นัยสำคัญและการปฏิบัติเรื่องการอธิษฐาน (ตอนที่สอง)

พระคัมภีร์ได้บันทึกคำอธิษฐานของผู้คนมากมายที่มิได้วางข้อกำหนดของตนเองเอาไว้ในคำอธิษฐานเหล่านั้น พวกเขากลับใช้การอธิษฐานเพื่อแสวงหาและจับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ตัดสินพระทัยในเรื่องทั้งหลาย ตัวอย่างเช่น ชาวอิสราเอลโจมตีเมืองเยรีโคผ่านทางการอธิษฐาน ชาวเมืองนีนะเวห์ก็กลับใจและได้รับการอภัยโทษจากพระเจ้าผ่านทางการอธิษฐานเช่นกัน การอธิษฐานไม่ใช่พิธีกรรมประเภทหนึ่ง การอธิษฐานคือการที่คนคนหนึ่งเข้าสนิทกับพระเจ้าอย่างแท้จริง และมีนัยสำคัญที่ลุ่มลึก คนเราสามารถมองเห็นได้จากคำอธิษฐานของผู้คนว่าพวกเขากำลังรับใช้พระเจ้าโดยตรง หากเจ้ามองการอธิษฐานว่าเป็นพิธีกรรมแล้ว คำอธิษฐานของเจ้าก็จะไม่เกิดผล และจะไม่ใช่การอธิษฐานที่แท้จริงเพราะเจ้าไม่พูดความรู้สึกภายในของเจ้ากับพระเจ้าหรือเปิดใจให้พระองค์ สำหรับพระเจ้าแล้ว คำอธิษฐานของเจ้าไม่นับเป็นการอธิษฐาน เจ้าไม่มีตัวตนอยู่ในพระทัยของพระเจ้า แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจภายในตัวเจ้าอย่างไร? ผลลัพธ์ของการนี้คือ หลังจากทำงานไปสักระยะหนึ่ง เจ้าจะเหนื่อยล้า จากจุดนี้ไป เมื่อปราศจากการอธิษฐาน เจ้าย่อมจะไม่สามารถทำงานได้ การอธิษฐานคือสิ่งที่ทำให้เกิดงาน และการอธิษฐานทำให้เกิดการปรนนิบัติ หากเจ้าเป็นผู้นำ เป็นผู้ที่รับใช้พระเจ้า แต่เจ้าไม่เคยอุทิศตนให้แก่การอธิษฐานหรือจริงจังกับการอธิษฐาน เจ้าย่อมไม่มีความคิดใดๆ ที่จะกล่าวกับพระเจ้า และในหนทางนี้ เจ้าย่อมมีแนวโน้มที่จะทำผิดในขณะที่เจ้าทำหน้าที่ และเจ้ามีแนวโน้มที่จะสะดุดเพราะเจ้าพึ่งพาเจตนาของตนเองอยู่เสมอในการกระทำต่างๆ การเชื่อในพระเจ้าโดยไม่อธิษฐานให้เพียงพอนั้นยอมรับไม่ได้ บางคนแทบจะไม่อธิษฐาน คิดไปว่าในเมื่อพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์แล้ว การอ่านพระวจนะของพระเจ้าโดยตรงย่อมเพียงพอ ในการนี้ เจ้าคิดง่ายเกินไป เจ้าจะได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เพียงด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าโดยไม่อธิษฐานถึงพระองค์กระนั้นหรือ? หากคนคนหนึ่งไม่เคยอธิษฐานถึงพระเจ้า ในความหมายว่าพวกเขาไม่พูดหรือสามัคคีธรรมกับพระเจ้าอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะพบว่าเป็นการยากมากที่จะปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและทำให้พระเจ้าพอพระทัยในการทำหน้าที่ของพวกเขา แม้แต่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ก็อธิษฐานเป็นบางครั้ง! เมื่อพระเยซูเสด็จมาปรากฏในรูปมนุษย์ พระองค์ก็ทรงอธิษฐานในเรื่องที่สำคัญยิ่งเช่นกัน พระองค์ทรงอธิษฐานบนภูเขา บนเรือ และในสวน พระองค์ทรงนำบรรดาสาวกของพระองค์อธิษฐานด้วย หากเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานถึงพระองค์บ่อยๆ นี่ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าปฏิบัติต่อพระเจ้าว่าทรงเป็นพระเจ้า หากเจ้ากระทำการตามความต้องการของเจ้าเองอยู่เนืองๆ และเจ้าละเลยการอธิษฐานอยู่บ่อยครั้ง ทำสิ่งต่างๆ ลับหลังพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้กำลังรับใช้พระเจ้า เจ้าเพียงแต่ดำเนินกิจการของเจ้าเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะไม่ถูกกล่าวโทษหรอกหรือ? จากภายนอก นั่นจะไม่ดูเหมือนว่าเจ้าได้ทำสิ่งใดที่ทำให้เกิดการก่อกวน และจะไม่ดูเหมือนว่าเจ้าได้หมิ่นประมาทพระเจ้า แต่เจ้าจะเอาแต่จัดการกิจธุระของตนเองเท่านั้น เจ้าจะดำเนินกิจการของตนเอง และไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลตอบแทน สถานะ และผลประโยชน์ส่วนตน นี่ไม่ใช่การทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักหรอกหรือ? ต่อให้ภายนอกดูเหมือนเจ้าไม่ได้ทำให้เกิดการหยุดชะงัก แต่ในแก่นแท้แล้วการกระทำของเจ้าก็กำลังต่อต้านพระเจ้า หากเจ้าไม่ยอมกลับใจหรือเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ตกอยู่ในอันตราย

ทุกคนเคยอยู่ในสภาวะที่เจ็บปวดและทุกข์ใจยามที่มีสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจเกิดขึ้น และไม่อยากพูดคุยกับใคร ผ่านไปสักพัก พวกเขาก็รู้สึกดีขึ้น แต่สภาวะนี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข บางครั้งพวกเขาจึงเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามให้เห็นในการทำหน้าที่ของตนและพวกเขาก็ทำงานล่าช้า หรือพวกเขาถูกตัดแต่ง พวกเขาจึงเจ็บปวดและทุกข์ใจ แต่หากคนเราไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหานี้ เช่นนั้นแล้วสภาวะที่ผิดปกตินี้ก็จะไม่ถูกแก้ไข กี่ครั้งแล้วที่พวกเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างเจ็บปวดและทุกข์ใจเพื่อที่จะอธิษฐาน? พวกเจ้าทั้งหมดมีกรอบความคิดที่ผ่อนคลายและมัวแต่สุกเอาเผากินไปตามนั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คนมากมายที่อ้างว่าเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะทำหน้าที่อันใด ยามใดก็ตามที่พวกเขาประสบปัญหา พวกเขาไม่เคยอธิษฐานหรือแสวงหาความจริง พวกเขาพึ่งพาเจตจำนงของตนเองเพื่อที่จะทำสิ่งต่างๆ อย่างมืดบอด ทำให้ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังสู้ทนความทุกข์และทุ่มเทเรี่ยวแรง และพวกเขานึกว่าพวกเขากำลังทำหน้าที่ของตนให้ดีถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีผลงานอะไรเลยและความพยายามของพวกเขานั้นสูญเปล่าก็ตาม ผู้คนมักจะพึ่งพาเจตจำนงของตนเองและเดินพลัดหลง พอพวกเขาทำงานไปนิดหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มโอหัง รู้สึกว่าตนมีต้นทุน และจากนั้นพวกเขาก็ไม่มีพื้นที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจของตน จากการนี้ คนเราย่อมจะมองเห็นได้ว่าธรรมชาติของผู้คนคือการทรยศ ผู้คนถึงกับคิดว่า “จะไม่มีพื้นที่ให้พระเจ้าในหัวใจของฉันได้อย่างไรในเมื่อฉันเชื่อในพระองค์? ตอนนี้ฉันก็กำลังทำงานให้คริสตจักรไม่ใช่หรือ? พระเจ้าทรงละทิ้งฉันได้อย่างไร?” มิใช่ว่าพระเจ้าอยากจะละทิ้งเจ้า เพียงแต่ว่าเจ้าต่างหากที่ไม่มีพื้นที่ให้พระเจ้าในหัวใจของตน ไม่ว่าเจ้าจะทำงานมากเท่าไร เจ้าก็จะไม่สามารถไถ่ตนเองจากการนี้ได้ เจ้าจะไม่มีทางได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด เจ้าก็จะตีตนออกห่างจากพระเจ้าและทรยศพระองค์เรื่อยไป บทเรียนของการอธิษฐานนั้นลึกล้ำที่สุด หากเจ้าทำหน้าที่โดยไม่แม้แต่จะอธิษฐาน ผลการทำหน้าที่ของเจ้าย่อมจะไม่ดีพอ และความพยายามของเจ้าก็จะสูญเปล่า ยิ่งสภาวะของเจ้าผิดปกติมากเท่าใด เจ้าก็ยิ่งควรที่จะอธิษฐานมากเท่านั้น เมื่อปราศจากคำอธิษฐาน สภาวะของเจ้ามีแต่จะยิ่งแย่ลงอย่างต่อเนื่อง และหน้าที่ของเจ้าก็จะไร้ประสิทธิผล การอธิษฐานไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่เจ้าพูดฟังดูดีปานใด กลับกัน การอธิษฐานพึงต้องให้เจ้าพูดออกมาจากหัวใจ พูดความจริงเกี่ยวกับความยากลำบากของตนเอง พูดในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และจากมุมมองของการนบนอบว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงทราบว่ามนุษย์นั้นแข็งกระด้างเพียงใด ได้โปรดนำทางข้าพระองค์ในเรื่องนี้ด้วย พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์นั้นอ่อนแอ ว่าข้าพระองค์ขาดตกบกพร่องอย่างร้ายแรง ข้าพระองค์ไม่เหมาะที่จะให้พระองค์ทรงใช้งาน ข้าพระองค์เป็นกบฏ และเมื่อใดก็ตามที่ข้าพระองค์ลงมือ ข้าพระองค์ก็ทำให้พระราชกิจของพระองค์หยุดชะงัก และทำสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์ ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์ ข้าพระองค์เพียงแต่ปรารถนาที่จะนบนอบและให้ความร่วมมือ…” หากเจ้ากล่าวคำเหล่านี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ เจ้าก็หมดหวัง บางคนคิดว่า “เวลาฉันอธิษฐาน ฉันยังต้องแยกแยะว่าฉันอธิษฐานด้วยเหตุผลหรือไม่ แล้วฉันควรจะอธิษฐานอย่างไร?” การแยกแยะว่าเจ้ามีเหตุผลหรือไม่นั้นใช้เวลานานกระนั้นหรือ? หลังการอธิษฐานทุกครั้ง จงคิดทบทวนอย่างจริงใจ และเจ้าจะพบความกระจ่าง เมื่อเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะมีเหตุผลมากขึ้นอีกในการอธิษฐานครั้งต่อๆ ไป เพราะเมื่อเจ้าอธิษฐาน เจ้าย่อมจะรู้ว่าคำบางคำไม่เหมาะสม เมื่อมนุษย์อธิษฐาน ความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระเจ้าย่อมตรงไปตรงมาที่สุด และใกล้ชิดที่สุด โดยปกติแล้ว เวลาเจ้าทำสิ่งต่างๆ เจ้าสามารถคุกเข่าอธิษฐานได้ทันทีหรือไม่? ไม่เสมอไป ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม เมื่อเจ้าอยู่คนเดียวในบ้านและเจ้าคุกเข่าอธิษฐานถึงพระเจ้า ความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าจะเป็นไปอย่างใกล้ชิดที่สุด เจ้าจะสามารถพูดสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในหัวใจของเจ้า และเจ้าจะรู้สึกชื่นบานอย่างที่สุด ยามที่เจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าอธิษฐานก่อน การอ่านพระวจนะของพระองค์จะให้ความรู้สึกแตกต่างออกไป ยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า จงอธิษฐานและแสวงหาเสียก่อน จากนั้นหัวใจของเจ้าจะจริงจัง และเมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ ผลที่ได้รับจะแตกต่างออกไป หากเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าและพบความสว่าง เช่นนั้นแล้ว จงอธิษฐานถึงพระเจ้าแล้วเจ้าจะพบความชื่นบานยิ่งขึ้น หากเจ้าไม่เคยอธิษฐาน เจ้าจะไม่รู้สึกถึงการสถิตของพระเจ้ายามที่เจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า บางครั้งการอ่านพระวจนะของพระเจ้าจะไม่ให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า และหลังจากอ่านพระวจนะของพระองค์แล้ว ก็จะไม่มีผลที่ชัดเจน ในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้านั้น ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าจะสามารถทำได้โดยไม่อธิษฐาน หากเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าบ่อยครั้ง และความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าเป็นปกติ เจ้าก็ย่อมจะมีการเข้าสู่ชีวิต และความเชื่อของเจ้าจะเข้มแข็งขึ้น หากเจ้างดอธิษฐานเป็นเวลานานๆ เจ้าจะสูญเสียความเชื่อ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสัมฤทธิ์การเข้าสู่ชีวิตได้อย่างไร? ผู้คนที่มีความเชื่อที่แท้จริงบรรลุการเข้าสู่ชีวิตด้วยการใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผ่านทางการอธิษฐาน และด้วยการแสวงหาความจริงผ่านทางการอธิษฐาน ผู้คนมากมายเพียงแต่ทำไปตามขั้นตอนยามที่พวกเขาอธิษฐาน และไม่แสวงหาความจริง พวกเขาเพียงแต่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและอ้อนวอนยามที่มีบางอย่างเกิดขึ้นและไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาจะทำได้อีก พวกเขาบังคับให้พระเจ้าทำตามความปรารถนาของพวกเขาและทำให้พวกเขาพึงพอใจอยู่เสมอ นี่คือการอธิษฐานที่แท้จริงกระนั้นหรือ? พระเจ้าทรงรับฟังคำอธิษฐานเช่นนี้หรือ? การอธิษฐานและแสวงหาภายในการสถิตของพระเจ้านั้นมิใช่เรื่องของการบีบบังคับพระเจ้าให้ทำสิ่งที่เจ้าต้องการ และยิ่งไม่ใช่การขอให้พระองค์ทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่สำแดงถึงการขาดเหตุผล การอธิษฐานที่มีเหตุผลคืออะไร? การอธิษฐานที่ไม่มีเหตุผลคืออะไร? หลังจากผ่านไปสักพัก เจ้าย่อมจะรู้จักสิ่งเหล่านี้จากประสบการณ์ ตัวอย่างเช่น หลังจากที่เจ้าอธิษฐาน เจ้าอาจรู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงทำสิ่งที่เจ้าอธิษฐานขอ หรือไม่นำทางเจ้าดั่งที่เจ้าอธิษฐานไป ครั้งต่อไปที่เจ้าอธิษฐาน เจ้าจะอธิษฐานต่างจากเดิม เจ้าจะไม่พยายามบังคับพระเจ้าอย่างที่เจ้าพยายามทำในครั้งที่ผ่านมา หรือร้องขอจากพระองค์ตามความปรารถนาของเจ้าเอง เจ้าจะพูดว่า “โอ พระเจ้า! โปรดให้ทุกอย่างเป็นไปตามความพึงปรารถนาของพระองค์ด้วยเถิด” ตราบใดที่เจ้ามุ่งเน้นวิธีนี้ ตราบนั้นหลังทำความเข้าใจอยู่สักระยะหนึ่ง เจ้าก็จะรู้ว่าคำอธิษฐานที่มีเหตุผลเป็นอย่างไร และคำอธิษฐานที่ไม่มีเหตุผลเป็นอย่างไร นอกจากนี้ยังมีสภาวะที่พอเจ้าอธิษฐานตามความปรารถนาของตนเอง เจ้าก็รู้สึกในวิญญาณของเจ้าว่าคำอธิษฐานของเจ้านั้นไม่มีชีวิตชีวา และในไม่ช้าเจ้าย่อมพบว่าเจ้าไร้คำพูด ยิ่งเจ้าพยายามพูดเท่าไร ก็จะยิ่งประดักประเดิดเท่านั้น นี่พิสูจน์ว่าเวลาที่เจ้าอธิษฐานแบบนี้ เจ้ากำลังทำตามเนื้อหนังอย่างสิ้นเชิง และพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงพระราชกิจหรือนำเจ้าในหนทางนั้น นี่ก็เป็นเรื่องของการค้นหาและประสบการณ์เช่นกัน เมื่อเจ้าผ่านประสบการณ์กับเรื่องต่างๆ ดังกล่าวมากขึ้น เจ้าย่อมจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ไปเอง

การอธิษฐานคือการพูดจาอย่างซื่อสัตย์กับพระเจ้าและบอกพระองค์ถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้าเป็นหลัก เจ้ากล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าทรงรู้ความเสื่อมทรามของมนุษย์ วันนี้ข้าพระองค์ได้ทำอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่มีเหตุผล ข้าพระองค์ได้เก็บงำเจตนาหนึ่ง—ข้าพระองค์เป็นบุคคลที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ข้าพระองค์ไม่ได้กระทำการตามเจตนารมณ์ของพระองค์หรือความจริง ข้าพระองค์ได้กระทำการตามที่ข้าพระองค์อยากทำและลองพยายามที่จะให้เหตุผลว่าตัวข้าพระองค์เองชอบธรรม บัดนี้ข้าพระองค์ระลึกได้ถึงความเสื่อมทรามของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์มากขึ้นและทรงเปิดโอกาสให้ข้าพระองค์เข้าใจความจริง นำความจริงไปสู่การปฏิบัติ และปลดเปลื้องความเสื่อมทรามนี้ทิ้งไป” จงอธิษฐานในหนทางนี้คือ กล่าวสิ่งที่เป็นจริง และพูดในหนทางที่เป็นจริง ยามที่ผู้คนส่วนใหญ่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน คำพูดส่วนใหญ่ของพวกเขามาจากคำสอน คำเหล่านั้นไม่ใช่คำอธิษฐานที่แท้จริงจากหัวใจ พวกเขาพอจะมีความรู้อยู่บ้างเฉพาะในด้านของการคิดอ่านเท่านั้น และหัวใจของพวกเขาก็เต็มใจที่จะกลับใจ แต่พวกเขาไม่ได้ใช้ความพยายามแม้แต่น้อยในการใคร่ครวญหรือเข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้ นี่จะส่งผลต่อความก้าวหน้าในชีวิตของพวกเขา หากเจ้าสามารถใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าและแสวงหาความจริงได้เมื่อเจ้าอธิษฐาน และสามารถทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความรู้แจ้งแก่เจ้าได้ เช่นนั้นแล้วก็จะคุ้มค่ากว่าการเอาแต่ครุ่นคิดถึงความจริงและเข้าใจความจริงมากนัก เจ้าจะสามารถเข้าใจหลักธรรมความจริงได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจผู้คนเมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจ และพระองค์ประทานความรู้แจ้งและความกระจ่างแก่ผู้คนเอาไว้ในพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้ผู้คนมีความเข้าใจที่แท้จริงและมีการกลับใจที่แท้จริง ซึ่งลึกซึ้งกว่าความนึกคิดและความเข้าใจของผู้คนอย่างมาก เจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้อย่างละเอียด หากเจ้าเพียงคิดอ่านและตรวจสอบอย่างตื้นเขินและไร้แบบแผนเท่านั้น เจ้าย่อมไม่มีเส้นทางปฏิบัติที่เหมาะสมในภายหลัง และเจ้าย่อมสัมฤทธิ์การเข้าสู่ความจริงแต่น้อย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่ดี ตัวอย่างเช่น มีหลายครั้งที่เจ้าตั้งใจแน่วแน่ว่าจะสละตนเองอย่างจริงจังเพื่อพระเจ้า และจะตั้งใจตอบแทนความรักของพระองค์ แต่แม้จะมีความปรารถนาเช่นนี้ในจิตใจ เจ้าก็อาจจะไม่ทุ่มเทพยายามมากขนาดนั้น และหัวใจของเจ้าอาจจะไม่มุ่งมั่นอย่างเต็มที่ที่จะทำตามนั้น อย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่าเมื่อได้อธิษฐานและได้รับการขับเคลื่อนแล้ว เจ้าทำการตัดสินใจแน่วแน่และกล่าวว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจที่จะทนทุกข์กับความยากลำบาก ข้าพระองค์เต็มใจที่จะยอมรับบททดสอบของพระองค์ และข้าพระองค์เต็มใจที่จะนบนอบต่อพระองค์อย่างครบบริบูรณ์ ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของข้าพระองค์จะใหญ่หลวงเพียงใด ข้าพระองค์เต็มใจที่จะตอบแทนความรักของพระองค์ ข้าพระองค์ได้ชื่นชมความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และพระองค์ได้ทรงยกชูข้าพระองค์ขึ้นมา สำหรับการนี้ ข้าพระองค์ขอบคุณพระองค์จากก้นบึ้งของหัวใจ และขอมอบพระสิริทั้งหมดให้แก่พระองค์” หลังจากได้ถวายคำอธิษฐานเช่นนั้นแล้ว ทั้งร่างของเจ้าก็จะมีพลัง และเจ้าจะมีเส้นทางปฏิบัติ นี่คือผลของการอธิษฐาน หลังจากบุคคลหนึ่งอธิษฐาน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เริ่มทรงพระราชกิจกับพวกเขา โดยประทานความรู้แจ้ง ความกระจ่าง และทรงนำพวกเขา ประทานความเชื่อและความกล้าหาญ และทำให้พวกเขาสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ มีผู้คนที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำทุกวันโดยไม่มีการสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เช่นนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้อ่านพระวจนะแล้ว พวกเขาก็สามัคคีธรรมถึงพระวจนะ แล้วหัวใจของพวกเขาก็เริ่มสว่างไสว และพวกเขาก็พบหนทาง นอกจากนี้ หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจเจ้าและประทานภาระบางอย่างแก่เจ้า รวมทั้งการชี้นำบางประการ ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมจะแตกต่างไปมากจริงๆ เมื่อเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้า เจ้าอาจได้รับการดลใจบ้างเท่านั้น และในเวลานั้นเจ้าอาจร่ำไห้ ผ่านไปชั่วครู่ ความรู้สึกนั้นย่อมจะล่วงเลยไป แต่หากคำอธิษฐานที่เจ้าถวายนั้นนองน้ำตา จริงจังตั้งใจ จริงแท้และจริงใจ และเจ้าได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้ว หัวใจของเจ้าก็จะเบิกบานไปหลายวัน นี่คือผลของคำอธิษฐาน จุดประสงค์ของการอธิษฐานคือการมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับสิ่งที่พระองค์จะประทานแก่ผู้คน หากเจ้าอธิษฐานบ่อยครั้ง หากเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยครั้งเพื่อสามัคคีธรรมกับพระองค์ และมีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะได้รับการดลใจจากพระองค์อยู่เสมอ หากเจ้าได้รับเสบียงจากพระองค์อยู่ตลอดเวลา และยอมรับความจริง เจ้าย่อมจะเปลี่ยนแปลง และภาวะของเจ้าก็จะดีขึ้นเรื่อยไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อบรรดาพี่น้องชายหญิงอธิษฐานด้วยกัน พลังงานยิ่งใหญ่เป็นพิเศษก็เกิดขึ้นหลังจากนั้น และพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้รับมาอย่างมากมายมหาศาล ที่จริงแล้ว พวกเขาอาจไม่ได้สามัคคีธรรมมากนักในเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน แต่เป็นคำอธิษฐานต่างหากที่กระตุ้นพวกเขา จนกระทั่งพวกเขาไม่อาจรอนานกว่านั้นสักวินาทีที่จะประกาศตัดขาดกับครอบครัวของพวกเขาและกับโลก และพวกเขาไม่ต้องการสิ่งใด และการมีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวก็เพียงพอแล้ว เป็นความเชื่อที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนั้น! ความเข้มแข็งที่พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มอบให้แก่ผู้คนนั้นสามารถชื่นชมได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด! เจ้าจะไปได้ไกลเพียงใดด้วยการแข็งข้อและพึ่งพาอาศัยการดื้อแพ่งของเจ้าเอง แทนที่จะพึ่งพาความเข้มแข็งที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า? เจ้าจะเอาแต่เดินต่อไปจนหมดกำลัง และแล้วพอเจ้าประสบปัญหาหรือความยากลำบาก เจ้าก็จะไม่มีทางไป เจ้าจะล้มลงและเสียคนก่อนที่เจ้าจะถึงปลายทาง มีผู้คนมากมายที่ล้มเหลวและล้มลงบนเส้นทางของการติดตามพระเจ้า พวกเขายืนหยัดไม่ได้หากไม่มีความจริง ดังนั้นแล้ว ผู้คนต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่เสมอ พึ่งพาพระเจ้า และรักษาความสัมพันธ์ที่ปกติกับพระเจ้าตราบจนถึงปลายทาง กระนั้นพวกมนุษย์ก็ยังไถลห่างออกจากพระเจ้าขณะที่พวกเขาเดินหน้าไป พระเจ้าคือพระเจ้า มวลมนุษย์ก็คือมวลมนุษย์ แต่ละฝ่ายย่อมเดินตามเส้นทางของตนเอง พระเจ้าตรัสพระวจนะของพระเจ้า ส่วนมวลมนุษย์ก็เดินไปตามเส้นทางของตน ซึ่งไม่ใช่เส้นทางเดียวกันกับของพระเจ้า เมื่อบุคคลหนึ่งสูญเสียเรี่ยวแรงกำลังในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา พวกเขาก็มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อกล่าวคำอธิษฐานสองสามคำและขอยืมเรี่ยวแรงบ้าง พอพวกเขามีกำลังบ้างแล้ว พวกเขาก็จากไปอีกครั้ง ผ่านไปพักหนึ่ง พวกเขาก็จะหมดพลังงาน และกลับมาหาพระเจ้าเพื่อขอเพิ่มอีก หากบุคคลหนึ่งเดินหน้าในหนทางนี้ พวกเขาจะไม่สามารถเดินต่อไปได้นานนัก หากบุคคลหนึ่งผละจากพระเจ้าไป พวกเขาย่อมไม่มีหนทางเดินไปข้างหน้า

บัดนี้เราได้ค้นพบว่าหลายคนมีความสามารถแย่เป็นพิเศษในการบังคับตนเอง อะไรคือสาเหตุ? นี่เป็นเพราะอันดับแรกเลยผู้คนไม่เข้าใจความจริง และหากพวกเขาไม่อธิษฐาน พวกเขาก็มีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็นคนเสเพล พวกเขาเข้าใจเพียงคำพูดและคำสอน ซึ่งไม่ได้ผล และพวกเขาควบคุมตัวเองไม่ได้แต่อย่างใด ในสภาวะเช่นนี้ เจ้าสามารถได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านทางการอธิษฐานเท่านั้น และเฉพาะเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงบางส่วนแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถยับยั้งชั่งใจได้บ้างและพอจะมีสภาพเสมือนมนุษย์ ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องอ่านพระวจนะของพระองค์อยู่เนืองๆ ให้ความสำคัญกับความจริง และอธิษฐานบ่อยครั้ง เช่นนี้เท่านั้นที่ผู้คนจะสามารถพัฒนา นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ได้บ้าง หากเจ้าพูดแต่เรื่องการรู้จักตนเองและการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นั่นก็ใช้ไม่ได้ หากไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ย่อมจะไม่มีผล หากเจ้าไม่สนใจว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจและดลใจผู้คนอย่างไร และผู้คนควรแสวงหาและปฏิบัติความจริงในชีวิตประจำวันของตนอย่างไร เช่นนั้นแล้วเจ้าจะเชื่อในพระเจ้าได้อย่างไร? เจ้าจะสามารถทำหน้าที่อันใดได้? หากว่าในหัวใจของพวกเขา ผู้คนเชื่อเพียงการมีอยู่ของพระเจ้า หากว่าการเชื่อของพวกเขาเหลือแต่การยอมรับรู้พระเจ้า และหากพระวจนะและความจริงของพระองค์ถูกละเลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะไม่มีการเข้าสู่ชีวิต และจะไม่มีทั้งพระเจ้าและความจริงอยู่ในหัวใจของพวกเขา ความนึกคิดและมโนคติอันหลงผิดของผู้คนจะมีแต่โลกทางวัตถุเท่านั้น การเชื่อในพระเจ้าเช่นนี้กลายเป็นพิธีกรรมทางศาสนาไปแล้ว ผู้ที่ไม่รักความจริงอาจยอมรับความเชื่อว่าไม่มีพระเจ้าหรือยอมรับแนวคิดวัตถุนิยมได้ด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาอาจค่อยๆ ใส่เครื่องหมายคำถามตรงที่ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ และปฏิเสธอาณาจักรฝ่ายวิญญาณและเรื่องของชีวิตฝ่ายวิญญาณ นี่คือการออกจากหนทางที่แท้จริงอย่างสิ้นเชิง และพวกเขาได้ตกลงไปในบาดาลลึกแล้ว เมื่อปราศจากคำอธิษฐาน ความปรารถนาของผู้คนที่จะปฏิบัติความจริงก็เป็นเพียงความปรารถนาในใจ พวกเขาย่อมจะยึดติดอยู่กับกฎข้อบังคับเท่านั้น ต่อให้เจ้ากระทำการสอดคล้องกับการจัดแจงจากเบื้องบนและไม่ล่วงเกินพระเจ้า เจ้าก็เพียงแต่ติดอยู่กับกฎข้อบังคับ และเจ้าจะไม่มีวันทำหน้าที่ได้ดี วิญญาณของผู้คนด้านชาและเอื่อยเฉื่อยไปหมดแล้วในตอนนี้ มีความละเอียดอ่อนหลายประการในความสัมพันธ์ของผู้คนกับพระเจ้า เช่น การได้รับการดลใจและได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณ แต่ผู้คนก็ไม่สามารถรู้สึกได้—พวกเขาด้านชาเกินไป! หากผู้คนไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าหรืออธิษฐาน ไม่เคยมีประสบการณ์กับเรื่องของชีวิตฝ่ายวิญญาณ และไม่สามารถควบคุมสภาวะของตนเองได้ พวกเขาก็ไม่มีหนทางที่จะรับรองได้ว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หากเจ้าต้องการที่จะใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า การไม่อธิษฐานก็เป็นอันยอมรับไม่ได้ และการไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าก็ยิ่งยอมรับไม่ได้เข้าไปใหญ่ การไม่ใช้ชีวิตคริสตจักรก็ยอมรับไม่ได้เช่นกัน หากคนเราผละจากพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาย่อมไม่เชื่อในพระองค์อีกต่อไป และการเดินไปจากการอธิษฐานก็คือการเดินออกห่างจากพระเจ้า การที่จะเชื่อในพระเจ้านั้น คนเราต้องอธิษฐาน หากไม่มีการอธิษฐาน ก็ไม่มีสภาพเสมือนของการเชื่อในพระเจ้า เราพูดมาตลอดว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับกฎข้อบังคับ และเจ้าอาจอธิษฐานได้ทุกที่และทุกเวลา—ดังนั้นจึงมีบางคนที่ไม่ค่อยอธิษฐาน พวกเขาไม่อธิษฐานในตอนเช้าเมื่อพวกเขาตื่น แต่แค่อ่านพระวจนะของพระเจ้าไม่กี่บทตอนและฟังเพลงนมัสการแทน ในช่วงระหว่างวัน พวกเขาก็ทำให้ตัวเองยุ่งอยู่กับกิจการงานภายนอก และพวกเขาไม่อธิษฐานก่อนที่พวกเขาจะล้มตัวลงนอนในตอนกลางคืน เรื่องที่ว่าหากเจ้าแค่อ่านพระวจนะของพระเจ้าและไม่อธิษฐาน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อคนหนึ่งที่อ่านพระวจนะของพระองค์โดยที่พระวจนะไม่ได้ซึมซาบเข้าไปเลย พวกเจ้าไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องจริงหรอกหรือ? หากผู้คนไม่อธิษฐาน เช่นนั้นแล้วหัวใจของพวกเขาก็จะไม่สามารถเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้าได้ และพวกเขาจะไม่ได้รับความรู้แจ้งจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจะไม่มีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนของวิญญาณ และวิญญาณของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการดลใจ พวกเขาด้านชาและเอื่อยเฉื่อย พวกเขาได้แต่สามัคคีธรรมในระดับที่ตื้นเขินเกี่ยวกับงานของคริสตจักรและการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น พวกเขาก็ไม่สามารถทำความเข้าใจความรู้สึกส่วนลึกสุดในหัวใจของพวกเขาได้ นี่ย่อมส่งผลต่อความสัมพันธ์ตามปกติของพวกเขากับพระเจ้ามิใช่หรือ? ในหัวใจของพวกเขาไม่มีพื้นที่ให้พระเจ้าแล้ว และแม้พวกเขาจะอธิษฐาน ก็ไม่มีถ้อยคำที่จะพูด และพวกเขาไม่สามารถรู้สึกถึงพระเจ้าได้ นี่ก็อันตรายมากแล้ว นี่หมายความว่าพวกเขาได้ออกห่างจากพระเจ้าไปไกลเต็มที อันที่จริง การปลีกตัวเข้ามาอยู่ในวิญญาณของตนเพื่ออธิษฐานนั้นไม่ทำให้หน้าที่การงานภายนอกของเจ้าหยุดชะงัก และจะไม่ทำให้สิ่งต่างๆ ล่าช้าเลย หากเกิดปัญหาขึ้นและไม่แก้ไข เช่นนั้นแล้วสิ่งต่างๆ ย่อมจะล่าช้า การอธิษฐานถึงพระเจ้าหมายที่จะแก้ปัญหา และทำให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้าและชื่นชมพระวจนะของพระองค์ได้ นี่ย่อมเป็นผลดีมากขึ้นต่อการลุล่วงหน้าที่ของผู้คนและต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา

ค.ศ. 1998

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger