พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1
ตอนที่สอง
เพื่อให้เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระเจ้าพระองค์เอง เจ้าต้องเริ่มต้นเล็กๆ แต่เริ่มต้นเล็กๆ จากที่ใดเล่า? เพื่อเริ่มต้น เราได้คัดเลือกบางบทจากพระคัมภีร์ไว้ให้แล้ว ข่าวสารด้านล่างประกอบด้วยข้อเขียนจากพระคัมภีร์ ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องกับหัวข้อ พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง เราได้เจาะจงค้นหาข้อความที่ตัดตอนมาเหล่านี้เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อช่วยให้พวกเจ้ารู้จัก พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง ด้วยการแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ พวกเราก็จะสามารถเห็นว่าเป็นพระอุปนิสัยชนิดใดที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยโดยผ่านทางพระราชกิจที่ผ่านมาของพระองค์ และด้านใดของแก่นแท้ของพระองค์ที่มนุษย์ไม่รู้จัก บทเหล่านี้อาจเก่า แต่หัวข้อที่เรากำลังสามัคคีธรรมกันนั้นเป็นสิ่งใหม่บางสิ่งที่ผู้คนไม่มีและไม่เคยได้ยิน พวกเจ้าบางคนอาจพบว่ามันเหลือเชื่อ—การนำอาดัมกับเอวาขึ้นมาพูด และการกลับไปที่โนอาห์ ไม่ใช่การเดินย้อนรอยเท้าเดียวกันอีกครั้งหรอกหรือ? ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าจะคิดอะไร บทเหล่านี้เป็นประโยชน์มากในการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหัวข้อนี้ และสามารถทำหน้าที่เป็นตำราการสอนหรือข้อมูลมือแรกสำหรับการสามัคคีธรรมของวันนี้ เมื่อถึงเวลาที่เราเสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมนี้ พวกเจ้าก็จะเข้าใจเจตนารมณ์ของเราที่อยู่เบื้องหลังการเลือกบทเหล่านี้ พวกที่ได้อ่านพระคัมภีร์มาก่อนอาจได้อ่านข้อเขียนเหล่านี้มาบ้างแล้ว แต่อาจไม่เข้าใจข้อเขียนเหล่านี้อย่างแท้จริง ก่อนอื่นพวกเรามาทบทวนข้อเขียนเหล่านี้คร่าวๆ แล้วจากนั้นก็ศึกษาแต่ละข้อเขียนโดยละเอียดในการสามัคคีธรรมของพวกเรา
อาดัมและเอวาเป็นบรรพบุรุษของมวลมนุษย์ หากพวกเราจะต้องพูดถึงตัวละครจากพระคัมภีร์ เช่นนั้นแล้วเราต้องเริ่มจากตัวละครทั้งสองนี้ ถัดไปคือโนอาห์ บรรพบุรุษที่สองของมวลมนุษย์ ตัวละครที่สามคือใคร? (อับราฮัม) พวกเจ้าทั้งหมดรู้เรื่องราวของอับราฮัมหรือไม่? พวกเจ้าบางคนอาจรู้ แต่สำหรับคนอื่นๆ มันอาจไม่ชัดเจนมากนัก ตัวละครที่สี่คือใคร? ใครถูกพูดถึงในเรื่องราวเกี่ยวกับความย่อยยับของเมืองโสโดม? (โลท) แต่โลทไม่ได้ถูกอ้างอิงที่นี่ มันอ้างอิงถึงใคร? (อับราฮัม) สิ่งสำคัญที่พูดถึงในเรื่องราวของอับราฮัมคือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ตรัสไว้ เจ้าเห็นหรือไม่? ตัวละครที่ห้าคือใคร? (โยบ) พระเจ้าไม่ตรัสถึงเรื่องราวของโยบมากมายในระหว่างพระราชกิจช่วงระยะปัจจุบันนี้ของพระองค์หรอกหรือ? ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าใส่ใจเรื่องนี้อย่างมากหรือไม่? หากพวกเจ้าใส่ใจเป็นอย่างมาก พวกเจ้าได้อ่านเรื่องราวของโยบในพระคัมภีร์อย่างถี่ถ้วนแล้วหรือยัง? เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่โยบได้พูด และอะไรคือสิ่งที่เขาได้ทำ? สำหรับพวกเจ้าที่ได้อ่านเรื่องนี้มากที่สุด พวกเจ้าได้อ่านไปแล้วกี่ครั้ง? เจ้าอ่านเรื่องนี้บ่อยหรือไม่? พี่น้องหญิงจากฮ่องกงทั้งหลาย โปรดบอกพวกเรา (เราได้อ่านไปแล้วสองสามครั้งก่อนที่พวกเราได้อยู่ในยุคพระคุณ) เจ้ายังไม่ได้อ่านอีกครั้งตั้งแต่นั้นมาหรือ? นั่นน่าเศร้า เราขอบอกพวกเจ้าว่า ในระหว่างช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจของพระเจ้า พระองค์ได้ตรัสถึงโยบหลายครั้ง ซึ่งเป็นภาพสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ การที่พระองค์ได้ตรัสถึงโยบหลายครั้ง แต่ไม่ได้ทรงกระตุ้นความสนใจของพวกเจ้า เป็นข้อพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเจ้าไม่มีความสนใจแต่อย่างใดที่จะเป็นผู้คนที่ดีและผู้คนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว นี่เป็นเพราะพวกเจ้าพึงพอใจกับการมีแนวคิดคร่าวๆ เกี่ยวกับเรื่องราวของโยบที่พระเจ้าทรงอ้างถึง เจ้าพอใจกับการเข้าใจเรื่องราวนั้นๆ เท่านั้น แต่เจ้าไม่ใส่ใจและไม่พยายามเข้าใจรายละเอียดเกี่ยวกับว่าโยบคือใครและจุดประสงค์เบื้องหลังสาเหตุที่พระเจ้าทรงอ้างอิงถึงโยบในหลายโอกาสเหลือเกิน หากบุคคลเช่นนี้ที่ได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้าไม่ได้ทำให้พวกเจ้าสนใจ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้ากำลังให้ความสนใจต่อสิ่งใดกันแน่? หากพวกเจ้าไม่ใส่ใจหรือพยายามเข้าใจบุคคลสำคัญที่พระเจ้าได้ตรัสถึงเช่นนี้ สิ่งนั้นอาจพูดอะไรเกี่ยวกับท่าทีของพวกเจ้าต่อพระวจนะของพระเจ้า? นั่นจะไม่น่าเสียดายหรอกหรือ? มันจะไม่พิสูจน์ให้เห็นหรือว่าพวกเจ้าส่วนใหญ่ไม่ได้มีส่วนร่วมในสิ่งซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไล่ตามเสาะหาความจริง? หากเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าจะให้ความสนใจที่จำเป็นกับผู้คนที่พระเจ้าทรงเห็นชอบและเรื่องราวของตัวละครที่พระเจ้าได้ตรัสถึง โดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้าสามารถทำได้ดีเทียบเท่าพวกเขา หรือเห็นว่าเรื่องราวของพวกเขาชัดเจนหรือไม่ เจ้าก็จะรีบไปอ่านเกี่ยวกับพวกเขา พยายามที่จะจับใจความพวกเขา ค้นหาวิธีที่จะทำตามตัวอย่างของพวกเขา และทำสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้อย่างเต็มความสามารถของเจ้า นี่คือวิธีที่บางคนที่ถวิลหาความจริงควรจะปฏิบัติตัว แต่ข้อเท็จจริงก็คือพวกเจ้าส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ที่นี่ไม่เคยได้อ่านเรื่องราวของโยบ—และนั่นสื่อความหมายได้มากทีเดียว
พวกเรากลับไปที่หัวข้อที่เราเพิ่งเสวนาไป ในส่วนนี้ของคัมภีร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับยุคธรรมบัญญัติภาคพันธสัญญาเดิม เราได้เลือกที่จะมุ่งเน้นที่เรื่องราวบางเรื่องเกี่ยวกับตัวละครที่เป็นตัวอย่างอันดียิ่งซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ที่ได้อ่านพระคัมภีร์แล้วจะคุ้นเคย ผู้ใดที่อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับตัวละครเหล่านี้จะสามารถรู้สึกได้ว่าพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงทำกับพวกเขา และพระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสกับพวกเขานั้นแจ่มแจ้งและเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกันสำหรับผู้คนในวันนี้ เมื่อเจ้าอ่านเรื่องราวเหล่านี้ อันเป็นบันทึกจากพระคัมภีร์ เจ้าจะสามารถเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่าพระเจ้าได้ทรงดำเนินการพระราชกิจของพระองค์ และได้ทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไรในระหว่างเวลาเหล่านั้นในประวัติศาสตร์ แต่เหตุผลที่เราได้ตัดสินใจที่จะเสวนาบทเหล่านี้ในวันนี้ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าพยายามมุ่งเน้นที่เรื่องราวเหล่านั้นเองหรือตัวละครที่อยู่ในเรื่องราวเหล่านั้น แต่เป็นเพื่อให้เจ้าสามารถซาบซึ้งในกิจการของพระเจ้า และพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ โดยผ่านทางเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้ นี่จะทำให้เจ้าสามารถทำความรู้จักและเข้าใจพระเจ้า เห็นด้านที่แท้จริงของพระองค์ได้ง่ายยิ่งขึ้น จะขับไล่การคาดเดาและมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเกี่ยวกับพระองค์ และช่วยนำทางเจ้าให้ห่างจากความเชื่อที่ถูกรุมเร้าด้วยความคลุมเครือ เว้นเสียแต่ว่าเจ้ามีรากฐานที่แข็งแกร่ง การพยายามทำความเข้าใจกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและทำความรู้จักกับพระเจ้าพระองค์เองบ่อยครั้งสามารถนำไปสู่ความรู้สึกหมดสิ้นหนทาง ความไร้เรี่ยวแรง และความไม่แน่ใจว่าจะเริ่มจากตรงไหนด้วยซ้ำ นี่คือสิ่งที่กระตุ้นให้เราพัฒนาวิธีการและวิธีเข้าหาที่จะสามารถช่วยให้เจ้าเข้าใจพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้น ซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริงยิ่งขึ้น ทำความรู้จักกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระเจ้าพระองค์เอง และปล่อยให้เจ้ารู้สึกถึงการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า และซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ได้อย่างแท้จริง นี่จะไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าทั้งหมดหรอกหรือ? บัดนี้เมื่อพวกเจ้ากลับไปเยือนเรื่องราวเหล่านี้และบางส่วนของคัมภีร์อีกครั้ง เจ้ารู้สึกอะไรบ้างภายในหัวใจของพวกเจ้า? พวกเจ้าคิดว่าส่วนทั้งหลายของคัมภีร์ที่เราได้เลือกออกมานั้นเกินจำเป็นหรือไม่? เราต้องเน้นย้ำอีกครั้งในสิ่งที่เราเพิ่งบอกพวกเจ้า นั่นคือ จุดมุ่งหมายของการให้พวกเจ้าอ่านเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้คือช่วยให้พวกเจ้าเห็นว่าพระเจ้าทรงทำพระราชกิจกับผู้คนอย่างไร และเข้าใจท่าทีของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ดีขึ้น อะไรเล่าจะช่วยให้เจ้าไปถึงความเข้าใจนี้? การเข้าใจพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงทำในอดีต และการเกี่ยวโยงพระราชกิจนั้นกับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกำลังทำในตอนนี้—นี่จะช่วยให้เจ้าซาบซึ้งในแง่มุมมากมายมหาศาลของพระองค์ แง่มุมมากมายมหาศาลเหล่านี้เป็นจริง และต้องเป็นที่รู้จักและซาบซึ้งโดยพวกที่ปรารถนาที่จะทำความรู้จักกับพระเจ้าทั้งหมด
พวกเรามาเริ่มกันด้วยเรื่องราวของอาดัมและเอวา โดยตั้งต้นด้วยข้อความที่ยกมาจากองค์พระคัมภีร์
1. อาดัมและเอวา
1) พระบัญชาของพระเจ้าต่ออาดัม
ปฐมกาล 2:15-17 พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอาศัยอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและดูแลสวน พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงตรัสสั่งมนุษย์นั้นว่า “ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ตามใจชอบ แต่ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่”
พวกเจ้าได้รับรู้อะไรบ้างจากข้อเขียนเหล่านี้? ส่วนนี้ของพระคัมภีร์ทำให้พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร? ทำไมเราจึงได้ตัดสินใจพูดถึงพระบัญชาของพระเจ้าต่ออาดัม? บัดนี้พวกเจ้าแต่ละคนมีพระฉายาของพระเจ้าและอาดัมในจิตใจของพวกเจ้าหรือไม่? พวกเจ้าลองจินตนาการดูว่า หากพวกเจ้าได้เป็นคนที่อยู่ในฉากนั้น ลึกลงไปเจ้าคิดว่าพระเจ้าจะทรงเป็นเหมือนอะไร? การขบคิดเกี่ยวกับการนี้ทำให้พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร? นี่เป็นภาพที่เร้าอารมณ์และอบอุ่นใจภาพหนึ่ง แม้ว่าจะมีเพียงพระเจ้าและมนุษย์อยู่ในภาพ แต่ความสนิทสนมระหว่างพวกเขาเติมเต็มเจ้าด้วยสำนึกรับรู้แห่งความเลื่อมใส กล่าวคือ ความรักท่วมท้นของพระเจ้านั้นได้ถูกประทานแก่มนุษย์อย่างอิสระ และล้อมรอบมนุษย์ มนุษย์นั้นไร้มลทินและบริสุทธิ์ ปราศจากภาระผูกพันและไร้กังวล มีชีวิตบรมสุขภายใต้สายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้าทรงแสดงความห่วงใยต่อมนุษย์ในขณะที่มนุษย์มีชีวิตภายใต้การคุ้มครองปกป้องและพระพรของพระเจ้า ทุกๆ สิ่งที่มนุษย์ทำและพูดนั้นเชื่อมโยงกันอย่างเหนียวแน่นและแยกไม่ออกจากพระเจ้า
นี่อาจเรียกได้ว่าพระบัญชาแรกของพระเจ้าต่อมนุษย์หลังจากทรงสร้างเขา พระบัญชานี้สื่อถึงอะไร? พระบัญชานี้สื่อถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ก็สื่อถึงความวิตกกังวลของพระองค์ต่อมวลมนุษย์อีกด้วย นี่คือพระบัญชาแรกของพระเจ้า และเป็นครั้งแรกที่พระเจ้าทรงแสดงออกถึงความวิตกกังวลต่อมนุษย์อีกด้วย กล่าวคือพระเจ้าได้ทรงรู้สึกถึงความรับผิดชอบต่อมนุษย์ตั้งแต่ชั่วขณะที่พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ อะไรคือความรับผิดชอบของพระองค์? พระองค์ต้องทรงคุ้มครองปกป้องมนุษย์ ดูแลมนุษย์ พระองค์ทรงหวังว่ามนุษย์จะสามารถไว้ใจและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ได้ นี่คือความคาดหวังแรกของพระเจ้าต่อมนุษย์ ด้วยความคาดหวังนี้นี่เองพระเจ้าจึงตรัสดังต่อไปนี้ “ผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ตามใจชอบ แต่ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่” พระวจนะเรียบง่ายเหล่านี้เป็นตัวแทนของน้ำพระทัยของพระเจ้า พระวจนะเหล่านี้ยังเปิดเผยอีกด้วยว่า ในพระทัยของพระองค์ พระเจ้าได้ทรงเริ่มแสดงความห่วงใยต่อมนุษย์แล้ว ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง มีเพียงอาดัมเท่านั้นที่ทรงสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระเจ้า อาดัมเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียวที่มีลมปราณแห่งชีวิตของพระเจ้า เขาสามารถเดินกับพระเจ้าได้ สนทนากับพระเจ้าได้ นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงให้พระบัญชานี้แก่เขา พระเจ้าได้ทรงทำให้พระบัญชาของพระองค์ชัดเจนอย่างยิ่งในสิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้และไม่สามารถทำได้
ในพระวจนะเรียบง่ายไม่กี่คำเหล่านี้ เราเห็นพระทัยของพระเจ้า แต่หัวใจแบบไหนเล่าที่แสดงให้เห็นตัวเอง? ในหัวใจของพระเจ้ามีความรักหรือไม่? มีความห่วงใยหรือไม่? ในข้อเขียนเหล่านี้ ความรักและความห่วงใยของพระเจ้าไม่เพียงสามารถซาบซึ้งได้เท่านั้น แต่ยังรู้สึกสนิทสนมได้อีกด้วย เจ้าจะไม่เห็นด้วยหรอกหรือ? หลังจากได้ยินเราพูดเรื่องนี้ พวกเจ้ายังคงคิดว่าเหล่านี้เป็นเพียงคำพูดเรียบง่ายไม่กี่คำอยู่อีกหรือ? อย่างไรก็ตามคำพูดเหล่านั้นไม่ได้เรียบง่ายนักใช่หรือไม่? พวกเจ้าได้ไหวตัวรับรู้เรื่องนี้มาก่อนหรือไม่? หากพระเจ้าได้ตรัสพระวจนะไม่กี่คำเหล่านี้กับเจ้าด้วยพระองค์เอง เจ้าจะรู้สึกอย่างไรข้างในเล่า? หากเจ้าไม่ได้เป็นบุคคลที่มีมนุษยธรรม หากหัวใจของเจ้าเย็นปานน้ำแข็ง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่รู้สึกอะไรเลย เจ้าจะไม่ซาบซึ้งในความรักของพระเจ้า และเจ้าจะไม่พยายามเข้าใจพระทัยของพระเจ้า แต่ในฐานะบุคคลที่มีมโนธรรมและสำนึกรับรู้ของสภาวะความเป็นมนุษย์ เจ้าจะรู้สึกต่างออกไป เจ้าจะรู้สึกถึงความอบอุ่น เจ้าจะรู้สึกได้รับการเอาใจใส่และความรัก และเจ้าจะรู้สึกถึงความสุข นั่นไม่ถูกต้องหรอกหรือ? เมื่อเจ้ารู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไร? เจ้าจะรู้สึกผูกพันกับพระเจ้าหรือไม่? เจ้าจะรักและเคารพพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจของเจ้าหรือไม่? หัวใจของเจ้าจะเข้าใกล้ชิดกับพระเจ้ายิ่งขึ้นหรือไม่? เจ้าสามารถเห็นได้จากเรื่องนี้ว่าความรักของพระเจ้าต่อมนุษย์นั้นสำคัญเพียงใด แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งยวดกว่านั้นอีกคือความซาบซึ้งและการจับใจความของมนุษย์ต่อความรักของพระเจ้า อันที่จริงพระเจ้าไม่ได้ตรัสสิ่งที่คล้ายกันมากมายในระหว่างพระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระองค์หรอกหรือ? วันนี้มีผู้คนที่ซาบซึ้งในพระทัยของพระเจ้าหรือไม่? พวกเจ้าสามารถจับความเข้าใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าที่เราเพิ่งพูดถึงได้หรือไม่? พวกเจ้าไม่สามารถซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริงได้ทั้งๆ ที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้และเป็นจริงเช่นนี้ นั่นคือเหตุผลที่เราบอกว่าพวกเจ้าไม่มีความรู้และความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า นี่ไม่จริงหรอกหรือ? แต่พวกเราปล่อยเรื่องนี้ไว้อย่างนั้นก่อนสำหรับตอนนี้
2) พระเจ้าทรงสร้างเอวา
ปฐมกาล 2:18-20 พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสว่า “การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้น” พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงปั้นสัตว์ทุกชนิดในท้องทุ่ง และนกทุกชนิดในท้องฟ้าจากดิน แล้วทรงนำมายังชายนั้น เพื่อดูว่า เขาจะเรียกชื่อมันว่าอะไร ชายนั้นตั้งชื่อสัตว์ทุกชนิดที่มีชีวิตว่าอย่างไร สัตว์นั้นก็มีชื่ออย่างนั้น ชายนั้นจึงตั้งชื่อสัตว์ใช้งานทุกชนิด และนกในอากาศและสัตว์ป่าทุกชนิด แต่ชายนั้นยังไม่พบคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขา
ปฐมกาล 2:22-23 ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น ชายนั้นจึงว่า “นี่แหละ กระดูกจากกระดูกของเรา เนื้อจากเนื้อของเรา จะเรียกคนนี้ว่าหญิง เพราะคนนี้ออกมาจากชาย”
มีบรรทัดสำคัญหนึ่งในส่วนนี้ของคัมภีร์ ความว่า “ชายนั้นตั้งชื่อสัตว์ทุกชนิดที่มีชีวิตว่าอย่างไร สัตว์นั้นก็มีชื่ออย่างนั้น” ดังนั้น ใครเล่าได้ให้ชื่อแก่สัตว์ทั้งหมดที่มีชีวิต? คืออาดัมนั่นเอง ไม่ใช่พระเจ้า บรรทัดนี้บอกข้อเท็จจริงข้อหนึ่งแก่มนุษยชาติ นั่นคือ พระเจ้าได้ทรงให้สติปัญญาแก่มนุษย์เมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างเขา กล่าวคือสติปัญญาของมนุษย์มาจากพระเจ้า นี่คือความแน่นอน แต่เหตุใดเล่า? หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงสร้างอาดัม อาดัมได้ไปโรงเรียนหรือไม่? เขาได้รู้วิธีอ่านหรือไม่? หลังจากพระเจ้าได้ทรงสร้างสัตว์ที่มีชีวิตมากมายหลากหลาย อาดัมได้จำสัตว์ทรงสร้างเหล่านี้ได้ทั้งหมดหรือไม่? พระเจ้าได้ตรัสบอกเขาหรือไม่ว่าชื่อของสัตว์เหล่านั้นคืออะไรกันบ้าง? แน่นอนว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้เขารู้วิธีคิดหาชื่อของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ นั่นคือความจริง! เช่นนั้นแล้วอาดัมได้รู้วิธีให้ชื่อกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ และชื่อประเภทใดที่ให้กับพวกมันหรือไม่? นี่เกี่ยวโยงกับคำถามที่เกี่ยวกับว่าพระเจ้าได้ทรงเพิ่มอะไรให้แก่อาดัมเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างเขา ข้อเท็จจริงทั้งหลายพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ได้ทรงเพิ่มพระปรีชาญาณของพระองค์ให้แก่เขา นี่เป็นประเด็นปัญหาสำคัญ ดังนั้นจงตั้งใจฟัง ยังมีประเด็นปัญหาสำคัญอีกประเด็นปัญหาหนึ่งที่พวกเจ้าควรเข้าใจอีกด้วย นั่นคือ หลังจากอาดัมได้ให้ชื่อกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ชื่อเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นถูกบันทึกในประมวลคำศัพท์ของพระเจ้า เหตุใดเราจึงพูดถึงการนี้? เพราะการนี้เกี่ยวข้องกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าเช่นกัน และนี่คือประเด็นปัญหาที่เราต้องขยายความเพิ่มเติม
พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ ได้ทรงให้ลมปราณแห่งชีวิตแก่เขา และยังได้ทรงให้พระปรีชาญาณของพระองค์ พระปรีชาสามารถของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นบางส่วนแก่เขาอีกด้วย หลังจากพระเจ้าได้ทรงให้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่มนุษย์ มนุษย์ก็สามารถทำบางสิ่งได้โดยอิสระ และคิดด้วยตัวเองได้ หากสิ่งที่มนุษย์คิดขึ้นและทำเป็นสิ่งที่ดีในสายพระเนตรของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็ทรงยอมรับและไม่ทรงก้าวก่าย หากสิ่งที่มนุษย์ทำนั้นถูกต้อง พระเจ้าก็จะทรงปล่อยให้คงอยู่ ดังนั้นวลีที่ว่า “ชายนั้นตั้งชื่อสัตว์ทุกชนิดที่มีชีวิตว่าอย่างไร สัตว์นั้นก็มีชื่ออย่างนั้น” บ่งบอกอะไร? วลีนี้บ่งบอกว่าพระเจ้าไม่ทรงเห็นสมควรที่จะเปลี่ยนแปลงชื่ออันใดที่ให้กับสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิตเหล่านั้น ชื่อใดก็ตามที่อาดัมเรียกสิ่งมีชีวิต พระเจ้าจะตรัสว่า “เป็นตามนั้น” เพื่อยืนยันชื่อของสิ่งมีชีวิตนั้น พระเจ้าได้ทรงแสดงข้อคิดเห็นใดในเรื่องนี้หรือไม่? ไม่ พระองค์ไม่ได้ทรงทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเจ้าได้รับรู้อะไรบ้างจากการนี้? พระเจ้าได้ทรงให้สติปัญญาแก่มนุษย์ และมนุษย์ได้ใช้สติปัญญาที่พระเจ้าได้ทรงให้เพื่อทำสิ่งทั้งหลาย หากสิ่งที่มนุษย์ทำนั้นเป็นด้านบวกในสายพระเนตรของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงยืนยัน รับรอง และยอมรับโดยปราศจากการพิพากษาหรือการวิจารณ์อันใด นี่คือบางสิ่งที่ไม่มีบุคคล หรือวิญญาณชั่วใด หรือซาตานสามารถทำได้ พวกเจ้าเห็นการเปิดเผยถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าในที่นี้หรือไม่? มนุษย์ บุคคลที่เสื่อมทราม หรือซาตานจะอนุญาตให้ผู้อื่นใดทำบางสิ่งในนามของพวกเขา ใต้จมูกของพวกเขาเลยหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน! พวกเขาจะสู้รบเพื่อแย่งชิงตำแหน่งนี้กับบุคคลอื่นหรือกองกำลังอื่นซึ่งแตกต่างจากพวกเขาหรือไม่? แน่นอนพวกเขาจะสู้! หากเป็นบุคคลที่เสื่อมทรามหรือซาตานซึ่งได้อยู่กับอาดัม ณ เวลานั้น พวกเขาคงจะได้ปฏิเสธสิ่งที่อาดัมกำลังทำไปแล้วอย่างแน่นอน เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขามีความสามารถที่จะคิดได้โดยอิสระ และมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวพวกเขาเอง พวกเขาก็คงจะได้ปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่อาดัมได้ทำแล้วอย่างเบ็ดเสร็จว่า “เจ้าต้องการเรียกมันว่าเช่นนี้หรือ? เอาละ ข้าจะไม่เรียกมันด้วยชื่อนี้ ข้าจะเรียกมันด้วยชื่อนั้น เจ้าได้เรียกมันว่าทอม แต่ข้าจะเรียกมันว่าแฮร์รี่ ข้าต้องแสดงให้เห็นว่าข้าฉลาดแค่ไหน” นี่เป็นธรรมชาติแบบใดกัน? ไม่โอหังอย่างดิบเถื่อนหรอกหรือ? แล้วพระเจ้าเล่า? พระองค์ทรงมีพระอุปนิสัยเช่นนี้หรือไม่? พระเจ้าทรงมีข้อขัดข้องที่ไม่ธรรมดาอันใดกับสิ่งที่อาดัมกำลังทำอยู่หรือไม่? คำตอบคือไม่อย่างไม่ต้องสงสัย! ในพระอุปนิสัยที่พระเจ้าทรงเปิดเผย ไม่มีวี่แววแม้แต่น้อยของความชอบโต้เถียง ความโอหัง หรือความคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ ถึงตรงนี้สิ่งเหล่านั้นชัดเจน นี่อาจดูเหมือนเป็นประเด็นปัญหาย่อย แต่หากเจ้าไม่เข้าใจแก่นแท้ของพระเจ้า หากหัวใจของเจ้าไม่พยายามคิดให้ออกว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติพระองค์อย่างไร และอะไรคือท่าทีของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่รู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า หรือเห็นการแสดงออกและการเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระเจ้า ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ? พวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่กับสิ่งที่เราเพิ่งอธิบายแก่เจ้า? ในการตอบสนองต่อการกระทำของอาดัม พระเจ้าไม่ได้ทรงประกาศอย่างยิ่งใหญ่ว่า “เจ้าได้ทำดีแล้ว เจ้าได้ทำถูกต้องแล้ว และเราก็เห็นชอบ!” อย่างไรก็ตาม ในพระทัยของพระองค์ พระเจ้าได้ทรงอนุมัติ ซาบซึ้ง และปรบมือให้สิ่งที่อาดัมได้ทำ นี่เป็นสิ่งแรกนับตั้งแต่การทรงสร้างที่มนุษย์ได้ทำเพื่อพระเจ้าตามคำชี้นำของพระองค์ เป็นบางสิ่งที่มนุษย์ได้ทำแทนพระเจ้าและในพระนามของพระเจ้า ในสายพระเนตรของพระเจ้า สิ่งนี้ก่อเกิดจากสติปัญญาที่พระองค์ประทานแก่มนุษย์ พระเจ้าได้ทรงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่เป็นด้านบวก สิ่งที่อาดัมได้ทำ ณ เวลานั้นเป็นการสำแดงถึงพระปรีชาญาณของพระเจ้าในมนุษย์เป็นครั้งแรก เป็นการสำแดงชั้นดีจากทัศนคติของพระเจ้า สิ่งที่เราต้องการบอกพวกเจ้าตรงนี้คือว่าจุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการทรงแบ่งบางส่วนของสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และพระปรีชาญาณของพระองค์ให้กับมนุษย์ก็คือเพื่อให้มวลมนุษย์สามารถเป็นสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตที่สำแดงพระองค์ การที่สิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตเช่นนี้ปฏิบัติตนในพระนามของพระองค์นั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงถวิลหาที่จะเห็นมานานแล้วอย่างแน่นอน
3) พระเจ้าทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมและเอวา
ปฐมกาล 3:20-21 อาดัมเรียกภรรยาของเขาว่า “เอวา” เพราะนางเป็นมารดาของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมและภรรยาของเขาสวมปกปิดกาย
พวกเรามาดูที่บทตอนที่สามนี้ ซึ่งระบุว่ามีความหมายเบื้องหลังชื่อที่อาดัมให้แก่เอวาจริงๆ นี่แสดงว่าหลังจากถูกสร้างขึ้น อาดัมได้มีความคิดของตัวเองและเข้าใจสิ่งต่างๆ มากมาย แต่สำหรับตอนนี้พวกเราจะไม่ศึกษาหรือสำรวจว่าเขาเข้าใจอะไรหรือเขาเข้าใจมากเพียงใด เพราะนั่นไม่ใช่เป้าหมายหลักของเราในการเสวนาบทตอนที่สาม ดังนั้นประเด็นปัญหาหลักที่เราต้องการเน้นคืออะไร? พวกเรามาดูที่ประโยคที่ว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมและภรรยาของเขาสวมปกปิดกาย” หากเราไม่เสวนาประโยคนี้ของคัมภีร์ในสามัคคีธรรมของเราวันนี้ พวกเจ้าอาจไม่มีวันตระหนักถึงความหมายโดยนัยที่ลึกกว่าของพระวจนะเหล่านี้ ก่อนอื่นเราขอให้เบาะแสบางอย่าง หากพวกเจ้าจะทำ ลองจินตนาการถึงสวนเอเดน ที่มีอาดัมและเอวาอาศัยอยู่ในนั้น พระเจ้าเสด็จไปเยี่ยมพวกเขา แต่พวกเขาซ่อนตัวเพราะพวกเขาเปลือยอยู่ พระเจ้าไม่ทรงสามารถมองเห็นพวกเขา และหลังจากพระองค์ทรงร้องเรียกพวกเขา พวกเขาก็พูดว่า “เราไม่กล้าพบพระองค์เพราะร่างกายของพวกเราเปลือยเปล่า” พวกเขาไม่กล้าพบพระเจ้าเพราะพวกเขาเปลือยอยู่ ดังนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทำอะไรเพื่อพวกเขา? ข้อความเดิมพูดว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมและภรรยาของเขาสวมปกปิดกาย” จากข้อความนี้ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงใช้อะไรทำเสื้อผ้าของพวกเขา? พระเจ้าได้ทรงใช้หนังสัตว์เพื่อทำเสื้อผ้าของพวกเขา กล่าวคือพระเจ้าได้ทรงทำเสื้อขนสัตว์ให้มนุษย์สวมใส่เป็นเสื้อผ้า เหล่านี้เป็นเสื้อผ้าชิ้นแรกๆ ที่พระเจ้าได้ทรงทำให้มนุษย์ เสื้อขนสัตว์เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยตามมาตรฐานของวันนี้ และไม่ใช่บางสิ่งที่ทุกคนสามารถมีเงินพอหาใส่ได้ หากใครบางคนถามเจ้าว่า อะไรคือเสื้อผ้าชิ้นแรกที่บรรพบุรุษของเราได้สวมใส่? เจ้าสามารถตอบได้ว่า เป็นเสื้อขนสัตว์ ใครได้ทำเสื้อขนสัตว์นี้? เจ้าก็สามารถโต้ตอบได้ว่า พระเจ้าได้ทรงทำ! นั่นคือประเด็นปัญหาหลักตรงนี้ กล่าวคือ เสื้อผ้านี้ทำขึ้นโดยพระเจ้า นั่นไม่ใช่บางสิ่งที่มีค่าคู่ควรต่อการเสวนาหรอกหรือ? หลังจากได้ฟังคำบรรยายของเรา มีภาพผุดขึ้นในจิตใจของเจ้าหรือไม่? อย่างน้อยเจ้าควรมีเค้าโครงคร่าวๆ ประเด็นปัญหาของการบอกเจ้าเรื่องนี้ในวันนี้ไม่ใช่เพื่อให้พวกเจ้ารู้ว่าเสื้อผ้าชิ้นแรกของมนุษย์คืออะไร เช่นนั้นแล้วอะไรคือประเด็นปัญหา? ประเด็นปัญหาไม่ใช่เสื้อขนสัตว์ แต่เป็นวิธีที่ผู้คนได้มารู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงมี และสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ดังที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำตรงนี้
“พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมและภรรยาของเขาสวมปกปิดกาย” ในฉากนี้ เราเห็นพระเจ้าทรงสวมบทบาทประเภทใดเมื่อพระองค์ทรงอยู่กับอาดัมและเอวา? พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เองด้วยวิธีใดเล่า ในโลกนี้ที่มีมนุษย์เพียงสองคน? พระองค์ทรงสำแดงพระองค์เองในบทบาทของพระเจ้าหรือไม่? พี่น้องชายหญิงจากฮ่องกง โปรดตอบ (ในบทบาทของผู้ปกครองคนหนึ่ง) พี่น้องชายหญิงจากเกาหลีใต้ พวกเจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงปรากฏเป็นบทบาทประเภทใด? (หัวหน้าครอบครัว) พี่น้องชายหญิงจากไต้หวัน เจ้าคิดว่าอะไร? (บทบาทของใครบางคนในครอบครัวของอาดัมและเอวา บทบาทของสมาชิกครอบครัว) พวกเจ้าบางคนคิดว่าพระเจ้าทรงปรากฏในฐานะสมาชิกครอบครัวของอาดัมและเอวา ในขณะที่บางคนพูดว่าพระเจ้าทรงปรากฏในฐานะหัวหน้าครอบครัว และคนอื่นๆ พูดว่าผู้ปกครอง ทั้งหมดนี้เหมาะสมอย่างยิ่ง แต่เจ้าเห็นสิ่งที่เรากำลังจะหมายถึงหรือไม่? พระเจ้าได้ทรงสร้างผู้คนสองคนนี้และปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะพระสหายของพระองค์ ในฐานะครอบครัวเดียวของพวกเขา พระเจ้าทรงดูแลชีวิตของพวกเขาและเอาใจใส่ความต้องการด้านอาหาร เสื้อผ้าและที่พักอาศัยของพวกเขา ตรงนี้พระเจ้าทรงปรากฏเป็นผู้ปกครองของอาดัมและเอวา ในขณะที่พระเจ้าทรงทำสิ่งนี้ มนุษย์ไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงสูงส่งเพียงใด เขาไม่เห็นพระอำนาจสูงสุดของพระเจ้า ความล้ำลึกของพระองค์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เห็นพระพิโรธหรือพระบารมีของพระองค์ ทั้งหมดที่เขาเห็นคือความถ่อมพระทัยของพระเจ้า ความเสน่หาของพระองค์ ความห่วงใยของพระองค์ต่อมนุษย์ และความรับผิดชอบและความใส่พระทัยของพระองค์ต่อเขา ท่าทีและวิธีที่พระเจ้าได้ทรงใช้ปฏิบัติต่ออาดัมและเอวานั้นคล้ายกับวิธีที่บิดามารดาแสดงความห่วงใยต่อลูกๆ ของพวกเขา ก็เหมือนกับวิธีที่บิดามารดารัก ดูแล และเอาใจใส่ลูกชายและลูกสาวของตัวเองอีกด้วย—คือเป็นจริง มองเห็นได้ และจับต้องได้ แทนที่จะทรงยกพระองค์เองขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงและทรงมหิทธิฤทธิ์ พระเจ้าได้ทรงใช้หนังสัตว์เพื่อทำเสื้อผ้าให้กับมนุษย์ด้วยพระองค์เอง มันไม่สำคัญว่าเสื้อขนสัตว์นี้ได้ถูกใช้เพื่อปกปิดความกระดากอายของพวกเขา หรือเพื่อป้องกันพวกเขาจากความหนาวเย็น สิ่งที่สำคัญคือว่าเสื้อผ้าสำหรับปกปิดร่างกายของมนุษย์นี้ถูกทำขึ้นโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง แทนที่จะเพียงแค่ทรงคิดให้เสื้อผ้าเกิดขึ้นมาเอง หรือทรงใช้วิธีการอัศจรรย์อื่นๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นที่ผู้คนอาจจินตนาการว่าพระเจ้าจะทรงทำ แต่พระเจ้าได้ทรงทำบางสิ่งอย่างถูกต้องตามเหตุผลที่มนุษย์คงจะคิดว่าพระเจ้าจะไม่ทรงทำและไม่ทรงควรทำ นี่อาจดูเหมือนเป็นเรื่องไม่สำคัญ—ผู้คนบางคนอาจไม่แม้แต่จะคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะพูดถึง—แต่มันให้โอกาสผู้ติดตามคนใดของพระเจ้าที่ได้ถูกรุมเร้าด้วยมโนคติที่คลุมเครือเกี่ยวกับพระองค์ได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกถึงความจริงแท้และความน่ารักน่าชื่นชมของพระองค์ และเห็นความสัตย์ซื่อและความถ่อมพระทัยของพระองค์ มันทำให้ผู้คนที่โอหังจนแทบกลั้นไม่อยู่ซึ่งคิดว่าพวกเขาสูงส่งและทรงพลัง ก้มหัวที่อวดดีของพวกเขาด้วยความอับอาย ต่อหน้าความจริงแท้และความถ่อมพระทัยของพระเจ้า ในที่นี้ ความจริงแท้และความถ่อมพระทัยของพระเจ้ายิ่งทำให้ผู้คนสามารถเห็นว่าพระองค์ทรงน่ารักน่าชื่นชอบเพียงใด ในทางตรงกันข้าม พระเจ้า “ผู้ทรงใหญ่โต” พระเจ้า “ผู้ทรงน่ารักน่าชื่นชอบ” และ พระเจ้า “ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด” ที่ผู้คนยึดถือไว้ในหัวใจของพวกเขา ได้กลายเป็นไม่สำคัญและน่าเกลียด และแตกละเอียดเมื่อถูกแตะเพียงเบาๆ เมื่อเจ้าเห็นข้อเขียนนี้และได้ยินเรื่องราวนี้ เจ้าดูถูกพระเจ้าเพราะพระองค์ได้ทรงทำสิ่งเช่นนี้หรือไม่? ผู้คนบางคนอาจทำเช่นนั้น แต่คนอื่นๆ จะมีปฏิกิริยาที่ตรงกันข้าม พวกเขาจะคิดว่าพระเจ้านั้นทรงเที่ยงแท้และทรงน่ารักน่าชื่นชอบ และแน่นอนว่าเป็นความเที่ยงแท้และความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้านี่เองที่เร้าอารมณ์พวกเขา ยิ่งพวกเขาเห็นด้านที่แท้จริงของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งสามารถซาบซึ้งในการมีอยู่จริงของความรักของพระเจ้า ความสำคัญของพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา และวิธีที่พระองค์ทรงยืนเคียงข้างพวกเขาทุกชั่วขณะมากขึ้นเท่านั้น
บัดนี้ พวกเรามาเชื่อมโยงการเสวนาของพวกเรากลับมายังปัจจุบัน หากพระเจ้าทรงสามารถทำสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้เพื่อผู้คนที่พระองค์ได้ทรงสร้างเมื่อปฐมกาล แม้กระทั่งสิ่งที่ผู้คนคงจะไม่กล้านึกถึงหรือคาดหวัง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงสามารถทำสิ่งเหล่านี้เพื่อผู้คนในวันนี้ได้หรือไม่? บางคนพูดว่า “ได้!” เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะแก่นแท้ของพระเจ้าไม่ได้ทรงแสร้งทำ และความน่ารักน่าชื่นชมของพระองค์ก็ไม่ได้แสร้งทำ แก่นแท้ของพระเจ้าทรงดำรงอยู่อย่างแท้จริงและไม่ได้เป็นบางสิ่งที่ผู้อื่นเพิ่มเติมเข้ามา และไม่ใช่บางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตามเวลา สถานที่ และยุคสมัยที่แตกต่างกันอย่างแน่นอน ความเที่ยงแท้และความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าสามารถนำออกมาได้อย่างแท้จริงโดยการทำบางสิ่งที่ผู้คนคิดว่าไร้ความหมายและไม่มีนัยสำคัญเท่านั้น—บางสิ่งที่เล็กน้อยเสียจนผู้คนคงจะไม่คิดว่าพระองค์จะทรงทำ พระเจ้าไม่ได้ทรงเสแสร้ง ไม่มีการพูดเกินจริง การปลอมแปลง ความเย่อหยิ่ง หรือความโอหังในพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์ พระองค์ไม่มีวันทรงอวดตัว แต่ทรงรัก แสดงความห่วงใย ดูแล และนำทางมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง ด้วยความสัตย์ซื่อและความจริงใจแทน ไม่สำคัญว่าผู้คนจะซาบซึ้ง รู้สึก หรือเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำน้อยเพียงใด พระองค์ก็ทรงกำลังทำอยู่อย่างแน่นอน การรู้ว่าพระเจ้าทรงมีแก่นแท้เช่นนี้จะมีผลกระทบต่อความรักของผู้คนต่อพระองค์หรือไม่? จะมีอิทธิพลต่อความยำเกรงพระเจ้าของพวกเขาหรือไม่? เราหวังว่าเมื่อเจ้าเข้าใจด้านที่แท้จริงของพระเจ้า เจ้าจะเข้าใกล้ชิดกับพระองค์มากยิ่งขึ้น และสามารถซาบซึ้งอย่างแท้จริงมากขึ้นในความรักและความใส่พระทัยของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ ตลอดจนสามารถมอบหัวใจของเจ้าให้กับพระเจ้าและได้รับการปลดปล่อยจากความคลางแคลงใจและความสงสัยเกี่ยวกับพระองค์ พระเจ้าทรงกำลังทำทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเงียบๆ เพื่อมนุษย์ ทำอย่างเงียบๆ โดยผ่านทางความจริงใจ ความสัตย์ซื่อ และความรักของพระองค์ แต่พระองค์ไม่เคยได้ทรงมีความหวาดหวั่นหรือความเสียใจอันใดกับสิ่งอันใดที่พระองค์ทรงทำ และพระองค์ไม่เคยทรงต้องการให้ผู้ใดตอบแทนพระองค์ในทางใดทางหนึ่ง หรือทรงมีเจตนารมณ์ที่จะได้รับสิ่งใดจากมวลมนุษย์แต่อย่างใด จุดประสงค์เดียวของทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงทำมาเสมอก็เพื่อที่พระองค์จะทรงสามารถรับความเชื่อและความรักที่แท้จริงของมวลมนุษย์ และด้วยประโยคนั้น เราจะจบหัวข้อแรกตรงนี้
การเสวนาเหล่านี้ได้ช่วยพวกเจ้าหรือไม่? การเสวนาเหล่านี้เป็นประโยชน์มากเพียงใด? (พวกเรามีความเข้าใจและความรู้เรื่องความรักของพระเจ้ามากขึ้น) (วิธีการสามัคคีธรรมนี้สามารถช่วยเราในอนาคตให้ซาบซึ้งกับพระวจนะของพระเจ้าได้ดีขึ้น เพื่อจับใจความพระอารมณ์ที่พระองค์ได้ทรงมี และความหมายเบื้องหลังสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ได้ตรัสเมื่อพระองค์ได้ตรัสพระวจนะเหล่านั้น และเพื่อสำนึกรับรู้สิ่งที่พระองค์ได้ทรงรู้สึก ณ เวลานั้น) พวกเจ้าคนใดบ้างที่ตระหนักรู้อย่างกระตือรือร้นยิ่งขึ้นถึงการทรงดำรงอยู่จริงของพระเจ้าหลังจากได้อ่านพระวจนะเหล่านี้? เจ้ารู้สึกว่าการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าไม่กลวงหรือคลุมเครืออีกต่อไปหรือไม่? ทันทีที่เจ้ามีความรู้สึกนี้ เจ้าก็สามารถสำนึกรับรู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเจ้านั่นเองหรือไม่? บางทีความรู้สึกยังไม่ชัดเจนในขณะนี้ หรือเจ้าอาจยังไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้ แต่สักวันหนึ่งเมื่อเจ้ามีความซาบซึ้งที่ลึกล้ำและความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าอย่างแท้จริงในหัวใจของพวกเจ้า เจ้าก็จะสำนึกรับรู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ข้างเจ้านั่นเอง—เจ้าเพียงไม่เคยได้ยอมรับพระเจ้าเข้าสู่หัวใจของเจ้าอย่างแท้จริง และนั่นคือความจริง!
พวกเจ้าคิดอะไรเกี่ยวกับวิธีเข้าหาสามัคคีธรรมวิธีนี้? พวกเจ้าสามารถตามทันได้หรือไม่? พวกเจ้าคิดว่าสามัคคีธรรมแบบนี้เกี่ยวกับหัวข้อแห่งพระราชกิจของพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นหนักมากหรือไม่? พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร? (ดีมาก ตื่นเต้น) อะไรได้ทำให้เจ้ารู้สึกดี? ทำไมเจ้าจึงได้ตื่นเต้น? (มันเหมือนกับการได้กลับไปที่สวนเอเดน กลับไปอยู่เคียงข้างพระเจ้า) จริงๆ แล้ว “พระอุปนิสัยของพระเจ้า” เป็นหัวข้อที่ไม่ค่อยคุ้นเคยนักสำหรับผู้คนเพราะสิ่งที่พวกเจ้าจินตนาการตามปกติ และสิ่งที่พวกเจ้าอ่านในหนังสือหรือได้ยินในสามัคคีธรรม มีแนวโน้มที่จะทำให้เจ้ารู้สึกค่อนข้างเหมือนคนตาบอดที่กำลังสัมผัสตัวช้าง—เจ้าเพียงกำลังลูบคลำด้วยมือของเจ้า แต่จริงๆ แล้วเจ้าไม่สามารถนึกภาพสิ่งใดได้เลย การคลำหาไปรอบๆ อย่างมืดบอดไม่สามารถทำให้เจ้ามีความเข้าใจแม้จะหยาบๆ เกี่ยวกับพระเจ้าได้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงมโนทัศน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับพระองค์ เป็นเพียงการกระตุ้นจินตนาการของเจ้าเพิ่มเติมเท่านั้น ป้องกันไม่ให้เจ้านิยามอย่างแม่นยำถึงสิ่งที่พระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าเป็น และความไม่แน่นอนทั้งหลายที่ก่อเกิดจากจินตนาการของเจ้าจะทำให้หัวใจของเจ้าเต็มไปด้วยความสงสัยเสมอไป เมื่อเจ้าไม่สามารถแน่ใจเกี่ยวกับบางสิ่ง แต่ยังคงพยายามเข้าใจสิ่งนั้น ก็จะมีความไม่ลงรอยกันและความขัดแย้งในหัวใจของเจ้าเสมอ และแม้กระทั่งสำนึกรับรู้แห่งการรบกวนใจ ทิ้งให้เจ้าเสียศูนย์และสับสน การต้องการแสวงหาพระเจ้า รู้จักพระเจ้า และเห็นพระองค์อย่างชัดเจน แต่ไม่เคยดูเหมือนจะสามารถพบคำตอบได้ไม่ใช่สิ่งที่สร้างความเจ็บปวดใจหรอกหรือ? แน่นอนพระวจนะเหล่านี้เพียงแค่มีเป้าหมายไปยังพวกที่อยากพยายามเคารพและทำให้พระเจ้าทรงพึงพอพระทัยอย่างไม่ยำเกรงเท่านั้น สำหรับผู้คนที่ไม่ให้ความสนใจอันใดกับสิ่งต่างๆ เช่นนี้ จริงๆ แล้ว นี่ไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่พวกเขาหวังจะได้มากที่สุดก็คือว่าความเป็นจริงและการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าเป็นเพียงตำนานหรือความเพ้อฝัน เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาอยากทำได้ เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดได้ เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถประกอบการกระทำชั่วได้โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับการลงโทษหรือแบกรับความรับผิดชอบอันใด และเพื่อที่แม้แต่สิ่งที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับผู้ทำความชั่วก็ไม่ถูกนำมาใช้กับพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ไม่เต็มใจที่จะจับใจความพระอุปนิสัยของพระเจ้า พวกเขาเบื่อหน่ายอย่างยิ่งกับการพยายามรู้จักพระเจ้า และทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพระองค์ พวกเขาจะอยากให้พระเจ้าไม่ทรงมีอยู่จริงมากกว่า ผู้คนเหล่านี้ต่อต้านพระเจ้า และพวกเขาอยู่ท่ามกลางพวกที่จะถูกขับออกไป
Scripture quotations are from The Holy Bible-Thai Standard Version, copyright © 2014 by Thailand Bible Society. Used by permission. All rights reserved.
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ