเขาเริ่มเต็มใจที่จะนบนอบต่อสิ่งที่ถูกต้องและเป็นบวก แม้กระทั่งต่อสิ่งที่มาจากพระวจนะของพระเจ้าและสิ่งที่สอดคล้องกับความจริง นอกจากนี้ พวกเขายังเริ่มพยายามที่จะได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า เริ่มพยายามที่จะรู้จักและปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ด้วยตัวเอง ยอมรับพระวจนะของพระองค์มาเป็นหลักการของการกระทำของพวกเขา และเป็นพื้นฐานในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา ในระหว่างช่วงเวลานี้ ผู้คนยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว และยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว ขณะที่พวกเขายอมรับการพิพากษา การตีสอน และพระวจนะของพระเจ้า พวกเขากลับกลายมามีความตระหนักรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และสามารถสำนึกรับรู้ได้ว่าพระเจ้าที่พวกเขาเชื่อภายในหัวใจของพวกเขานั้นทรงมีอยู่อย่างแท้จริง พวกเขารู้สึกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในพระวจนะของพระเจ้า ในประสบการณ์ของพวกเขาและชีวิตของพวกเขาว่าพระเจ้าทรงเฝ้าดูชะตากรรมของมนุษย์เสมอ และทรงนำทางและจัดเตรียมให้มนุษย์เสมอ พวกเขาค่อยๆ ยืนยันถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้าโดยผ่านทางความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับพระเจ้า ดังนั้น ก่อนที่พวกเขาจะตระหนัก พวกเขาก็ได้รับรองและเริ่มเชื่อในพระราชกิจของพระเจ้าอย่างหนักแน่นโดยไม่รู้ตัวไปแล้ว และพวกเขาได้รับรองพระวจนะของพระเจ้าไปแล้ว ทันทีที่ผู้คนรับรองพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาจะปฏิเสธตัวพวกเขาเอง ปฏิเสธมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเอง ปฏิเสธความรู้ของพวกเขาเอง ปฏิเสธการจินตนาการของพวกเขาเองอย่างไม่หยุดยั้ง และในขณะเดียวกันก็ยังแสวงหาว่าความจริงคืออะไรและน้ำพระทัยของพระเจ้าคืออะไรอย่างไม่หยุดยั้งด้วยเช่นกัน ความรู้ที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระเจ้าค่อนข้างผิวเผินในระหว่างช่วงเวลาแห่งพัฒนาการนี้—พวกเขาไม่สามารถบรรยายความรู้นี้เป็นคำพูดได้อย่างชัดเจนด้วยซ้ำ อีกทั้งพวกเขายังไม่สามารถแสดงความรู้นี้ในแง่ที่เป็นรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงได้—และพวกเขามีเพียงความเข้าใจที่มีพื้นฐานมาจากการรับรู้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อนำมาวางเปรียบเทียบกับสามช่วงระยะก่อนหน้านี้ ชีวิตที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ของผู้คนในช่วงเวลานี้ได้รับการให้น้ำและการจัดหาพระวจนะของพระเจ้าให้เรียบร้อยแล้ว และดังนั้นจึงได้เริ่มผลิใบอ่อนแล้ว ชีวิตของพวกเขาเป็นเหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่ฝังอยู่ใต้พื้นดิน หลังจากที่ได้รับความชื้นและสารอาหารแล้ว มันจะงอกผ่านดินขึ้นมา และการผลิใบอ่อนของมันจะเป็นตัวแทนของการเกิดชีวิตใหม่ การเกิดนี้ทำให้คนเราสามารถมองเห็นสัญญาณของชีวิต เมื่อผู้คนมีชีวิต พวกเขาจะเติบโต ดังนั้น บนรากฐานเหล่านี้—กล่าวคือ การค่อยๆ เดินหน้าไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า การทิ้งขว้างมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเอง การได้รับการทรงนำทางโดยพระเจ้า—ชีวิตของผู้คนจะเติบโตทีละเล็กละน้อยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การเติบโตนี้ประเมินวัดบนพื้นฐานใด? การเติบโตนี้ประเมินวัดตามประสบการณ์ที่บุคคลนั้นมีกับพระวจนะของพระเจ้า และความเข้าใจแท้จริงที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพบว่าเป็นการยากอย่างยิ่งที่จะใช้คำพูดของพวกเขาเองในการอธิบายอย่างถูกต้องแม่นยำถึงความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าและเนื้อแท้ของพระองค์ในระหว่างช่วงเวลาแห่งการเติบโตนี้ แต่ผู้คนกลุ่มนี้ก็ไม่เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความยินดีโดยผ่านทางการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าตามความชอบส่วนตัว หรือเต็มใจที่จะเชื่อในพระเจ้าเพื่อไล่ตามเสาะหาจุดประสงค์ของพวกเขาเองในการได้รับพระคุณของพระองค์อีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาชีวิตที่ดำเนินตามพระวจนะของพระเจ้า และกลายเป็นไพร่ฟ้าที่ได้รับความรอดของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามั่นใจและพร้อมที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า นี่คือเครื่องหมายของผู้ที่อยู่ในช่วงระยะแห่งการเติบโต

ถึงแม้ว่าผู้คนในช่วงระยะนี้จะมีความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอยู่บ้าง แต่ความรู้นี้ก็พร่ามัวและเลือนรางอย่างมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถบรรยายสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าพวกเขาได้รับบางสิ่งบางอย่างภายในแล้ว เพราะพวกเขาได้รับความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าโดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้ามาบ้างแล้ว อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ค่อนข้างผิวเผิน และยังอยู่ในช่วงระยะชั้นต้น ผู้คนกลุ่มนี้มีมุมมองที่เฉพาะเจาะจงซึ่งพวกเขาใช้ปฏิบัติต่อพระคุณของพระเจ้า ซึ่งมุมมองนี้ได้รับการแสดงออกผ่านความเปลี่ยนแปลงของเป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา และวิธีการที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้น พวกเขาได้เห็นแล้วในพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า ในข้อพึงประสงค์ทุกประเภทของพระองค์ต่อมนุษย์ และในสิ่งที่พระองค์ทรงเผยเกี่ยวกับมนุษย์ ว่าหากพวกเขายังคงไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง หากพวกเขายังคงไม่พยายามเข้าสู่ความเป็นจริง หากพวกเขายังคงไม่พยายามทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและรู้จักพระเจ้าในขณะที่พวกเขาได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะสูญเสียความหมายของการเชื่อในพระเจ้า พวกเขามองเห็นว่า ไม่ว่าพวกเขาจะชื่นชมพระคุณของพระเจ้ามากเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย หรือรู้จักพระเจ้าได้ และเห็นว่าหากผู้คนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้พระคุณของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะไม่มีวันสัมฤทธิ์การเติบโต ได้รับชีวิต หรือสามารถได้รับความรอดได้ กล่าวโดยสรุปคือ หากบุคคลหนึ่งไม่สามารถได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงและไร้ความสามารถที่จะรู้จักพระเจ้าโดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะคงอยู่ในช่วงระยะของทารกชั่วนิรันดร์ และไม่มีวันคืบหน้าแม้เพียงหนึ่งก้าวในการเติบโตของชีวิตของพวกเขา หากเจ้าดำรงอยู่ในช่วงระยะของทารกตลอดไป หากเจ้าไม่มีวันเข้าสู่ความเป็นจริงของพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าไม่มีวันมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของเจ้า หากเจ้าไม่มีวันครอบครองการเชื่อและความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วจะมีความเป็นไปได้ใดๆ หรือไม่ที่พวกเจ้าจะได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์โดยพระเจ้า? ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ผู้ใดก็ตามที่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของพวกเขา ผู้ใดก็ตามที่เริ่มยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า ผู้ใดก็ตามที่อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลง และผู้ใดก็ตามที่มีหัวใจที่กระหายความจริง ผู้ที่มีความอยากที่จะรู้จักพระเจ้า และความอยากที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้า เหล่านี้คือผู้ที่ครอบครองชีวิตอย่างแท้จริง นี่คือบุคคลประเภทที่สี่อย่างแท้จริง นั่นคือประเภทของเด็กที่กำลังเติบโต ผู้ที่อยู่ในช่วงระยะของวัยเด็ก

ประเภทที่ห้า: ช่วงระยะการเติบโตเต็มที่ของชีวิต หรือช่วงระยะของผู้ใหญ่

หลังจากได้รับประสบการณ์และเดินเตาะแตะผ่านช่วงระยะของวัยเด็ก ซึ่งเป็นช่วงระยะของการเติบโตที่เต็มไปด้วยการขึ้นลงซ้ำๆ แล้ว ชีวิตของผู้คนก็จะกลายเป็นมีเสถียรภาพขึ้น จังหวะก้าวเดินไปข้างหน้าของพวกเขาไม่หยุดยั้งเป็นครั้งคราวอีกต่อไป และไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางพวกเขาได้ ถึงแม้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะยังคงขรุขระและตะปุ่มตะป่ำ แต่พวกเขาก็ไม่อ่อนแอหรือขลาดกลัวอีกต่อไป และพวกเขาไม่คลำทางไปข้างหน้าหรือไม่รู้เหนือรู้ใต้อีกต่อไป รากฐานของพวกเขาหยั่งรากลึกภายในประสบการณ์จริงกับพระวจนะของพระเจ้า และหัวใจของพวกเขาได้รับการดึงดูดจากความทรงเกียรติและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พวกเขากระหายที่จะติดตามย่างพระบาทของพระเจ้า ที่จะรู้เนื้อแท้ของพระเจ้า และที่จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า

ผู้คนในช่วงระยะนี้รู้อย่างชัดเจนแล้วว่าใครที่พวกเขาเชื่อ และพวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าเหตุใดพวกเขาจึงควรเชื่อในพระเจ้าและความหมายของชีวิตของพวกเขาเอง และพวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงแสดงออกคือความจริง ในช่วงเวลาหลายปีที่พวกเขาได้รับประสบการณ์ พวกเขาระลึกได้ว่าหากปราศจากการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า บุคคลหนึ่งจะไม่มีวันสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยหรือรู้จักพระเจ้าได้ และจะไม่มีวันสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างแท้จริง ภายในหัวใจของผู้คนเหล่านี้คือความอยากอย่างยิ่งที่จะได้รับการทดสอบจากพระเจ้า เพื่อที่พวกเขาอาจมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าในขณะที่ได้รับการทดสอบ และเพื่อบรรลุถึงความรักที่บริสุทธิ์มากขึ้น และในขณะเดียวกันก็สามารถเข้าใจและรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงยิ่งขึ้น ผู้คนในช่วงระยะนี้ได้อำลาช่วงระยะของทารกและช่วงระยะของการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าและการกินขนมปังของพวกเขาจนพอใจอย่างสมบูรณ์แล้ว พวกเขาไม่วางความหวังอันฟุ้งเฟ้อไว้ที่การทำให้พระเจ้าทรงทนยอมรับและแสดงความปรานีต่อพวกเขาอีกต่อไป ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับมั่นใจและหวังที่จะได้รับการตีสอนและการพิพากษาอย่างไม่หยุดยั้งจากพระเจ้า เพื่อที่จะแยกตัวพวกเขาเองออกจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า และการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา หรือเป้าหมายสุดท้ายของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา ทั้งหมดต่างชัดเจนอย่างยิ่งในหัวใจของพวกเขา ดังนั้น ผู้คนในช่วงระยะของผู้ใหญ่ได้อำลาช่วงระยะของความเชื่อที่คลุมเครือ ช่วงระยะที่พวกเขาอาศัยพระคุณเพื่อความรอด ช่วงระยะของชีวิตที่ยังไม่เติบโตเต็มที่และไม่สามารถทนต่อการทดสอบ ช่วงระยะของความพร่ามัว ช่วงระยะของการคลำทาง ช่วงระยะของการไม่มีเส้นทางให้เดินบ่อยครั้ง ช่วงเวลาที่ไม่มั่นคงของการสลับไปมาระหว่างความร้อนและความเย็นอย่างฉับพลัน และช่วงระยะที่คนเราติดตามพระเจ้าโดยที่ปิดตาข้างหนึ่ง อย่างสมบูรณ์แล้ว ผู้คนประเภทนี้ได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระเจ้าบ่อยครั้ง และมีส่วนร่วมในการสมาคมและการสื่อสารที่แท้จริงกับพระเจ้าบ่อยครั้ง คนเราสามารถพูดได้ว่าผู้คนที่ใช้ชีวิตในช่วงระยะนี้ได้จับความเข้าใจส่วนหนึ่งของน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ว่าพวกเขาสามารถพบหลักธรรมของความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ และว่าพวกเขารู้ว่าจะทำให้สมดังสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนาอย่างไร นอกจากนั้น พวกเขายังได้พบเส้นทางแห่งการรู้จักพระเจ้าแล้ว และได้เริ่มเป็นพยานต่อความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าแล้ว ในช่วงระหว่างกระบวนการแห่งการเติบโตทีละน้อย พวกเขาได้รับความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าทีละน้อย นั่นคือ เกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าในการทรงสร้างมนุษยชาติ และเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าในการบริหารจัดการมนุษยชาติ พวกเขายังค่อยๆ ได้รับความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าในแง่ของเนื้อแท้ด้วยเช่นกัน ไม่มีมโนคติที่หลงผิดหรือการจินตนาการใดของมนุษย์ที่สามารถแทนที่ความรู้นี้ได้ ในขณะที่คนเราไม่สามารถพูดได้ว่าในช่วงระยะที่ห้านั้นชีวิตของบุคคลหนึ่งเติบโตเต็มที่อย่างสมบูรณ์ หรือว่าบุคคลนี้มีความชอบธรรมหรือครบบริบูรณ์ ถึงอย่างนั้น บุคคลประเภทนี้ก็ได้ก้าวไปข้างหน้าสู่ช่วงระยะของการเติบโตเต็มที่ในชีวิตแล้ว และสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า มายืนประจันกับพระวจนะของพระเจ้าและเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้แล้ว เพราะบุคคลประเภทนี้ได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้ามากมายยิ่งนัก ได้รับประสบการณ์กับการทดสอบนับไม่ถ้วน และได้รับประสบการณ์กับเหตุการณ์แห่งการบ่มวินัย การพิพากษา และการตีสอนนับไม่ถ้วนจากพระเจ้า การนบนอบต่อพระเจ้าของพวกเขาจึงไม่ใช่การนบนอบแบบสัมพัทธ์ แต่เป็นการนบนอบที่แน่นอน ความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าได้แปลงรูปจากภาวะที่ไม่รู้ตัวเป็นความรู้ที่ชัดเจนและแม่นยำ จากผิวเผินเป็นลึกซึ้ง จากเบลอและพร่ามัวเป็นพิถีพิถันและจับต้องได้ พวกเขาได้เปลี่ยนจากการคลำทางอย่างพากเพียรและการแสวงหาในเชิงรับเป็นความรู้อย่างไม่ต้องพยายามและการเป็นพยานในเชิงรุก สามารถกล่าวได้ว่าผู้คนในช่วงระยะนี้ครอบครองความจริงความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ว่าพวกเขาได้ก้าวไปบนเส้นทางสู่ความเพียบพร้อม เช่นเดียวกับเส้นทางที่เปโตรเดิน นี่คือบุคคลชนิดที่ห้า ผู้ที่ใช้ชีวิตในช่วงระยะของการเติบโตเต็มที่—ช่วงระยะของผู้ใหญ่

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger