พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การเข้าสู่ชีวิต | บทตัดตอน 379

วันที่ 22 เดือน 08 ปี 2021

ผู้คนมากมายได้พูดการนี้ไว้ก่อนหน้านี้ ที่ว่า "ฉันเข้าใจความจริงทั้งหมด เป็นแค่ว่าฉันไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้" ประโยคนี้เปิดเผยปัญหารากเหง้าซึ่งก็เป็นปัญหาภายในธรรมชาติของผู้คนเช่นกัน หากธรรมชาติของใครคนหนึ่งรังเกียจความจริง พวกเขาจะไม่มีวันนำความจริงไปปฏิบัติ แน่นอนที่สุดว่าพวกที่รังเกียจความจริงจะเก็บงำความอยากอันฟุ้งเฟ้อเอาไว้ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา มีเจตนาของพวกเขาเองปรากฏอยู่เสมอโดยไม่สำคัญว่าพวกเขาทำสิ่งใด ตัวอย่างเช่น บางคนที่ได้ทนทุกข์จากการข่มเหงและไม่สามารถกลับบ้านได้ ย่อมโหยหาดังนี้ว่า "ฉันไม่สามารถไปบ้านได้ตอนนี้ แต่วันหนึ่ง พระเจ้าจะทรงมอบบ้านที่ดีกว่าให้ฉัน พระองค์จะทรงทำให้ฉันไม่ทนทุกข์โดยสูญเปล่า" หรือไม่พวกเขาก็คิดว่า "พระเจ้าจะทรงมอบอาหารที่จะกินให้ฉันไม่สำคัญว่าฉันจะดำรงชีวิตอยู่ที่ไหน พระเจ้าจะไม่ทรงนำทางฉันไปสู่ทางตัน หากพระองค์ได้ทรงทำลงไป พระองค์ก็คงจะได้ทำผิดพลาดไปแล้ว" ผู้คนไม่มีความคิดเหล่านี้อยู่ภายในตัวพวกเขาหรอกหรือ? มีบางคนที่คิดว่า "ฉันสละตัวฉันเองมากมายเหลือเกินเพื่อพระเจ้า ดังนั้น พระองค์จึงไม่ควรทรงวางฉันไว้ในมือของทางการที่ปกครองอยู่ ฉันได้ทอดทิ้งไปมากมายและฉันไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงใจตั้งใจ ดังนั้น การที่พระเจ้าจะทรงอวยพรฉันจึงเป็นการถูกต้องเท่านั้นเอง พวกเราตั้งตารอคอยกันเหลือเกินให้วันของพระเจ้ามาถึง ดังนั้น วันของพระเจ้าจึงควรมาถึงในไม่ช้า และพระองค์ก็ควรทรงทำให้ความปรารถนาของพวกเรามาเป็นจริง" ผู้คนสร้างข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อจากพระเจ้าอยู่ภายในตัวพวกเขาเสมอ และพวกเขาก็คิดว่า พวกเราได้ทำการนี้ ดังนั้น การที่พระเจ้าจะทรงทำเช่นนั้นเช่นนี้จึงเป็นการถูกต้องเท่านั้นเอง พวกเราได้สร้างความสัมฤทธิ์ผลบางอย่าง ดังนั้น พระเจ้าจึงควรทรงมอบบำเหน็จแก่พวกเราบ้าง และให้พระพรหรือสิ่งอื่นแก่พวกเราบ้าง ยังมีผู้คนบางคนด้วยเช่นกันที่ เมื่อพวกเขาเห็นผู้อื่นทิ้งครอบครัวของพวกเขาไปและสละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้าในหนทางแบบผ่อนคลายตามสบาย ก็รู้สึกต่ำต้อยและคิดว่า "ผู้อื่นได้ทิ้งบ้านของพวกเขาไปนานมากแล้ว พวกเขาสามารถเอาชนะการนั้นได้อย่างไร? เหตุใดฉันจึงไม่สามารถเอาชนะการนั้นได้เลย? เหตุใดฉันจึงไม่สามารถมีวันปล่อยมือจากครอบครัวของฉันและลูกหลานของฉันไปได้เลย? เหตุใดพระเจ้าจึงทรงใจดีต่อผู้อื่นเหล่านั้น แต่ไม่กับฉัน? เหตุใดพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่ประทานพระคุณมาให้ฉัน? เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงอยู่กับฉัน?" นี่คือสภาวะใดกัน? ผู้คนช่างไม่สมเหตุสมผลยิ่งนัก พวกเขาไม่นำความจริงไปปฏิบัติ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาพร่ำบ่นร้องทุกข์เกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาไม่มีความพยายามที่มาจากตัวของพวกเขาเองหรือสิ่งใดที่พวกเขาควรสัมฤทธิ์ด้วยตัวเองเลย พวกเขาได้เลิกล้มตัวเลือกทั้งหลายที่พวกเขาควรสร้างด้วยตัวเองและเส้นทางที่พวกเขาควรเดิน พวกเขาเรียกร้องเสมอให้พระเจ้าทรงทำการนี้การนั้น และต้องการให้พระเจ้าทรงใจดีต่อพวกเขาอย่างหูหนวกตาบอด ทรงให้พระคุณแก่พวกเขา ทรงนำพวกเขา และทรงมอบความชื่นชมยินดีให้พวกเขาอย่างหูหนวกตาบอด พวกเขาคิดว่า "ฉันได้ทิ้งบ้านของฉันมา ฉันได้ทอดทิ้งไปมากมายเหลือเกิน ฉันปฏิบัติหน้าที่ของฉัน และฉันได้ทนทุกข์มากมายเหลือเกิน เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงควรทรงให้พระคุณแก่ฉัน ทำให้ฉันไม่คิดถึงบ้าน มอบปณิธานให้ฉันในการที่จะทอดทิ้งครอบครัวของฉัน และทำให้ฉันเข้มแข็งขึ้น เหตุใดฉันจึงอ่อนแอยิ่งนัก? เหตุใดผู้อื่นจึงเข้มแข็งยิ่งนัก? พระเจ้าควรทรงทำให้ฉันเข้มแข็ง" "ผู้คนอื่นสามารถกลับบ้านได้ เหตุใดฉันจึงถูกข่มเหงและไร้ความสามารถที่จะกลับบ้าน? พระเจ้าไม่ทรงแสดงพระคุณต่อฉันเลย" สิ่งที่ผู้คนเหล่านี้พูดช่างไม่สมเหตุสมผลโดยสิ้นเชิง และนับประสาอะไรที่สิ่งนั้นจะมีความจริงอันใด ข้อร้องทุกข์ของผู้คนเกิดขึ้นมาอย่างไรหรือ? สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่ถูกเปิดเผยจากภายในตัวมนุษย์และสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวแทนของธรรมชาติมนุษย์โดยครบถ้วนบริบูรณ์ หากมนุษย์ไม่ขับสิ่งเหล่านี้ภายในตัวเขาออก เช่นนั้นแล้ว ไม่สำคัญว่าวุฒิภาวะของเจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเข้าใจความจริงมากเพียงใด เจ้าจะไม่มีวันมีความแน่ใจอันใดเลยว่า เจ้าจะมีความสามารถที่จะยังคงยืนยงอยู่ได้ จะเป็นไปได้ที่เจ้าจะหมิ่นประมาทพระเจ้าและทรยศพระองค์ และทอดทิ้งหนทางที่แท้จริงได้ในทุกที่และทุกเวลา นี่คือบางสิ่งซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายมาก ตอนนี้พวกเจ้ามองเห็นอย่างชัดเจนเลยใช่หรือไม่? ผู้คนต้องเข้าใจและเชี่ยวชาญสิ่งที่ธรรมชาติของพวกเขาสามารถเปิดเผยได้ทุกเวลา พวกเขาต้องเข้าหาปัญหานี้อย่างมีมโนธรรม บรรดาผู้มีความเข้าใจซึ่งค่อนข้างดีเกี่ยวกับความจริงนั้น บางเวลาก็รู้สึกตัวถึงการนี้เล็กน้อย เมื่อพวกเขาค้นพบปัญหา พวกเขาจึงสามารถทำการทบทวนและการพินิจภายในอันลึกซึ้งได้ อย่างไรก็ตาม บางครั้งพวกเขาก็ไม่ตระหนักรู้ปัญหานั้น ดังนั้น จึงไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาสามารถทำได้เลย เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจึงสามารถเพียงรอให้พระเจ้าทรงทำการเผยแก่พวกเขาหรือทรงเปิดเผยข้อเท็จจริงแก่พวกเขาเท่านั้น บางเวลาผู้คนที่ไม่มีความคิดก็ตระหนักรู้สิ่งเหล่านี้ แต่พวกเขาก็ทำตัวตามสบาย โดยพูดว่า "ผู้คนทั้งหมดก็เป็นอย่างนี้ ดังนั้น การนั้นจึงไม่มีความหมายอะไรเลย พระเจ้าจะทรงยกโทษให้ฉัน พระองค์จะไม่ทรงจดจำ การนี้เป็นปกติ" สิ่งที่ผู้คนควรเลือกและสิ่งที่พวกเขาควรทำนั้น พวกเขาไม่ทำและไม่สัมฤทธิ์เลย พวกเขาล้วนแต่สับสนมึนงง เฉื่อยชาอย่างรุนแรง และพวกเขาไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างมาก ถึงขั้นปล่อยใจไปกับการคิดอันเตลิดเปิดเปิง "หากวันหนึ่งพระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงพวกเราอย่างถึงที่สุด พวกเราก็จะไม่เฉื่อยชาอีกแล้ว เช่นนั้นแล้ว พวกเราย่อมสามารถเดินไปข้างหน้าได้อย่างถูกต้องเหมาะสม พระเจ้าจะไม่ทรงจำเป็นต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับพวกเรามากมายนัก" ตอนนี้เจ้าต้องมองเห็นอย่างชัดเจน เจ้าควรทำการเลือกของเจ้าเองเกี่ยวกับเส้นทางที่เจ้ากำลังจะเดิน ตัวเลือกที่แต่ละบุคคลทำการเลือกนั้นสำคัญยิ่งยวด เจ้าสามารถสืบหาการนั้นได้ แล้วเจ้าเข้มแข็งเพียงใดเล่าเมื่อมาถึงเรื่องของการรู้จักยับยั้งชั่งใจ? เจ้าเข้มแข็งเพียงใดเล่าเมื่อมาถึงเรื่องของการละทิ้งตัวเจ้าเอง? นี่เป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสู่การปฏิบัติความจริงและเป็นองค์ประกอบซึ่งเป็นกุญแจสำคัญ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับเรื่องหนึ่ง หากเป็นสถานการณ์ซึ่งเจ้าตระหนักรู้ถึงวิธีที่จะทำเรื่องนั้นในสถานการณ์นี้โดยคล้อยตามความจริง มีเพียงเมื่อเจ้าชัดเจนเกี่ยวกับว่าเจ้าควรเลือกสิ่งใดและเจ้าควรนำสิ่งใดไปปฏิบัติเท่านั้น เจ้าจึงจะรู้วิธีดำเนินการต่อไป หากเจ้าสามารถสืบหาได้ว่าสิ่งใดถูกต้องและผิดในสภาวะของเจ้าเอง แต่กระนั้นกลับไม่สามารถชัดเจนเกี่ยวกับการนั้นได้โดยครบถ้วนบริบูรณ์ และแค่ดำเนินต่อไปในหนทางอันสับสนมึนงงของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะไม่มีวันสร้างความคืบหน้าอันใดหรือได้รับประสบการณ์กับการพัฒนาฝ่าฟันอันยิ่งใหญ่เลย หากเจ้าไม่จริงจังเกี่ยวกับการเข้าไปสู่ชีวิต เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็แค่กำลังหน่วงเหนี่ยวตัวเจ้าเองอยู่เท่านั้น และการนี้ย่อมสามารถพิสูจน์ได้เพียงว่าเจ้าไม่รักความจริงเท่านั้นเอง

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงด้วยการยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอด

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger