ในการเชื่อในพระเจ้า การได้รับความจริงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด (ตอนที่สอง)
ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องมองสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้าและรับมือสิ่งเหล่านั้นตามมุมมองของความจริง ปัญหาต่างๆ ง่ายต่อการมองเห็นในหนทางนี้ และด้วยการมองสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะสามารถมองทะลุถึงแก่นแท้ของสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย บางคนมองสิ่งต่างๆ ตามสิ่งที่ตนเรียนรู้มาอยู่เสมอ พวกเขาศึกษาและวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ด้วยสมองของตนหรือมองและพิจารณาสิ่งต่างๆ ด้วยการจับจ้องทางเนื้อหนังของตนเสมอ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถมองทะลุแก่นแท้ของปัญหาต่างๆ และออกนอกเส้นทางเสมอ นี่อาจดำเนินต่อไปได้หลายทศวรรษ—พวกเขาสามารถไปสู่ความตายของตนโดยไม่ได้เห็นสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจนเลย ตัวอย่างเช่น บางครั้งเจ้าเผชิญโรคภัยไข้เจ็บและคิดว่านั่นเป็นแค่การเจ็บป่วยธรรมดาด้วยเหตุผลตามข้อเท็จจริง คิดว่านั่นไม่ใช่การบ่มวินัยของพระเจ้าและไม่ใช่ปัญหา ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมีปัญหาใหญ่อยู่ในนั้น หากเจ้าคิดอย่างละเอียดรอบคอบในเรื่องนี้และสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง เช่นนั้นในบางครั้งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สื่อความหมายหนึ่งกับเจ้า เจ้าจะสามารถรับรู้จุดอ่อนบางอย่างในตนเองหรือปัญหาต่างๆ ในอุปนิสัยของเจ้า พระเจ้าประทานความเจ็บป่วยให้แก่เจ้าเพื่อทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น เพื่อให้เจ้าทนทุกข์ เพื่อให้เจ้ากลับเข้ามาในวิญญาณเพื่อตรวจสอบและไตร่ตรองอย่างใกล้ชิด ให้เห็นว่าจริงๆ แล้วการเจ็บป่วยนี้คืออะไร เมื่อเจ้ากลับเข้าสู่วิญญาณอย่างลึกซึ้งเพื่อตรวจสอบตนเอง เจ้าสามารถพบรากเหง้าของปัญหาและมีความรู้เกี่ยวกับความเสื่อมทรามของตนเอง หากไม่มีการทนทุกข์สักนิด เจ้าจะคิดเสมอว่าเจ้ายอดเยี่ยม และเจ้าจะไม่สามารถค้นพบความเสื่อมทรามนี้ เช่นนั้นเจ้าจะไม่สามารถเข้าใจความจริงที่เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจ พวกเจ้ามีประสบการณ์นี้แล้วหรือไม่? พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำทุกสิ่งในเวลาที่เหมาะสมยิ่ง ทั้งหมดเป็นไปตามความจำเป็นของผู้คนและทั้งหมดเป็นไปตามวุฒิภาวะและสภาวะในปัจจุบันของพวกเขา มีการกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระราชกิจของพระเจ้าตรงเวลาและเหมาะสม และทันท่วงทีมาก โดยไม่มีความล่าช้าใดๆ เลย เจ้าได้เห็นเรื่องนี้ในประสบการณ์จริงของเจ้า ทุกครั้งที่เจ้าเผชิญบางสิ่งบางอย่าง พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจเจ้าและให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าอย่างทันท่วงที แต่เจ้ากลับให้ความร่วมมือได้ไม่ดี เจ้ามึนชาเกินไป บางครั้งเจ้ามีสำนึกรับรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นแต่กลับปล่อยไว้อย่างนั้น โดยไม่พยายามเข้าใจให้ลึกซึ้งขึ้น เจ้าพอใจเพียงมีความเข้าใจตามการรับรู้ และด้วยเหตุนั้น เจ้าคิดว่าเจ้าเข้าใจ แต่ที่จริงแล้วเจ้ายังไม่ได้เข้าถึงความเข้าใจที่แท้จริง ความเข้าใจตามการรับรู้ของเจ้าต้องถูกยกระดับขึ้นสู่ความเข้าใจตามเหตุผลก่อนที่เจ้าจะสามารถมีหนทางไปต่อได้ หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจเจ้าอีกครั้งและเจ้ายังคงเพิกเฉยและไม่ปรารถนาที่จะเขียนสิ่งนั้นลงไปในบันทึกของเจ้า แล้วเจ้าก็จะลืมไปในไม่ช้า เจ้าจะไม่ได้รับความสว่างนี้ สิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงนี้ และนั่นจะเป็นความน่าเสียดายยิ่ง คนขยันจดสิ่งต่างๆ ลงในสมุดบันทึกของตนและรู้สึกดีมากเมื่อพวกเขากลับมาดูบันทึกของตนอีกครั้งในภายหลัง พวกเขาสามารถได้รับความสว่างบางส่วนบนรากฐานนี้ บางคนที่ไม่ใส่ใจและไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณย่อมไม่สามารถสัมผัสความสว่างนี้ได้—พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความสว่างคืออะไร ความสว่างนี้สว่างวาบภายในตัวพวกเขาและหายไป และหากพวกเขาเป็นเช่นนี้เสมอ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา เพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าต้องไวต่อการรับรู้และมีความคิดที่ละเอียดรอบคอบ เจ้าต้องไม่เกียจคร้าน เจ้าต้องให้ความร่วมมืออย่างทันท่วงทีด้วย เมื่อเจ้ามีความเข้าใจตามการรับรู้ เจ้าควรยึดความเข้าใจนั้นไว้ รีบไตร่ตรอง และอธิษฐานถึงพระเจ้า เจ้าควรอธิษฐานอย่างไร? จงมุ่งเน้นการอธิษฐานของเจ้าไปที่ความรู้แจ้งที่เจ้าได้รับ บางครั้งอาจจะรู้สึกเหมือนความคิดของตัวเจ้าเอง และนั่นก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เจ้ารู้สึกถึงความชื่นชมยินดีและความกระจ่างแจ้ง เช่นนั้นเจ้าก็ควรอธิษฐานและแสวงหา การค้นพบความสว่างใหม่นี้และการทำให้ถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หากคำพูดลื่นไหลดีเป็นพิเศษในขณะที่เจ้าอธิษฐาน และเจ้ารู้สึกสบายใจ เจ้าได้รับการให้ความรู้แจ้งอีกครั้ง และจิตใจของเจ้าได้รับการให้ความกระจ่าง เช่นนั้นเจ้าก็ควรจดบันทึกความสว่างใหม่นี้ไว้ นี่เป็นเพราะบางครั้งเจ้าสามารถจดจำเมื่อเจ้าอยู่ในสภาวะที่ดี แต่เจ้าลืมเมื่ออยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่ เมื่อผู้คนเขียนบทความชิ้นหนึ่ง พวกเขาสามารถเขียนได้หลายหน้า แต่เมื่อเป็นเรื่องคำพยานจากประสบการณ์หรือความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าของพวกเขา พวกเขากลับไม่สามารถเขียนได้แม้แต่คำเดียว พวกเขายังขาดความเป็นจริง บรรดาผู้ที่รักความจริงมุ่งเน้นไปที่ความรู้แจ้งและความกระจ่างแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ บรรดาผู้ที่ไม่รักความจริงไม่ให้ค่าความรู้แจ้งแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งใดสำคัญ สิ่งใดเป็นเรื่องรอง สิ่งใดสำคัญมาก หรือสิ่งใดที่พวกเขาควรได้รับ เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงสูญเสียความรู้แจ้งแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ การพกสมุดจดเล็กๆ ไปกับเจ้าเป็นเรื่องดีที่สุด ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าและเจ้าได้รับความสว่างใหม่ เจ้าย่อมสามารถฉวยไว้และจดลงไปทันที พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าใครบางคนอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม ตราบเท่าที่พวกเขาไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าและสามารถแสวงหาความจริง เช่นนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมให้ความรู้แจ้งแก่พวกเขา แม้แต่เมื่อเจ้ายุ่งอยู่กับงานและรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก หากเจ้าแสวงหาและอธิษฐาน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าเมื่อเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือสามัคคีธรรมความจริง พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าเมื่อเจ้าไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าและทบทวนตนเอง เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า เจ้าจดบันทึกและไตร่ตรองความรู้แจ้งนั้นต่อไป หัวใจของเจ้าก็จะถูกทำให้ชัดเจน เมื่อเจ้ามาเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง เจ้าจะได้รับการปลดเปลื้องโดยสมบูรณ์ เมื่อเจ้ามีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในหนทางนี้ ผลผลิตที่เจ้าเก็บเกี่ยวจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ข้อเท็จจริงก็คือความรู้แจ้งของพระวิญญาณมากมายถูกทำลายไปเพราะพวกเจ้า พวกเจ้าก็เหมือนคนไม่เอาถ่านที่พลาดพระราชกิจทั้งหมดที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำต่อพวกเจ้า สูญเสียโอกาสมากมายที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า! พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงพระราชกิจไว้มากมาย แต่เจ้ากลับไม่สามารถคว้าเอาไว้ได้ เจ้าสามารถกล่าวได้จริงๆ หรือว่าพระเจ้าไม่ทรงกรุณาเจ้า? ข้อเท็จจริงไม่ใช่ว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงแสดงพระกรุณาต่อเจ้ามากพอ—แต่ข้อเท็จจริงคือเจ้ายังไม่ได้รับพระกรุณานั้น
พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นมีแบบแผน และแบบแผนนี้จำเป็นต้องมีข้อสรุป หากคนเราทุ่มเทอย่างหนักเพื่อหาข้อสรุป พวกเขาจะสามารถสรุปสิ่งต่างๆ ได้มากมาย แน่นอนว่าย่อมมีบางสิ่งที่จะได้มา ยกตัวอย่างเช่น การอธิษฐาน มีช่วงเวลาที่เจ้าสามารถได้รับความรู้แจ้งมากมายจากการอธิษฐาน แต่หากเจ้าไม่เอาใจใส่ เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่ตระหนักรู้ แม้ถ้อยคำแห่งความรู้แจ้งบางคำอาจจะมาจากปากของเจ้า หากเจ้าไม่ให้ความใส่ใจ เจ้าก็จะไม่ทันสังเกต เจ้าจะรู้เพียงว่าเจ้ามีการอธิษฐานที่ดี ขณะที่ในความเป็นจริงมีคำพูดในคำอธิษฐานของเจ้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความรู้แจ้งและความกระจ่าง ทั้งหมดนี้คือความสว่างใหม่ แต่เจ้ากลับปล่อยให้คำพูดเหล่านั้นหลุดลอยไป หนทางที่พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยผู้คนมากที่สุดก็คือการให้ความรู้แจ้งและการให้ความกระจ่างแก่พวกเขา เปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้า สามารถทำสิ่งต่างๆ ตามพระบัญชาของพระเจ้า และไม่หลงทางไปจากเส้นทางที่ถูกต้อง พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการประทานความรู้แจ้งแก่ผู้คนมีเป้าหมายอะไร? บางครั้งหน้าที่ของพระราชกิจนั้นก็คือการนำทาง บางครั้งก็ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจเพื่อให้เจ้ามีเหตุผลบ้าง บางครั้งก็ให้ความกระจ่างแก่เจ้าและช่วยเจ้าให้เข้าใจความจริง และให้เส้นทางแห่งการปฏิบัติแก่เจ้า เมื่อเจ้าได้หลงไปอยู่บนเส้นทางของตนเอง พระองค์ก็ทรงเกื้อหนุนและช่วยเหลือเจ้าประหนึ่งเครื่องค้ำจุน ทรงชี้ทางเจ้าไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องและทรงนำเจ้า ความสว่างและความรู้ใดที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความรู้แจ้งแก่ผู้คน ซึ่งอาจจะหลากหลายตามภูมิหลังส่วนตัวของพวกเขา ไม่ตรงข้ามหรือขัดแย้งกับความจริงเลย หากทุกคนได้รับประสบการณ์ในหนทางที่มีการแสวงหาและการอธิษฐานที่แท้จริง มีการนบนอบอย่างจริงใจ โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจเพื่อประทานความรู้แจ้งและทรงนำพวกเขาอย่างต่อเนื่อง หากพวกเขามีความคิดที่เฉียบคมและแยบยล และหากพวกเขาสามารถปฏิบัติและเข้าสู่สิ่งเหล่านั้นที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความรู้แจ้งได้ เช่นนั้นวุฒิภาวะของพวกเขาก็จะเติบโตอย่างรวดเร็วมาก แล้วพวกเขาก็คงจะคว้าโอกาสนั้นไว้ คุณลักษณะหนึ่งของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระราชกิจนั้นรวดเร็วมาก การนี้จบลงในพริบตา ไม่เหมือนงานของเหล่าวิญญาณชั่ว ซึ่งกระตุ้นและบังคับให้ผู้คนทำสิ่งต่างๆ ตลอดเวลาจนพวกเขาไม่สามารถกระทำการในทางอื่นได้เลย บางครั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงพระราชกิจด้วยการประทานความรู้สึกหนึ่งแก่ผู้คนเมื่อพวกเขาอยู่บนปากเหวแห่งอันตราย ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจและกังวลใจอย่างยิ่ง การนี้เกิดขึ้นภายใต้สภาพการณ์พิเศษ ตามปกติ เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนเข้าใกล้พระเจ้า และแสวงหาความจริง หรือเมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานความรู้สึกหนึ่งให้แก่พวกเขา หรือความคิดหรือแนวคิดที่แยบยล หรือพระองค์อาจจะทรงสื่อสารกับเจ้าด้วยถ้อยแถลงหรือข้อความ นี่เหมือนกับมีเสียง แต่ก็เหมือนไร้เสียงด้วย เหมือนเป็นเครื่องเตือนใจ และเจ้าก็สามารถเข้าใจได้ว่าหมายความว่าอย่างไร หากเจ้านำความหมายที่เจ้าเข้าใจแล้วไปแสดงออกด้วยคำพูดที่เหมาะสม เจ้าก็จะได้รับบางสิ่งบางอย่าง และนั่นจะเป็นการเจริญใจผู้อื่นด้วยเช่นกัน หากผู้คนมีประสบการณ์ในทางนี้เสมอ พวกเขาจะค่อยๆ เข้าใจความจริงมากมาย หากผู้คนมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เคียงข้างตลอดเวลา และมีความสว่างใหม่คอยนำพวกเขาเสมอ เช่นนั้นพวกเขาก็จะไม่มีวันหลงทางไปจากหนทางที่แท้จริงอย่างแน่นอน ต่อให้ไม่มีใครเคยสามัคคีธรรมกับเจ้า และไม่มีใครนำเจ้า และเจ้าไม่มีการจัดเตรียมงานเลยก็ตาม หากเจ้าเดินในทิศทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเจ้า เช่นนั้นเจ้าจะไม่หลงทางอย่างแน่นอน เปโตรเห็นองค์พระเยซูเจ้าหลังจากที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว แต่เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น เขาไม่สามารถเห็นองค์พระเยซูเจ้าบ่อยครั้งตามที่ผู้คนคิดฝัน หรือเห็นพระองค์เมื่อใดก็ตามที่เขาปรารถนา อีกทั้งเขาไม่ได้เห็นพระองค์เมื่อใดก็ตามที่เขาอธิษฐานเกี่ยวกับสิ่งใดๆ ที่เขาไม่เข้าใจ การนั้นไม่เป็นเช่นนี้ การเห็นพระเจ้าง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? พระเจ้าไม่ทรงปรากฏแก่ผู้คนได้โดยง่ายดาย เวลาส่วนใหญ่ พระเจ้าทรงให้เปโตรเข้าใจสิ่งต่างๆ ผ่านทางพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่สามารถสัมฤทธิ์สิ่งที่เปโตรสัมฤทธิ์ได้? เมื่อพิจารณาทุกอย่างแล้วเรื่องนี้พิสูจน์อะไรได้บ้าง? นี่พิสูจน์ว่าขีดความสามารถของพวกเจ้าไม่เพียงพอ พวกเจ้าไม่มีพลังแห่งการเข้าใจ และพิสูจน์ว่าพวกเจ้าไม่สามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ด้วยการใคร่ครวญ ไม่ว่าเจ้าเผชิญสิ่งใด เจ้าต้องพิจารณาสิ่งนั้นตามความจริงในพระวจนะของพระเจ้า หากผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในความคิดและสมองของตนเองเสมอ เมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา และพวกเขาย่อมรับมือสิ่งเหล่านั้นด้วยวิธีการของมนุษย์ เช่นนั้นพวกเขาก็จะไม่ได้รับสิ่งใดเลย เปโตรคิดอย่างไรเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับเขา? เขาพิจารณาและไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้นตามพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า จึงสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และต่อมา เมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จขึ้นสวรรค์แล้ว เหตุใดเปโตรจึงยังสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า? เขาสามารถทำเช่นนั้นได้ด้วยความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากเขาไม่สามารถรับรู้ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และองค์พระเยซูเจ้าไม่ทรงปรากฏแก่เขาหลังจากที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์และเสด็จขึ้นสวรรค์แล้ว เขาจะสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้อย่างไร? พระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ทรงพระราชกิจดังที่ผู้คนคิดฝัน ไม่ได้ทรงนำผู้คนด้วยพระองค์เองทุกวันอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อที่จะทำให้พวกเขาเพียบพร้อม พระราชกิจของพระองค์ไม่ใช่เช่นนั้น พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือการร่วมทำพระราชกิจพระราชกิจที่พระวิญญาณร่วมทำด้วยนี้คืองานส่วนใหญ่เนื้อหนังทำงานชี้นำ และเมื่องานนั้นเสร็จสิ้น ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่เหลืออยู่ก็คือสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานความรู้แจ้งให้ผู้คนเข้าใจ หากผู้คนไม่สามารถเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้และได้มาเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น พวกเขาย่อมจะไม่สามารถได้รับรายละเอียดเพิ่มเติม—และหากพวกเขาไม่ได้รับรายละเอียดเหล่านั้น พวกเขาย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลง และพวกเขาจะไม่มีความก้าวหน้าเลย
ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่มีประสบการณ์กับพระราชกิจแห่งความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านั้น ข้อเท็จจริงก็คือมีแบบแผนในพระราชกิจและความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อใดก็ตามที่มีการเอ่ยถึงพระราชกิจและความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้คนมักเข้าใจผิดเสมอ โดยคิดว่าพวกเขาต้องทนทุกข์อย่างใหญ่หลวงและจ่ายราคามหาศาลก่อนที่พวกเขาจะสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่ไม่ใช่มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์หรอกหรือ? เพราะผู้คนเกียจคร้านและหัวใจของพวกเขาก็หยาบกระด้างมาก โดยปกติพวกเขาไม่เคยมุ่งเน้นไปที่ความรู้สึกต่างๆ ในวิญญาณของตน และเมื่อมีความสว่างและความรู้แจ้งตรงนั้นเล็กน้อย พวกเขาก็มองข้ามไปเหมือนไม่มีความหมาย หากเจ้าใช้ชีวิตทั้งวันท่ามกลางกิจธุระต่างๆ ของเจ้า ยึดมั่นอยู่กับคำพูดและคำสอนรวมถึงข้อบังคับต่างๆ ใช้ชีวิตตามเนื้อหนังและความรักโรแมนติก เช่นนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่สามารถประทานความรู้แจ้งและทรงนำเจ้าได้ ไม่มีหนทางที่พระองค์จะทำสิ่งนี้ได้ เจ้าต้องอธิษฐานให้มากขึ้น แสวงหาพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แสวงหาวิธีที่จะรับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาและไม่ปล่อยให้พระราชกิจนั้นหลุดลอยไป จงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! โปรดทรงพระราชกิจในตัวข้าพระองค์ ทำให้ข้าพระองค์เพียบพร้อมและเปลี่ยนแปลงข้าพระองค์ เปิดโอกาสให้ข้าพระองค์เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ในสรรพสิ่งและนบนอบต่อพระประสงค์ของพระองค์ด้วยเถิด ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์และเจตนารมณ์ของพระองค์อยู่ในความรอดที่พระองค์ทรงมีให้ข้าพระองค์ แม้ผู้คนเป็นกบฏและต้านทานพระองค์ แม้ธรรมชาติของพวกเขาเป็นหนึ่งในการทรยศ แต่ตอนนี้ข้าพระองค์เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ในการช่วยผู้คนให้รอด และข้าพระองค์ปรารถนาที่จะร่วมมือกับพระองค์ ขอพระองค์ทรงมอบสถานการณ์ บททดสอบ และความยากลำบากแก่ข้าพระองค์มากขึ้น เปิดโอกาสให้ข้าพระองค์เห็นพระหัตถ์ของพระองค์ในความยากลำบากเหล่านี้ และเห็นกิจการของพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์อาจจะได้เป็นใครบางคนที่สามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์และนบนอบต่อเจตนารมณ์นั้น ขอให้ข้าพระองค์ไม่ทำตัวเหลวไหล แต่เป็นคนที่ยืนสองเท้าติดดินอย่างมั่นคง” จงอธิษฐานเช่นนี้และอธิษฐานบ่อยครั้ง ขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในตัวเจ้าและทรงนำทางเจ้าเสมอ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เห็นว่าเจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องและให้ความสนใจกับสิ่งที่เจ้าควรสนใจ พระองค์ก็จะประทานสถานการณ์บางอย่างเพื่อทดสอบเจ้าก่อน และมอบบททดสอบที่หนักหน่วงเพื่อดูว่าเจ้าเอาชนะการทดสอบนั้นได้หรือไม่ บางคนอาจจะไม่สามารถทนต่อบททดสอบนั้นได้ พวกเขาจะกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า สถานการณ์หนักหนาเกินไป—ข้าพระองค์ทนไม่ได้!” จากนั้นพวกเขาก็จะล้มเหลวในเรื่องนี้ หากเจ้ารู้สึกอย่างแท้จริงว่าสถานการณ์ที่เจ้าประสบอยู่นั้นมากเกินไปสำหรับเจ้า เช่นนั้นจงอธิษฐานถึงพระเจ้าดังนี้ “ข้าแต่พระเจ้า สถานการณ์ที่พระองค์ได้ทรงมอบให้ข้าพระองค์นั้นมากเกินไป ข้าพระองค์ไม่อาจทนได้ แต่ข้าพระองค์เต็มใจที่จะเพียรพยายาม ขอพระองค์ทรงจัดเตรียมให้ข้าพระองค์ตามวุฒิภาวะของข้าพระองค์และเปิดโอกาสให้ข้าพระองค์เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ด้วยเถิด ไม่ว่าข้าพระองค์กำลังฝ่าความทุกข์หนักหนาหรือความทุกข์เล็กน้อย โดยไม่ทรยศพระองค์หรือพร่ำบ่น ขอให้ข้าพระองค์สามารถนบนอบได้โดยสิ้นเชิง ในแบบที่ทำให้พระองค์พอพระทัย ไม่ว่าข้าพระองค์กำลังเผชิญกับการทนทุกข์อย่างหนักหนาหรือความทุกข์เล็กน้อย ตราบเท่าที่นั่นคือพระประสงค์ของพระองค์ เช่นนั้นข้าพระองค์ก็เต็มใจที่จะนบนอบต่อความทุกข์นั้นโดยไม่พร่ำบ่นใดๆ ข้าพระองค์ไม่ต้องการต่อต้านพระประสงค์ของพระองค์ และไม่ว่าความทุกข์นั้นจะหนักหนาแค่ไหน ตราบเท่าที่ข้าพระองค์ทนได้ ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ประทานความทุกข์นั้นแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด” เจ้าต้องอธิษฐานอย่างมั่นใจและกล้าหาญ จงอย่าวิ่งหนีหรือกลัวจนหัวหด เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เห็นว่าเจ้ากำลังเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง เจ้ากำลังทำสิ่งที่เจ้าต้องทำ เจ้าต้องการพระเจ้าในหัวใจของเจ้าจริงๆ และเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง พระองค์อาจจะทรงมอบสถานการณ์อันหนักหน่วงแก่เจ้ารวมทั้งความแข็งแกร่งเพื่อให้เจ้าเอาชนะสถานการณ์นั้นได้—และเมื่อนั้นเจ้าก็จะได้รับชัยชนะ การที่เจ้าเอาชนะสถานการณ์ที่หนักหน่วงเป็นพิเศษเป็นสิ่งที่สูงส่งกว่าการเข้าใจเพียงคำพูดและคำสอนบางอย่าง นี่เป็นเรื่องของการเป็นพยาน
ในชีวิตประจำวัน ผู้คนพบปะกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทุกรูปแบบ และถ้าพวกเขาไม่มีความจริง รวมทั้งไม่อธิษฐานและแสวงหาความจริง เช่นนั้นพวกเขาก็จะพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะทิ้งการทดลองไป จงดูความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงเป็นตัวอย่าง บางคนไม่สามารถต้านทานการทดลองเช่นนี้ และพวกเขาก็ล้มลงทันทีที่พวกเขาเผชิญสถานการณ์ประเภทนี้ นี่ไม่ได้แสดงว่าพวกเขามีวุฒิภาวะน้อยเกินไปหรอกหรือ? ผู้คนที่ไม่มีความจริงน่าเวทนาเช่นนี้ และพวกเขาไม่เป็นพยานใดๆ เลย บางคนตกอยู่ในการทดลองเมื่อพวกเขาเผชิญสถานการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเงิน เมื่อพวกเขาเห็นใครคนอื่นที่มีเงิน พวกเขาก็พร่ำบ่นว่า “ทำไมพวกเขาถึงมีเงินมากมายส่วนฉันยากจนเสียเหลือเกิน? ไม่ยุติธรรมเลย!” พวกเขาพร่ำบ่นเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นกับตน และพวกเขาไม่สามารถยอมรับสถานการณ์นั้นๆ จากพระเจ้าหรือนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ยังมีบางคนที่มุ่งเน้นไปที่สถานะ และเมื่อเผชิญกับการทดลองประเภทนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะการทดลองนั้นได้ ตัวอย่างเช่น ผู้ไม่มีความเชื่อคนหนึ่งต้องการจ้างพวกเขาให้ดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ให้ผลประโยชน์มากมายแก่พวกเขา และพวกเขาก็ไม่สามารถรักษาจุดยืนไว้ได้ พวกเขาคิดว่า “ฉันควรทำงานนี้หรือไม่?” พวกเขาอธิษฐาน และพวกเขาใคร่ครวญ แล้วจากนั้นก็ว่า “ใช่—ฉันต้องทำ!” พวกเขาได้ตัดสินใจแล้ว และไม่มีประโยชน์ที่พวกเขาจะแสวงหาอีกต่อไป พวกเขาได้ตัดสินใจอย่างชัดเจนที่จะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการนี้และได้รับประโยชน์จากตำแหน่งที่ว่า แต่พวกเขาก็ต้องการกลับมาและเชื่อในพระเจ้าด้วย ด้วยเต็มไปด้วยความกลัวว่าจะสูญเสียพรจากการเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงอธิษฐานถึงพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดทดสอบข้าพระองค์ด้วยเถิด” เหลือสิ่งใดให้ทดสอบเจ้าอีก? เจ้าได้ตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการของเจ้าแล้ว เจ้าไม่ยืนหยัดในเรื่องนี้ และเจ้าได้ล้มลงเสียแล้ว เจ้ายังจำเป็นต้องถูกทดสอบอีกหรือ? เจ้าไม่คู่ควรกับการทดสอบของพระเจ้า ด้วยวุฒิภาวะน้อยนิดที่น่าเวทนาของเจ้า เจ้าจะทำได้หรือ? มีแม้กระทั่งผู้คนที่น่ารังเกียจบางคนที่แข่งขันกันเพื่อความได้เปรียบใดๆ ที่พวกเขาเห็น พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เคียงข้างพวกเขา เฝ้ามองพวกเขาเพื่อดูว่าพวกเขาแสดงทัศนะใด ท่าทีของพวกเขาเป็นอย่างไร และเริ่มทดสอบพวกเขา บางคนคิดในใจว่า “ฉันไม่ต้องการตำแหน่งนี้ ต่อให้นี่คือความเมตตาที่พระเจ้ามีต่อฉัน ฉันมีเพียงพอแล้ว และพระเจ้าทรงแสดงความเมตตาต่อฉันมากเกินไป ฉันไม่ใส่ใจเรื่องการกินอิ่มหรือการแต่งตัวดีๆ ฉันใส่ใจการไล่ตามเสาะหาความจริงและการสามารถได้รับพระเจ้าเท่านั้น ความจริงที่ฉันได้รับนั้นพระเจ้าประทานให้ฉันเปล่าๆ ฉันไม่คู่ควรกับสิ่งเหล่านี้เลย” พระวิญญาณบริสุทธิ์พินิจพิเคราะห์หัวใจของพวกเขาและประทานความรู้แจ้งแก่พวกเขายิ่งขึ้นไปอีก เปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าใจมากขึ้น และมีชีวิตชีวามากขึ้น และทำให้ความจริงโปร่งใสสำหรับพวกเขามากขึ้น อย่างไรก็ตาม คนน่ารังเกียจเหล่านั้นเห็นประโยชน์ที่กำลังถูกหยิบยื่นให้และคิดว่า “ฉันจะแย่งมันมาก่อนที่คนอื่นจะได้ไป ถ้าพวกเขามอบให้คนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน ฉันจะต่อว่าพวกเขาให้สาสม และจะทำให้พวกเขาเดือดร้อน ฉันจะแสดงให้ดูว่าถ้าฉันลงมือแล้วจะเป็นอย่างไร แล้วพวกเราจะเห็นว่าคราวหน้าพวกเขาจะให้ใคร!” พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเห็นว่าพวกเขาเป็นคนประเภทนี้จึงทรงเผยพวกเขา ความอัปลักษณ์ของพวกเขาถูกเปิดโปงออกมา และคนประเภทนี้ต้องถูกลงโทษ ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อมานานกี่ปีก็ตาม การเชื่อนั้นก็จะไม่เกิดประโยชน์แก่พวกเขาเลย พวกเขาจะไม่ได้รับอะไรเลย! หลายครั้งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงแสดงความเมตตาต่อผู้คน พวกเขาได้รับความเมตตานั้นในเวลาที่ตนไม่คาดคิด หากพระเจ้าไม่ทรงแสดงความเมตตาต่อเจ้า การลงโทษเจ้าจะเกิดขึ้นในเวลาที่เจ้าไม่คาดคิดเช่นกัน นี่คือสิ่งต่างๆ ที่เป็นอันตรายสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง
เมื่อผู้คนขาดพร่องความเข้าใจเชิงลึกในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตน และไม่รู้ว่าควรทำสิ่งใดจึงเหมาะสม สิ่งแรกที่พวกเขาควรทำคืออะไร? พวกเขาควรอธิษฐานเสียก่อน การอธิษฐานย่อมมาก่อน การอธิษฐานแสดงให้เห็นสิ่งใด? แสดงให้เห็นว่าเจ้าเปี่ยมศรัทธา ว่าเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้าง และเจ้ารู้จักที่จะแสวงหาพระเจ้าเพื่อพิสูจน์ว่าเจ้าให้ความสำคัญกับพระเจ้าก่อน เมื่อพระเจ้าทรงอยู่ในหัวใจของเจ้า และทรงมีที่ในหัวใจของเจ้า และเมื่อเจ้าสามารถนบนอบพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าย่อมเป็นคริสตชนที่เปี่ยมศรัทธา มีผู้เชื่อที่สูงอายุมากมายพากันคุกเข่าอธิษฐานในเวลาเดิมทุกวัน พวกเขาคุกเข่าอยู่หนึ่งหรือสองชั่วโมงในแต่ละครั้ง แต่ไม่ว่าพวกเขาได้คุกเข่าเช่นนี้มากี่ปีแล้วก็ตาม การคุกเข่านั้นก็ไม่ได้แก้ไขปัญหาแห่งบาปมากมายของพวกเขา ให้พวกเราวางเรื่องที่ว่าการอธิษฐานทางศาสนาเช่นนี้มีประโยชน์หรือไม่ไว้ก่อน อย่างน้อยพี่น้องชายหญิงที่สูงอายุเหล่านี้ก็มีใจศรัทธาอยู่บ้าง พวกเขาดีกว่าคนหนุ่มคนสาวมากในประเด็นนี้ หากเจ้าต้องการที่จะดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและมีประสบการณ์ในพระราชกิจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วสิ่งแรกที่เจ้าควรทำเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้าก็คือการอธิษฐาน การอธิษฐานไม่ใช่แค่เรื่องของการท่องวลีต่างๆ ที่จดจำมาโดยไม่คิดและไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ แบบนี้เจ้าย่อมจะไปไม่ถึงไหน เจ้าต้องฝึกการอธิษฐานด้วยหัวใจของเจ้า เจ้าอาจจะอธิษฐานแบบนี้แปดหรือสิบครั้งโดยไม่มีผลลัพธ์มากมายนัก แต่จงอย่าหมดกำลังใจ เจ้าต้องฝึกฝนต่อไป จงอธิษฐานเป็นอย่างแรกเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับเจ้า ก่อนอื่นจงบอกพระเจ้าและให้พระองค์ทรงดูแล จงให้พระเจ้าช่วยเจ้า จงให้พระองค์ทรงนำเจ้าและชี้ทางให้เจ้า นี่จะพิสูจน์ว่าเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และเจ้าให้ความสำคัญกับพระเจ้าก่อน เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้าหรือเจ้าเผชิญกับความลำบากยากเย็นบางอย่าง แล้วเจ้าคิดลบและรู้สึกโกรธ นี่ก็คือการสำแดงว่าไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเจ้า และขาดความยำเกรงพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญกับความลำบากยากเย็นใดในชีวิตจริง เจ้าต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า สิ่งแรกที่ต้องทำคือคุกเข่าลงอธิษฐาน นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด การอธิษฐานแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงมีที่อยู่ในหัวใจของเจ้า เมื่อเจ้ามีปัญหา จงเงยหน้ามองพระเจ้าและอธิษฐานถึงพระองค์รวมทั้งแสวงหาจากพระองค์เพื่อแสดงว่าเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้าง เจ้าจะไม่ทำเช่นนี้หากพระเจ้าไม่อยู่ในหัวใจของเจ้า ผู้คนบางคนกล่าวว่า “ฉันอธิษฐาน แต่พระเจ้าก็ยังไม่ประทานความรู้แจ้งแก่ฉันอยู่ดี!” นั่นไม่ใช่วิธีที่ควรพูด เจ้าต้องดูเสียก่อนว่าเจตนาเบื้องหลังการอธิษฐานของเจ้าถูกต้องหรือไม่ หากเจ้าแสวงหาความจริงอย่างจริงใจและอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง เช่นนั้นก็อาจมีเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่พระเจ้าประทานความรู้แจ้งแก่เจ้าและเปิดโอกาสให้เจ้าเข้าใจ ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้าเข้าใจ หากพระเจ้าไม่ประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า เจ้าจะไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยตนเอง มีบางสิ่งที่ความคิดของมนุษย์ไม่อาจสัมฤทธิ์ได้ ไม่ว่าเจ้ามีพลังแห่งการเข้าใจหรือไม่และไม่ว่าขีดความสามารถของเจ้าเป็นเช่นไร เมื่อเจ้าเข้าใจขึ้นมา นั่นมาจากการคิดอ่านของเจ้าหรือไม่? ด้วยเจตนารมณ์ของพระเจ้าและพระราชกิจของพระวิญญาณ หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า เจ้าก็จะไม่พบผู้ใดที่รู้เลย เจ้าจะรู้ก็ต่อเมื่อพระเจ้าพระองค์เองทรงบอกเจ้าว่าพระองค์ทรงหมายถึงอะไร และด้วยเหตุนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้าคืออธิษฐาน เมื่อเจ้าอธิษฐาน เจ้าควรแสดงความคิด ทรรศนะ และท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้าออกมา และแสวงหาความจริงจากพระองค์ด้วยความรู้สึกนึกคิดของการนบนอบ นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรปฏิบัติ เจ้าจะไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใดๆ หากเจ้าเพียงทำอย่างขอไปที และเช่นนั้นเจ้าไม่ควรพร่ำบ่นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า เราพบแล้วว่าผู้คนบางคนเพียงปฏิบัติศาสนพิธีและทำกิจกรรมทางศาสนาในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาเท่านั้น ในหัวใจของพวกเขาไม่มีที่สำหรับพระองค์เลย พวกเขาถึงกับปฏิเสธพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยพวกเขาไม่อธิษฐานหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาเพียงไปร่วมชุมนุมไม่ขาด และไม่ทำสิ่งใดมากไปกว่านี้ นี่เป็นความเชื่อในพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาเชื่อต่อไปในแบบที่พวกเขาเชื่อ ทว่าไม่มีพระเจ้าในการเชื่อของพวกเขา พระเจ้าไม่อยู่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่ต้องการที่จะอธิษฐานถึงพระเจ้าอีกต่อไป และพวกเขาไม่เต็มใจอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกต่อไป เช่นนั้นพวกเขาไม่กลายเป็นผู้ไม่มีความเชื่อไปแล้วหรอกหรือ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผู้นำและคนทำงานบางคนที่มักจะดูแลกิจธุระทั่วไปอยู่บ่อยๆ พวกเขาไม่เคยมุ่งเน้นไปที่การเข้าสู่ชีวิต แต่กลับมองงานของกิจการทั่วไปเหล่านี้เป็นกิจธุระหลักของตน พวกเขาได้กลายเป็นเพียงผู้จัดการกิจการ และไม่ได้ทำงานสำคัญของผู้นำและคนทำงานเลย ผลลัพธ์ก็คือ หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามายี่สิบหรือสามสิบปี พวกเขากลับไม่มีคำพูดเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตจะเสนอ และพวกเขาไม่มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาสามารถกล่าวเพียงคำพูดและคำสอนไม่กี่คำเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พวกเขาไม่กลายเป็นผู้นำเทียมเท็จไปแล้วหรอกหรือ? นี่เป็นเพราะในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา พวกเขาไม่ใส่ใจหน้าที่ที่เหมาะสมของตนหรือไล่ตามเสาะหาความจริง การอาศัยเพียงการเข้าใจคำพูดและคำสอนบางคำของคนเราย่อมจะแก้ไขสิ่งใดไม่ได้ พวกเขาพร่ำบ่นพระเจ้าในทันทีที่พวกเขาถูกทดสอบ ถูกถั่งโถมด้วยความวิบัติ หรือล้มป่วย พวกเขาไม่มีความรู้ที่แท้จริงใดๆ เกี่ยวกับตนเอง และพวกเขาไม่มีคำพยานจากประสบการณ์เลย นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงในปีเหล่านี้ที่พวกเขาได้เชื่อในพระเจ้า พวกเขาทำให้ตนเองยุ่งอยู่กับสิ่งภายนอกทั้งหลายเท่านั้น และส่งผลให้ตนย่อยยับ ไม่ว่าผู้คนจะเชื่อในพระเจ้ามานานกี่ปีก็ตาม อย่างน้อยที่สุดพวกเขาต้องมาเข้าใจความจริงบางประการหากพวกเขาต้องการให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ล้ม กระทำความชั่ว หรือถูกกำจัดออกไป อย่างน้อยที่สุดนี่คือสิ่งที่พวกเขาควรมีพร้อม ผู้คนบางคนเวลาฟังคำเทศนากลับไม่ค่อยใส่ใจ และไม่ไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่แสวงหาความจริงไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับตน พวกเขาพอใจเพียงการเข้าใจคำพูดและคำสอน ทึกทักเอาว่าพวกเขาได้รับความจริงแล้ว จากนั้นเมื่อบททดสอบมาถึง พวกเขากลับไม่มีความรู้เลย และหัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความคับข้องใจและคำพร่ำบ่นที่พวกเขาไม่กล้าพูดออกมาดังๆ แม้อยากจะพูดก็ตาม ผู้คนเช่นนี้ไม่เพียงน่าเวทนาเหลือเกินหรอกหรือ? ผู้คนมากมายสุกเอาเผากินในการปฏิบัติหน้าที่ของตนเสมอ พวกเขาไม่ทบทวนหรือพยายามเข้าใจตนเองเมื่อพวกเขาถูกตัดแต่ง พวกเขาหาเหตุผลเข้าข้างตนเองอยู่เสมอ และด้วยเหตุนี้ ความอัปลักษณ์ของพวกเขาจึงปรากฏออกมาในหลากหลายหนทาง และพวกเขาถูกเผยและถูกกำจัดออกไป โดยไม่มีความสามารถในการรู้จักตนเองจนถึงปลายทาง เช่นนั้นการเข้าใจคำสอนของพวกเขาจะมีประโยชน์อันใด? ไม่มีประโยชน์อันใดเลย ไม่ว่าผู้คนจะเชื่อในพระเจ้ากี่ปีก็ตาม เพียงการเข้าใจและการสามารถพูดคำสอนย่อมเปล่าประโยชน์ พวกเขายังไม่เคยได้รับความจริง แต่กลับหลงทางไปแล้ว เช่นนั้นแล้วเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้าและเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้า พลางสำรวจหาเจตนารมณ์ของพระองค์ สิ่งสำคัญก็คือการเกิดความเข้าใจในความจริงหากจะให้ปัญหาได้รับการแก้ไข นี่คือเส้นทางที่ถูกต้อง และเจ้าควรยืนกรานในการปฏิบัติเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง
1997
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ