พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 30

วันที่ 11 เดือน 05 ปี 2021

ปฐมกาล 9:11-13 "เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่าจะไม่ทำลายมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงโดยให้น้ำท่วมอีก และจะไม่ให้มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป" พระเจ้าตรัสว่า "นี่แหละเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญา ซึ่งเราให้ไว้ระหว่างเรากับพวกเจ้า และกับสัตว์มีชีวิตทั้งปวงที่อยู่กับพวกเจ้าสืบไปทุกชั่วอายุ คือเราตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆ และรุ้งนั้นจะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับโลก"

ในตอนจบของเรื่องราวของโนอาห์ พวกเราเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงใช้วิธีการที่ไม่ธรรมดาเพื่อแสดงความรู้สึกของพระองค์ ณ เวลานั้น เป็นวิธีการที่พิเศษมาก นั่นคือ การทำพันธสัญญากับมนุษย์ซึ่งได้ประกาศบทอวสานแห่งการทำลายโลกด้วยน้ำท่วมของพระเจ้า โดยผิวเผินแล้วการทำพันธสัญญาอาจดูเหมือนเป็นสิ่งธรรมดามาก ไม่มีอะไรมากไปกว่าการใช้คำพูดเพื่อผูกมัดสองฝ่าย และป้องกันไม่ให้พวกเขาละเมิดข้อตกลงของพวกเขา เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาทั้งคู่ ในด้านรูปแบบมันเป็นสิ่งธรรมดามาก แต่จากสิ่งจูงใจเบื้องหลังและเจตนารมณ์ของพระเจ้าในการทำสิ่งนี้ มันเป็นการเปิดเผยที่แท้จริงถึงพระอุปนิสัยและสภาพจิตใจของพระเจ้า หากเจ้าเพียงวางพระวจนะเหล่านี้ไว้ก่อนและเพิกเฉยต่อพระวจนะเหล่านี้ หากเราไม่มีวันบอกพวกเจ้าถึงความจริงของสิ่งต่างๆ เช่นนั้นแล้วมนุษยชาติก็จะไม่มีวันรู้จักการขบคิดของพระเจ้าจริงๆ บางทีในจินตนาการของเจ้า พระเจ้ากำลังทรงแย้มพระโอษฐ์เมื่อพระองค์ได้ทรงทำพันธสัญญานี้ หรือบางทีการแสดงออกของพระองค์นั้นจริงจัง แต่ไม่ว่าผู้คนจะจินตนาการว่าพระเจ้าได้ทรงมีการแสดงออกใดที่ธรรมดามากที่สุด แต่คงจะไม่มีใครสามารถเห็นพระทัยของพระเจ้าหรือความเจ็บปวดของพระองค์ได้ นับประสาอะไรกับความเหงาของพระองค์ ไม่มีใครสามารถทำให้พระเจ้าไว้วางพระทัยพวกเขาหรือมีค่าคู่ควรต่อความไว้วางพระทัยของพระเจ้า หรือเป็นใครสักคนที่พระองค์ทรงสามารถแสดงความคิดของพระองค์ หรือไว้พระทัยปรับทุกข์ในความเจ็บปวดของพระองค์ได้ นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าไม่ทรงมีทางเลือกใดนอกจากทำสิ่งเช่นนี้ มองโดยผิวเผินแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำสิ่งง่ายๆ ในการกล่าวคำอำลาต่อมนุษยชาติอย่างที่เคยเป็น โดยแก้ไขประเด็นปัญหาแห่งอดีตและนำการทำลายล้างโลกด้วยน้ำท่วมของพระองค์ไปสู่บทอวสานที่มีความเพียบพร้อม อย่างไรก็ตามพระเจ้าได้ทรงฝังความเจ็บปวดจากชั่วขณะนี้ลึกลงไปในพระทัยของพระองค์ ณ เวลาที่พระเจ้าไม่ได้ทรงมีใครให้ไว้พระทัยปรับทุกข์ด้วย พระองค์ได้ทรงทำพันธสัญญากับมวลมนุษย์ โดยตรัสบอกพวกเขาว่าพระองค์จะไม่ทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วมอีก เมื่อสายรุ้งได้ปรากฏขึ้น ก็เพื่อเตือนความจำผู้คนว่าสิ่งเช่นนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว และเพื่อตักเตือนพวกเขาให้ละเว้นจากความชั่ว แม้ในสภาวะที่เจ็บปวดเช่นนี้ พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงลืมเกี่ยวกับมวลมนุษย์ และยังคงได้ทรงแสดงความห่วงใยอย่างมากต่อพวกเขา นี่ไม่ใช่ความรักและความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้าหรอกหรือ? แต่ผู้คนนึกถึงอะไรเล่าเมื่อพวกเขากำลังทนทุกข์? นี่ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาต้องการพระเจ้ามากที่สุดหรอกหรือ? ในเวลาเช่นนี้ผู้คนมักจะลากพระเจ้าเข้าหาเสมอเพื่อให้พระองค์ทรงสามารถปลอบประโลมพวกเขาได้ ไม่สำคัญว่าเมื่อใด พระเจ้าจะไม่มีวันทรงทำให้ผู้คนผิดหวัง และพระองค์จะทรงทำให้ผู้คนสามารถหลุดพ้นจากสภาวะลำบากใจและมีชีวิตในความสว่างได้เสมอ แม้ว่าพระเจ้าจะทรงจัดเตรียมให้มวลมนุษย์เช่นนี้ แต่ในหัวใจของมนุษย์พระเจ้าไม่ทรงเป็นอะไรมากไปกว่ายาเม็ดบรรเทาทุกข์ น้ำยาปลอบประโลม เมื่อพระเจ้ากำลังทรงทนทุกข์ เมื่อพระทัยของพระองค์ได้รับบาดเจ็บ การมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างหรือบุคคลใดก็ตามมาอยู่เป็นเพื่อนกับพระองค์หรือปลอบประโลมพระองค์ย่อมเป็นเพียงความปรารถนาฟุ้งเฟ้อสำหรับพระเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย มนุษย์ไม่มีวันให้ความสนใจกับความรู้สึกของพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่มีวันทรงถามหาหรือคาดหวังว่าจะมีใครสักคนที่สามารถปลอบประโลมพระองค์ได้ พระองค์เพียงทรงใช้วิธีการทั้งหลายของพระองค์เองเพื่อแสดงออกถึงพระอารมณ์ของพระองค์ ผู้คนไม่คิดว่าเป็นความยากลำบากอย่างยิ่งที่พระเจ้าจะต้องทรงฟันฝ่าความทุกข์ แต่เมื่อเจ้าพยายามเข้าใจพระเจ้าอย่างแท้จริง เมื่อเจ้าสามารถซาบซึ้งในเจตนารมณ์อันแรงกล้าของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระองค์ได้ แม้ว่าพระเจ้าได้ทรงทำพันธสัญญากับมวลมนุษย์โดยใช้สายรุ้ง แต่พระองค์ไม่เคยได้ทรงบอกผู้ใดว่าเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงทำเช่นนี้—เหตุใดพระองค์จึงได้ทรงตั้งพันธสัญญานี้—หมายความว่าพระองค์ไม่เคยได้ตรัสบอกพระดำริที่แท้จริงของพระองค์กับผู้ใด นี่เป็นเพราะไม่มีใครที่สามารถจับใจความความลึกของความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองได้ และไม่มีใครที่สามารถซาบซึ้งว่าพระทัยของพระองค์ได้ทนทุกข์มากเพียงใดเมื่อพระองค์ทรงทำลายมนุษยชาติได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น แม้ว่าพระองค์จะต้องตรัสบอกผู้คนว่าพระองค์ทรงรู้สึกอย่างไร พวกเขาก็คงจะไม่สามารถรับภาระความเชื่อใจนี้ไว้ได้ แม้จะทรงอยู่ในความเจ็บปวด แต่พระองค์ก็ยังคงทรงทำพระราชกิจของพระองค์ต่อไปในขั้นตอนถัดไป พระเจ้าทรงให้ด้านที่ดีที่สุดของพระองค์และสิ่งที่ดีที่สุดแก่มวลมนุษย์เสมอ ในขณะที่ทรงแบกรับความทุกข์ทั้งหมดด้วยพระองค์เองอย่างเงียบๆ นั้น พระเจ้าไม่มีวันทรงเปิดเผยความทุกข์เหล่านี้อย่างโจ่งแจ้ง พระองค์ทรงทนฝ่าความทุกข์เหล่านี้และทรงรอคอยในความเงียบแทน ความทนฝ่าของพระเจ้านั้นไม่เย็นชา มึนงง หรือหมดหนทาง และไม่ได้เป็นสัญญาณของความอ่อนแอ ตรงกันข้าม ความรักและแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเสมอมา นี่คือการเปิดเผยตามธรรมชาติถึงแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระองค์ และเป็นร่างสถิตที่แท้จริงของพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าในฐานะพระผู้สร้างที่แท้จริง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger