พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 75

วันที่ 23 เดือน 02 ปี 2024

พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน

ยอห์น 6:8-13 สาวกคนหนึ่งของพระองค์คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า "ที่นี่มีเด็กชายคนหนึ่งมีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้?" พระเยซูตรัสว่า "ให้ทุกคนนั่งลงเถิด" (ที่นั่นมีหญ้ามาก) คนเหล่านั้นจึงนั่งลง นับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน แล้วพระเยซูก็ทรงหยิบขนมปัง เมื่อขอบพระคุณแล้วก็ทรงแจกจ่ายให้บรรดาคนที่นั่งอยู่นั้น และให้ปลาด้วยตามที่เขาต้องการ เมื่อพวกเขากินอิ่มแล้วพระเยซูตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า "จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น" พวกเขาจึงเก็บเศษขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนที่เหลือหลังจากทุกคนกินแล้วใส่กระบุงได้สิบสองกระบุงเต็ม

แนวความคิดเกี่ยวกับ "ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว" คืออะไร? โดยธรรมดาสามัญทั่วไปแล้ว ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวสามารถเป็นอาหารให้กับผู้คนจำนวนเท่าใดได้เพียงพอ? หากเจ้าใช้ความอยากอาหารของบุคคลทั่วไปเป็นพื้นฐานในการวัด นี่จะเพียงพอสำหรับคนสองคนเท่านั้น นี่คือแนวความคิดเกี่ยวกับ "ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว" ที่พื้นฐานที่สุด อย่างไรก็ตาม ในบทตอนนี้ ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวให้อาหารกับผู้คนจำนวนเท่าใด? ข้อความต่อไปนี้คือสิ่งที่ได้รับการบันทึกไว้ในองค์คัมภีร์: "(ที่นั่นมีหญ้ามาก) คนเหล่านั้นจึงนั่งลง นับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน" เมื่อเทียบกับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวแล้ว ห้าพันเป็นจำนวนที่มากมายหรือไม่? จำนวนที่มากมายอย่างยิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งใด? จากมุมมองของมนุษย์ การแบ่งขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวให้กับคนห้าพันคนจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะความแตกต่างระหว่างผู้คนและอาหารนั้นมีมากเกินไป ถึงแม้ว่าทุกคนจะกินเพียงคำเล็กๆ หนึ่งคำ ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับคนห้าพันคนอยู่ดี แต่ในที่นี้ องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงปฏิบัติการอัศจรรย์—พระองค์ไม่เพียงแต่ทรงทำให้ผู้คนห้าพันคนสามารถได้กินจนอิ่มเท่านั้น แต่ยังมีอาหารเหลืออีกด้วย องค์คัมภีร์เขียนไว้ว่า: "เมื่อพวกเขากินอิ่มแล้วพระเยซูตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า 'จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น' พวกเขาจึงเก็บเศษขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนที่เหลือหลังจากทุกคนกินแล้วใส่กระบุงได้สิบสองกระบุงเต็ม" การอัศจรรย์นี้ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นพระอัตลักษณ์และสถานะขององค์พระเยซูเจ้า และมองเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้า—ในลักษณะนี้ พวกเขามองเห็นความจริงของฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระเจ้า ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเพียงพอที่จะให้อาหารคนห้าพันคน แต่หากไม่มีอาหารใดๆ อยู่เลย พระเจ้าจะทรงสามารถให้อาหารกับคนห้าพันคนได้หรือไม่? แน่นอนว่าพระองค์ทรงสามารถทำได้! นี่คือการอัศจรรย์ ดังนั้นผู้คนจึงรู้สึกว่ามันเกินกว่าจะเข้าใจได้ เหลือเชื่อ และลึกลับ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว การทำเช่นนั้นไม่มีความสำคัญใดๆ เพราะนี่คือบางสิ่งบางอย่างที่เป็นธรรมดาสำหรับพระเจ้า เหตุใดจึงควรเลือกการอัศจรรย์นี้มาเพื่อตีความในตอนนี้? เพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการอัศจรรย์นี้คือน้ำพระทัยขององค์พระเยซูเจ้า ซึ่งมวลมนุษย์ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน

ประการแรก พวกเรามาพยายามทำความเข้าใจว่าคนห้าพันคนนี้เป็นคนประเภทใด พวกเขาเป็นผู้ติดตามขององค์พระเยซูเจ้าหรือไม่? จากองค์คัมภีร์ เรารู้ว่าพวกเขาไม่ใช่สาวกของพระองค์ พวกเขารู้หรือไม่ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้ใด? ไม่อย่างแน่นอน! อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ไม่รู้ว่าบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือพระคริสต์ หรือบางทีบางคนอาจรู้เพียงว่าพระองค์มีพระนามว่าอะไร และรู้หรือเคยได้ยินบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ทรงเคยได้ทำมาแล้ว พวกเขาเพียงแค่ถูกปลุกเร้าให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ แต่แน่นอนว่าเจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาติดตามพระองค์ นับประสาอะไรที่จะเข้าใจพระองค์ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นคนห้าพันคนนี้ พวกเขาหิวโหยและคิดถึงได้แค่เพียงการหาอาหารลงท้องของพวกเขาเท่านั้น ดังนั้นองค์พระเยซูเจ้าจึงทรงตอบสนองความอยากของพวกเขาในบริบทนี้ เมื่อพระองค์ทรงตอบสนองความอยากของพวกเขา สิ่งใดอยู่ในพระทัยของพระองค์? พระองค์ทรงมีท่าทีอย่างไรต่อผู้คนที่ต้องการเพียงกินจนอิ่มเหล่านี้? ในขณะนี้ พระดำริขององค์พระเยซูเจ้าและท่าทีของพระองค์สัมพันธ์กับพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระเจ้า เมื่อทรงเผชิญกับผู้คนห้าพันคนที่ท้องว่างและต้องการเพียงกินอาหารเต็มมื้อ เมื่อทรงเผชิญกับผู้คนที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความหวังจากพระองค์ องค์พระเยซูเจ้าจึงมีพระดำริเพียงที่จะใช้การอัศจรรย์นี้เพื่อประทานพระคุณแก่พวกเขาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่ได้ยกความหวังของพระองค์ให้สูงขึ้นว่าพวกเขาจะกลายเป็นผู้ติดตามของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาเพียงต้องการเข้าร่วมความสนุกและกินจนอิ่ม ดังนั้นพระองค์จึงทรงใช้ประโยชน์จากสิ่งที่พระองค์ทรงมีในที่แห่งนั้นให้ดีที่สุด และทรงใช้ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเพื่อให้อาหารกับคนห้าพันคน พระองค์ทรงเปิดตาของผู้คนที่สุขสำราญกับการมองเห็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นต่างๆ เหล่านี้ ผู้ที่ต้องการพบเห็นการอัศจรรย์ และพวกเขามองเห็นสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ทรงสามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยตาของพวกเขาเอง ถึงแม้ว่าองค์พระเยซูเจ้าจะทรงใช้บางสิ่งบางอย่างที่จับต้องได้เพื่อตอบสนองความสงสัยของพวกเขา แต่พระองค์ก็ทรงรู้อยู่แล้วในพระทัยของพระองค์ว่าผู้คนห้าพันคนนี้เพียงต้องการที่จะกินอาหารดีๆ ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงเทศนาพวกเขาหรือตรัสสิ่งใดเลย—พระองค์เพียงทรงปล่อยให้พวกเขามองเห็นการอัศจรรย์นี้ในขณะที่มันเกิดขึ้น พระองค์ไม่ทรงสามารถปฏิบัติต่อผู้คนเหล่านี้ในลักษณะเดียวกันกับที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อบรรดาสาวกของพระองค์ผู้ที่ติดตามพระองค์อย่างแท้จริงได้อย่างแน่นอน แต่ในพระทัยของพระเจ้า สิ่งทรงสร้างทั้งหมดอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ และพระองค์จะประทานพระอนุญาตให้สิ่งทรงสร้างทั้งหมดที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นได้สุขสำราญกับพระคุณของพระเจ้าเมื่อมีความจำเป็น ถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้จะไม่รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นใครและไม่เข้าใจพระองค์ หรือมีความประทับใจที่เฉพาะเจาะจงใดๆ เกี่ยวกับพระองค์ หรือมีความรู้สึกขอบคุณต่อพระองค์แม้หลังจากที่พวกเขาได้กินขนมปังและปลานั้น นี่ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่พระเจ้าขัดพระทัย—พระองค์ประทานโอกาสที่ยอดเยี่ยมที่จะสุขสำราญกับพระคุณของพระเจ้าให้ผู้คนเหล่านี้ บางคนพูดว่าพระเจ้าทรงมีหลักการในสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ว่าพระองค์ทรงไม่คอยคุ้มกันหรือปกป้องบรรดาผู้ไม่เชื่อ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ว่าพระองค์ทรงไม่อนุญาตให้พวกเขาสุขสำราญกับพระคุณของพระองค์ เป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือไม่? ในสายพระเนตรของพระเจ้า ตราบเท่าที่พวกเขาเป็นสิ่งทรงสร้างซึ่งมีชีวิตที่พระองค์เองได้ทรงสร้างขึ้น พระองค์จะทรงบริหารจัดการและดูแลเอาใจใส่พวกเขา และพระองค์จะทรงปฏิบัติต่อพวกเขา วางแผนเพื่อพวกเขา และปกครองพวกเขาในหลากหลายวิธี เหล่านี้คือพระดำริและท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อทุกสรรพสิ่ง

ถึงแม้ว่าคนห้าพันคนที่กินขนมปังกับปลาไม่ได้วางแผนที่จะติดตามองค์พระเยซูเจ้า แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงมีข้อเรียกร้องที่เข้มงวดมากจากพวกเขา ทันทีที่พวกเขากินจนอิ่มแล้ว พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงทำสิ่งใด? พระองค์ทรงเทศนาพวกเขาบ้างหรือไม่? พระองค์เสด็จไปที่ใดหลังจากที่ทรงทำเช่นนี้? ข้อพระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกว่าองค์พระเยซูเจ้าตรัสสิ่งใดกับพวกเขา แค่ว่าพระองค์เสด็จจากไปเงียบๆ เมื่อพระองค์ทรงแสดงการอัศจรรย์ของพระองค์แล้ว เช่นนั้นแล้วพระองค์ได้ทรงมีข้อพึงประสงค์ใดๆ จากผู้คนเหล่านี้หรือไม่? มีความเกลียดชังใดๆ หรือไม่? ไม่ ไม่มีสิ่งเหล่านี้เลยในที่นี้ พระองค์เพียงไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะให้ความใส่พระทัยใดๆ อีกต่อไปกับผู้คนที่ไม่สามารถติดตามพระองค์ และในเวลานี้พระทัยของพระองค์เจ็บปวด เพราะพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นความเสื่อมทรามลงของมวลมนุษย์แล้ว และพระองค์ได้ทรงรู้สึกถึงการปฏิเสธพระองค์จากมวลมนุษย์แล้ว เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรผู้คนเหล่านี้และเมื่อพระองค์ประทับอยู่กับพวกเขา พระองค์ทรงเกิดความรู้สึกเสียพระทัยจากความทึ่มและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์ และพระทัยของพระองค์เจ็บปวด พระประสงค์ทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีคือการจากผู้คนเหล่านี้ไปโดยเร็วที่สุด องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงมีข้อพึงประสงค์ใดๆ จากพวกเขาในพระทัยของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะให้ความใส่พระทัยใดๆ กับพวกเขา และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะสละพลังงานของพระองค์ไปกับพวกเขา พระองค์ทรงรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถติดตามพระองค์ได้ แต่ถึงแม้ว่าจะมีเหตุทั้งหมดนี้ ท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาก็ยังคงชัดเจนอย่างมาก พระองค์เพียงทรงต้องประสงค์ที่จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างใจดี ประทานพระคุณให้กับพวกเขา และนี่คือท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อทุกสิ่งที่ทรงสร้างภายใต้การปกครองของพระองค์โดยแท้—เพื่อปฏิบัติต่อทุกสิ่งที่ทรงสร้างอย่างเมตตา เพื่อจัดเตรียมให้พวกเขาและบำรุงเลี้ยงพวกเขา ด้วยเหตุผลนี้เองที่องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงเผยเนื้อแท้ของพระเจ้าเองอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง และทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างใจดี พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยพระทัยแห่งความเมตตากรุณาและการทนยอมรับ และพระองค์ทรงแสดงความใจดีต่อพวกเขาด้วยพระทัยเช่นนั้น ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้จะมององค์พระเยซูเจ้าอย่างไร และไม่ว่าบทอวสานจะเป็นแบบใดก็ตาม พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกสิ่งที่ทรงสร้างโดยมีพื้นฐานจากฐานะของพระองค์ ในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้าของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเผยคือพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นอย่างไม่มีข้อยกเว้น องค์พระเยซูเจ้าทรงทำสิ่งนี้อย่างเงียบๆ และเสด็จจากไปอย่างเงียบๆ—นี่เป็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าในแง่มุมใด? เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่านี่คือความรักเมตตาของพระเจ้า? เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่านี่คือความไม่เห็นแก่พระองค์เองของพระเจ้า? นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่บุคคลทั่วไปสามารถทำได้หรือไม่? แน่นอนว่าไม่! โดยเนื้อแท้แล้ว ผู้คนห้าพันคนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงให้อาหารด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเป็นใคร? เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพวกเขาคือผู้คนที่มีความเข้ากันได้กับพระองค์? เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์? สามารถกล่าวได้ด้วยความมั่นใจว่าพวกเขาไม่มีความเข้ากันได้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน และเนื้อแท้ของพวกเขาเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้าอย่างแน่นอน แต่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร? พระองค์ทรงใช้วิธีการหนึ่งในการขจัดความเป็นปรปักษ์ที่ผู้คนมีต่อพระเจ้า—วิธีการนี้เรียกว่า "ความใจดี" นั่นคือ ถึงแม้ว่าองค์พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นผู้คนเหล่านี้ว่าเป็นคนบาป แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาก็เป็นสิ่งทรงสร้างของพระองค์อยู่ดี ดังนั้นพระองค์จึงยังทรงปฏิบัติต่อคนบาปเหล่านี้อย่างใจดี นี่คือการทนยอมรับของพระเจ้า และการทนยอมรับนี้ได้รับการกำหนดจากพระอัตลักษณ์และเนื้อแท้ของพระเจ้าเอง ดังนั้น นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีมนุษย์คนใดที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นจะสามารถทำได้—มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำสิ่งนี้ได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger