พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การเข้าสู่ชีวิต | บทตัดตอน 572

วันที่ 31 เดือน 08 ปี 2021

สรรพสิ่งทั้งปวงที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ที่สามารถสั่นคลอนปณิธานของเจ้า ยึดครองหัวใจของเจ้า หรือหน่วงเหนี่ยวความสามารถของเจ้าในการทำหน้าที่ของเจ้าและความก้าวหน้าไปข้างหน้าของเจ้านั้น จำเป็นต้องใช้การปฏิบัติที่ขยันขันแข็ง สิ่งเหล่านั้นควรได้รับการตรวจสอบอย่างพิถีพิถันและความจริงของสิ่งเหล่านั้นควรได้รับการแสวงหา เหล่านี้คือทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นภายในอาณาจักรแห่งประสบการณ์ ผู้คนบางคนยุติหน้าที่ของพวกเขาเมื่อสิ่งที่เป็นลบตกมาถึงพวกเขา และไร้ความสามารถที่จะคลานกลับมาลุกขึ้นยืนหลังจากการพลาดพลั้งแต่ละครั้ง ผู้คนทั้งหมดเหล่านี้คือเหล่าคนโง่ที่ไม่รักความจริง และพวกเขาคงจะไม่ได้รับความจริงแม้จะมีความเชื่ออยู่ตลอดชั่วชีวิตด้วยซ้ำ เหล่าคนโง่เช่นนั้นจะสามารถติดตามไปจนถึงปลายทางได้อย่างไรเล่า? หากสิ่งเดียวกันนั้นเกิดขึ้นกับเจ้านับสิบครั้ง แต่เจ้าไม่ได้รับสิ่งใดจากมันเลย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นบุคคลครึ่งๆ กลางๆ ไร้ประโยชน์ ผู้คนที่ฉลาดและบรรดาผู้ที่มีขีดความสามารถที่แท้จริงซึ่งเข้าใจเรื่องราวฝ่ายจิตวิญญาณคือบรรดานักแสวงหาความจริง หากมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขานับสิบครั้ง เช่นนั้นแล้ว บางที ในแปดครั้งของกรณีเหล่านั้น พวกเขาก็คงจะสามารถได้รับแรงบันดาลใจบางอย่าง เรียนรู้บทเรียนบางอย่าง บรรลุถึงความรู้แจ้งบางอย่าง และสร้างความก้าวหน้าบางอย่างได้ เมื่อสิ่งทั้งหลายตกแก่คนโง่นับสิบครั้ง—คนที่ไม่เข้าใจเรื่องราวฝ่ายจิตวิญญาณ—มันจะไม่เป็นประโยชน์กับชีวิตของพวกเขาเลยสักครั้ง มันจะไม่เปลี่ยนแปลงพวกเขาเลยสักครั้ง และมันจะไม่เป็นเหตุให้พวกเขาเข้าใจธรรมชาติของพวกเขาเลยสักครั้ง และนั่นคือปลายทางสำหรับพวกเขา แต่ละครั้งที่บางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาจะล้มลง และแต่ละครั้งที่พวกเขาล้มลง พวกเขาจำเป็นต้องมีใครคนอื่นบางคนมาค้ำพยุงพวกเขาและหว่านล้อมพวกเขา หากไม่มีการค้ำพยุงและการหว่านล้อม พวกเขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้ หากแต่ละครั้งที่บางอย่างเกิดขึ้น พวกเขาเสี่ยงภัยต่อการที่จะตกต่ำ และหากแต่ละครั้งพวกเขาเสี่ยงภัยที่จะถูกลดระดับขั้น นี่มิใช่ปลายทางสำหรับพวกเขาหรอกหรือ? มีเหตุผลที่ฟังขึ้นอื่นใดอีกหรือสำหรับผู้คนไร้ประโยชน์เช่นนั้นที่จะได้รับการช่วยให้รอด? ความรอดของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์นั้น คือความรอดของบรรดาผู้ที่รักความจริง คือความรอดของส่วนหนึ่งของพวกเขาที่มีเจตจำนงและความแน่วแน่ และส่วนหนึ่งของพวกเขาที่เป็นการโหยหาที่พวกเขามีต่อความจริงและความชอบธรรมในหัวใจของพวกเขา ความแน่วแน่ของบุคคลหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งในหัวใจของพวกเขาที่โหยหาความชอบธรรม ความดี และความจริง และครองมโนธรรม พระเจ้าทรงช่วยส่วนนี้ของผู้คนให้รอด และโดยผ่านทางการนี้ พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาอาจเข้าใจและได้รับความจริง เพื่อที่ความเสื่อมทรามของพวกเขาอาจได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาอาจได้รับการแปลงสภาพ หากเจ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ภายในตัวเจ้า เจ้าย่อมไม่สามารถที่จะได้รับการช่วยให้รอดได้ หากภายในตัวเจ้าไม่มีความรักต่อความจริงหรือความใฝ่สูงต่อความชอบธรรมและความสว่าง หากเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับความชั่ว เจ้าไม่มีทั้งเจตจำนงที่จะสลัดทิ้งสิ่งชั่วทั้งหลาย อีกทั้งไม่มีความแน่วแน่ที่จะทนทุกข์กับความยากลำบาก ที่มากไปกว่านั้นคือ หากมโนธรรมของเจ้าด้านชา หากปฏิภาณของเจ้าสำหรับการรับความจริงก็ถูกทำให้ด้านชาไปด้วย และเจ้าก็ย่อมไม่ถูกปรับเข้าหาความจริงและเข้าหาเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น และหากเจ้าไม่หยั่งรู้ในเรื่องทั้งหมด และไร้ความสามารถที่จะจัดการรับมือหรือแก้ไขสิ่งทั้งหลายด้วยตัวเอง เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีหนทางที่จะได้รับการช่วยให้รอด ผู้คนเช่นนั้นไม่มีสิ่งใดที่จะแนะนำพวกเขาได้ ไม่มีสิ่งใดควรค่าในการทำงานด้วย มโนธรรมของพวกเขาด้านชา จิตใจของพวกเขาขุ่นตม และพวกเขาไม่รักความจริง อีกทั้งลึกลงไปในหัวใจของพวกเขาก็ไม่โหยหาความชอบธรรม และไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสถึงความจริงอย่างชัดเจนและโปร่งใสเพียงใด พวกเขาก็ไม่ตอบสนอง ราวกับว่าพวกเขาได้ตายไปแล้ว มิใช่ว่าสิ่งทั้งหลายจบสิ้นไปแล้วสำหรับพวกเขาหรอกหรือ? บุคคลซึ่งมีลมหายใจสักเฮือกเหลืออยู่ในตัวพวกเขาอาจได้รับการช่วยให้รอดด้วยเครื่องช่วยหายใจ แต่หากพวกเขาได้ตายไปแล้วและวิญญาณของเขาได้จากไปแล้ว เครื่องช่วยหายใจก็จะไม่มีประโยชน์อันใด หากเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับปัญหา เจ้าหลบฉากจากมันและพยายามที่จะหลีกเลี่ยงมัน นี่หมายความว่าเจ้ายังไม่ได้เป็นพยาน เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่มีวันสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ และเจ้าก็จบสิ้นแล้วโดยสิ้นเชิง เมื่อประเด็นปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องมีความใจเย็นและมีวิธีเข้าหาที่ถูกต้อง และเจ้าต้องตัดสินใจเลือก พวกเจ้าควรเรียนรู้ที่จะใช้ความจริงเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหา ในเวลาปกตินั้น สิ่งใดหรือคือประโยชน์ของการเข้าใจความจริงบางอย่าง? นั่นไม่ใช่เพื่อทำให้เจ้าอิ่มท้อง และนั่นไม่ใช่แค่เพื่อให้เจ้ามีบางอย่างเอาไว้พูด อีกทั้งนั่นก็ไม่ใช่เพื่อแก้ไขปัญหาของผู้อื่น ที่สำคัญกว่านั้นคือ ประโยชน์ของการเข้าใจความจริงก็เพื่อแก้ไขปัญหาของตัวเจ้าเอง ความลำบากยากเย็นของตัวเจ้าเอง—เฉพาะหลังจากที่เจ้าแก้ไขความลำบากยากเย็นของตัวเจ้าเองแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นของผู้อื่นได้ เหตุใดเล่า จึงมีการกล่าวว่าเปโตรคือดอกผลหนึ่ง? เพราะมีสิ่งทั้งหลายที่มีคุณค่าในตัวเขา สิ่งทั้งหลายที่มีค่าคู่ควรแก่การทำให้มีความเพียบพร้อม เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะแสวงหาความจริงและมีเจตจำนงที่มั่นคง เขามีเหตุผล เต็มใจที่จะทนทุกข์กับความยากลำบาก และรักความจริงในหัวใจของเขา และเขาไม่ปล่อยมือจากสิ่งที่ผ่านเข้ามา เหล่านี้ล้วนเป็นจุดแข็ง หากเจ้าไม่มีอันใดเลยของจุดแข็งเหล่านี้ นั่นหมายถึงความเดือดร้อน เจ้าไม่มีความสามารถที่จะได้รับประสบการณ์และไม่มีประสบการณ์เลย และเจ้าไม่สามารถที่จะแก้ไขความลำบากยากเย็นของผู้อื่นได้ นี่เป็นเพราะเจ้าไม่รู้วิธีที่จะเข้าสู่ เจ้างุนงงสับสนเมื่อสิ่งทั้งหลายตกแก่เจ้า เจ้ารู้สึกเป็นทุกข์ ร่ำไห้ กลายเป็นคิดลบ วิ่งหนี และไม่สำคัญว่าเจ้าทำสิ่งใด เจ้าย่อมไร้ความสามารถที่จะจัดการรับมือกับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger