พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การเข้าสู่ชีวิต | บทตัดตอน 377

วันที่ 03 เดือน 10 ปี 2021

ความจริงก็คือชีวิตของพระเจ้าพระองค์เอง ความจริงเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระองค์ แก่นแท้ของพระองค์ และทุกสิ่งทุกอย่างในพระองค์ หากเจ้ากล่าวว่า การมีประสบการณ์เพียงเล็กน้อยหมายถึงการครองความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมสามารถเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างนั้นหรือ? เจ้าอาจมีประสบการณ์หรือความสว่างที่เกี่ยวข้องกับด้านหรือแง่มุมเฉพาะบางอย่างของความจริงหนึ่งอยู่บ้าง แต่เจ้าไม่สามารถใช้ประสบการณ์หรือความสว่างนั้นจัดหาให้กับผู้อื่นได้ตลอดกาล ดังนั้นความสว่างที่เจ้าได้รับจึงไม่ใช่ความจริง มันเป็นแค่จุดเฉพาะหนึ่งที่ผู้คนสามารถไปถึงได้เท่านั้นเอง มันก็แค่เป็นประสบการณ์อันถูกต้องเหมาะสมและความเข้าใจที่ถูกต้องเหมาะสมซึ่งบุคคลหนึ่งควรครอง นั่นคือ ประสบการณ์และความรู้ตามจริงบางอย่างเกี่ยวกับความจริง ความสว่างนี้ ความรู้แจ้ง และความเข้าใจเชิงประสบการณ์ไม่มีวันสามารถใช้แทนความจริงได้ ต่อให้ผู้คนทั้งหมดได้รับประสบการณ์กับความจริงนี้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และนำความเข้าใจเชิงประสบการณ์ทั้งปวงของพวกเขามาลงขันกัน นั่นก็ยังคงจะไม่มีความสามารถที่จะมาแทนที่ความจริงหนึ่งเดียวนั้นได้อยู่ดี ดังที่ได้ถูกกล่าวไว้ในอดีตว่า "เราจึงสรุปการนี้ทั้งหมดด้วยคติพจน์สำหรับพิภพมนุษย์ว่า ท่ามกลางพวกมนุษย์ ไม่มีผู้ใดที่รักเรา" นี่คือถ้อยแถลงหนึ่งของความจริง มันคือแก่นแท้ที่แท้จริงของชีวิต นี่คือสิ่งทั้งหลายซึ่งลุ่มลึกที่สุด นี่คือการแสดงออกของพระเจ้าพระองค์เอง เจ้าสามารถได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้ได้เรื่อยไป และหากเจ้าได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้เป็นเวลาสามปี เจ้าก็จะมีความเข้าใจผิวเผินเกี่ยวกับสิ่งนี้ หากเจ้าได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้เป็นเวลาเจ็ดหรือแปดปี เจ้าก็จะยิ่งได้รับความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งนี้—แต่ความเข้าใจอันใดก็ตามที่เจ้าได้รับจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะใช้แทนถ้อยแถลงหนึ่งเดียวนั้นของความจริงได้ อีกบุคคลหนึ่งอาจจะได้รับความเข้าใจน้อยนิดภายหลังจากที่ได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้เป็นเวลาสองปี แล้วจากนั้นก็ได้รับความเข้าใจที่ลุ่มลึกขึ้นสักเล็กน้อยหลังจากได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้เป็นเวลาสิบปี และแล้วก็ได้รับความเข้าใจคืบหน้าไปบ้างภายหลังจากที่ได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้ชั่วชีวิต—แต่หากเจ้ากับอีกบุคคลหนึ่งผสานความเข้าใจอันใดที่เจ้าทั้งคู่ได้รับมาเข้าด้วยกัน ต่อให้ถึงตอนนั้นแล้ว—ไม่สำคัญว่าเจ้าทั้งคู่ครองความเข้าใจมากเพียงใด ประสบการณ์มากเพียงใด ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกมากมายเพียงใด ความสว่างมากเพียงใด หรือตัวอย่างมากมายเพียงใด—ทั้งหมดนั้นยังคงไม่สามารถใช้แทนถ้อยแถลงหนึ่งเดียวนั้นของความจริงได้อยู่ดี กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ชีวิตของมนุษย์จะเป็นชีวิตของมนุษย์เสมอ และไม่สำคัญว่าความเข้าใจของเจ้ามากเท่าไรที่อาจจะสอดคล้องกับความจริง สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และกับข้อพึงประสงค์ของพระองค์ มันก็จะไม่มีวันที่จะมีความสามารถในการเป็นสิ่งที่ใช้แทนความจริงได้ การกล่าวว่า ผู้คนได้รับความจริงแล้วหมายความว่า พวกเขาครองความเป็นจริงอยู่บ้าง ว่าพวกเขาได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับความจริง ว่าพวกเขาได้บรรลุการเข้าสู่ซึ่งเป็นจริงบางอย่างกับพระวจนะของพระเจ้า ว่าพวกเขาได้มีประสบการณ์ที่เป็นจริงบางอย่างกับพระวจนะของพระเจ้า และว่าพวกเขาอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้องในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา แค่ถ้อยแถลงหนึ่งเดียวจากพระเจ้าก็มากพอแล้วสำหรับบุคคลหนึ่งที่จะได้รับประสบการณ์ไปชั่วทั้งชีวิตหนึ่ง ต่อให้ผู้คนต้องได้รับประสบการณ์กับถ้อยแถลงนี้เป็นเวลาหลายชั่วชีวิตหรือแม้กระทั่งหลายพันปี พวกเขาก็ยังคงจะไม่มีความสามารถที่จะได้รับประสบการณ์กับความจริงเพียงแค่หนึ่งเดียวอย่างทั่วถึงและครบบริบูรณ์ได้ หากผู้คนเพียงได้เข้าใจพระวจนะอันผิวเผินไม่กี่คำ กระนั้นพวกเขาก็ยังกล่าวอ้างว่าได้รับความจริงแล้ว นั่นจะไม่ใช่ความเหลวไหลแบบถึงที่สุดและครบบริบูรณ์หรอกหรือ?

เมื่อผู้คนเข้าใจความจริง และดำรงชีวิตอยู่กับความจริงดั่งเป็นชีวิตของพวกเขา การนี้อ้างอิงถึงชีวิตแบบใดหรือ? นี่อ้างอิงถึงความสามารถของพวกเขาในการที่จะใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานของวิธีที่พวกเขาดำรงชีวิต นั่นหมายถึง พวกเขามีความรู้จริงเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า และมีความเข้าใจจริงแท้ประการหนึ่งเกี่ยวกับความจริง เมื่อผู้คนครองชีวิตใหม่นี้ภายในตัวพวกเขา หนทางที่พวกเขาดำรงชีวิตย่อมถูกก่อตั้งขึ้นบนรากฐานแห่งพระวจนะความจริงของพระเจ้า และพวกเขาก็กำลังดำรงชีวิตอยู่ภายในอาณาจักรแห่งความจริง ชีวิตของผู้คนนั้นสำคัญอยู่ตรงที่การมารู้จักและได้รับประสบการณ์กับความจริง และมีการนี้เป็นรากฐานของชีวิต ไม่เกินเลยไปกว่าวงเขตนั้น นี่เองคือชีวิตที่กำลังถูกอ้างอิงถึงเมื่อพูดถึงการได้รับชีวิตความจริง สำหรับการที่เจ้าดำรงชีวิตด้วยการมีความจริงเป็นดั่งชีวิตเจ้านั้น ไม่ใช่กรณีที่ชีวิตแห่งความจริงอยู่ข้างในตัวเจ้า อีกทั้งยังไม่ใช่กรณีที่ว่า หากเจ้าครองความจริงเป็นดั่งชีวิตของเจ้า เจ้าย่อมกลายเป็นความจริง และชีวิตภายในของเจ้ากลายเป็นชีวิตแห่งความจริง นับประสาอะไรที่จะสามารถพูดได้ว่า เจ้าคือชีวิตความจริง ในท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตของเจ้าก็ยังคงเป็นชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง นั่นก็แค่ว่า มนุษย์คนหนึ่งสามารถดำรงชีวิตไปได้โดยพระวจนะของพระเจ้า ครองความรู้เกี่ยวกับความจริง และเข้าใจความจริงจนถึงระดับเบื้องลึกเบื้องหลัง ความเข้าใจนี้ไม่สามารถถูกพรากไปจากเจ้าได้ เจ้าได้รับประสบการณ์และเข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างครบถ้วน โดยรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ช่างดีงามและล้ำค่า และเจ้าก็มายอมรับสิ่งเหล่านี้เป็นดั่งพื้นฐานของชีวิตเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าดำรงชีวิตอยู่ในการพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงการนั้นได้ กล่าวคือ เช่นนั้นแล้ว นี่เองคือชีวิตของเจ้า นั่นก็คือ ชีวิตของเจ้าบรรจุเพียงสิ่งเหล่านี้เท่านั้น—ความเข้าใจ ประสบการณ์ และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับความจริง—และไม่สำคัญว่าเจ้าทำสิ่งใด เจ้าก็จะใช้สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานของหนทางในการดำรงชีวิตของเจ้า และเจ้าจะไม่ไปเกินกว่าวงเขตนี้หรือผ่านเขตแดนเหล่านี้ไป นี่เองคือจำพวกของชีวิตที่เจ้ามีโดยแน่แท้ วัตถุประสงค์สูงสุดแห่งพระราชกิจของพระเจ้านั้น ก็เพื่อให้ผู้คนมีชีวิตประเภทนี้นี่เอง ไม่สำคัญว่าผู้คนเข้าใจความจริงดีเพียงใด แก่นแท้ของพวกเขาก็ยังคงเป็นแก่นแท้ของมนุษยชาติ และไม่อาจเปรียบเทียบได้กับแก่นแท้ของพระเจ้าแต่อย่างใดเลย เนื่องเพราะประสบการณ์ของพวกเขาเกี่ยวกับความจริงนั้นกำลังดำเนินไป จึงเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะใช้ชีวิตไปตามความจริงโดยครบบริบูรณ์ พวกเขาเพียงสามารถใช้ชีวิตไปตามเศษเสี้ยวอันจำกัดสุดขั้วของความจริงที่สามารถบรรลุได้โดยมนุษย์เท่านั้น เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะสามารถแปรไปเป็นพระเจ้าได้เช่นไรเล่า?…หากเจ้ามีประสบการณ์นิดหน่อยกับพระวจนะของพระเจ้า และกำลังดำรงชีวิตไปตามความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับความจริง เช่นนั้นแล้ว พระวจนะของพระเจ้าย่อมกลายเป็นชีวิตของเจ้า อย่างไรก็ดี เจ้าก็ยังคงไม่สามารถกล่าวได้ว่า ความจริงเป็นชีวิตของเจ้า หรือว่าสิ่งที่เจ้ากำลังแสดงออกนั้นเป็นความจริง หากเช่นนี้คือข้อคิดเห็นของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ผิดเสียแล้ว หากเจ้ามีประสบการณ์กับแง่มุมหนึ่งของความจริงอยู่บ้าง สิ่งนี้สามารถเป็นตัวแทนของความจริงด้วยตัวมันเองได้หรือไม่? มันไม่สามารถเป็นได้โดยสิ้นเชิง เจ้าสามารถอธิบายความจริงได้อย่างทั่วถึงหรือไม่? เจ้าสามารถค้นพบพระอุปนิสัยของพระเจ้า และแก่นแท้ของพระองค์จากความจริงได้หรือไม่? เจ้าไม่สามารถ ทุกคนมีประสบการณ์กับเพียงหนึ่งแง่มุมและวงเขตของความจริงเท่านั้น เจ้าไม่สามารถไปสัมผัสทุกแง่มุมนับหมื่นแสนของความจริงได้โดยการได้รับประสบการณ์กับความจริงภายในวงเขตอันจำกัดของเจ้า ผู้คนสามารถใช้ชีวิตตามความหมายดั้งเดิมของความจริงได้หรือไม่? ประสบการณ์เสี้ยวเล็กๆ ของเจ้านับรวมได้เป็นจำนวนมากเพียงใด? ทรายสักหนึ่งเม็ดบนชายหาด น้ำหยดเดียวเพียงลำพังในมหาสมุทร เพราะฉะนั้น ไม่สำคัญว่า ความรู้นั้นและความรู้สึกเหล่านั้นที่เจ้าได้รับจากประสบการณ์ของเจ้าอาจจะล้ำค่าเพียงใด พวกมันก็ยังไม่สามารถนับเป็นความจริงได้อยู่ดี แหล่งกำเนิดของความจริงและความหมายของความจริงครอบคลุมด้านที่กว้างเป็นอย่างมาก ไม่มีสิ่งใดสามารถย้อนแย้งกับการนั้นได้ ผู้คนบางคนพูดว่า "ความรู้ของฉันเกี่ยวกับประสบการณ์จะไม่มีวันย้อนแย้งใช่หรือไม่?" แน่นอนว่าไม่ใช่ ความเข้าใจที่แท้จริงซึ่งมาจากประสบการณ์ของเจ้าเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าสอดคล้องกับความจริง—ความเข้าใจที่แท้จริงจะสามารถย้อนแย้งได้อย่างไร? ความจริงสามารถเป็นชีวิตของเจ้าได้ในสภาพแวดล้อมใดก็ตาม ความจริงสามารถให้เส้นทางแก่เจ้า และความจริงสามารถเปิดโอกาสให้เจ้ามีชีวิตรอด อย่างไรก็ตาม สิ่งทั้งหลายที่ผู้คนมีและความสว่างที่พวกเขาได้มานั้น เพียงเหมาะสมกับตัวพวกเขาเองหรือผู้อื่นบางคนภายในวงเขตเฉพาะเท่านั้น แต่จะไม่เหมาะสมภายในวงเขตที่ต่างออกไป ไม่สำคัญว่าประสบการณ์ของบุคคลหนึ่งลุ่มลึกเพียงใด ประสบการณ์นั้นก็ยังคงมีขีดจำกัดอยู่มาก และประสบการณ์ของเขาย่อมจะไม่มีวันไปถึงวงเขตของความจริง ความสว่างของบุคคลหนึ่งและความเข้าใจของบุคคลหนึ่งไม่สามารถเปรียบเทียบกับความจริงได้เลย

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

วิดีโอประเภทอื่นๆ

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger