ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (9) ตอนที่สาม
เนื่องจากพวกเรากำลังพูดถึงหัวข้อของการแต่งงาน พวกเราก็ควรเห็นว่าที่จริงแล้วคำจำกัดความและแนวคิดที่ถูกต้องแม่นยำของการแต่งงานคืออะไร ในเมื่อพวกเรากำลังพูดถึงคำจำกัดความและแนวคิดที่ถูกต้องแม่นยำของการแต่งงาน พวกเราก็ต้องหาคำตอบในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อให้คำจำกัดความและแนวคิดที่ถูกต้องของการแต่งงานตามทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสและทรงทำในเรื่องนี้ไว้แล้ว เพื่อแจกแจงสภาวะที่แท้จริงของการแต่งงาน และเพื่อแจกแจงเจตนาดั้งเดิมเบื้องหลังการทรงสร้างและการดำรงอยู่ของการแต่งงาน หากคนเราต้องการมองเห็นคำจำกัดความและแนวคิดของการแต่งงานให้ชัดเจน เช่นนั้นเขาก็ต้องเริ่มจากการดูที่บรรพบุรุษของมวลมนุษย์ก่อน อะไรคือเหตุผลในการเริ่มจากการดูที่บรรพบุรุษของมวลมนุษย์? มวลมนุษย์สามารถอยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบันก็เพราะการแต่งงานของบรรพบุรุษของพวกเขา รากเหง้าต้นตอของการมีผู้คนอยู่มากมายในปัจจุบันคือการแต่งงานระหว่างผู้คนที่พระเจ้าทรงสร้างในตอนต้นนั่นเอง ดังนั้น หากคนเราต้องการเข้าใจคำจำกัดความและแนวคิดที่ถูกต้องของการแต่งงาน เขาก็ต้องเริ่มจากการดูที่การแต่งงานของบรรพบุรุษของมวลมนุษย์ การแต่งงานของบรรพบุรุษของมวลมนุษย์เริ่มขึ้นเมื่อใด? การแต่งงานเริ่มขึ้นด้วยการสร้างมนุษย์ของพระเจ้า เรื่องนี้ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่มีหนังสือปฐมกาล พวกเราจึงต้องเปิดพระคัมภีร์และดูว่าบทตอนเหล่านี้กล่าวว่าอย่างไร ผู้คนส่วนมากสนใจในหัวข้อนี้หรือไม่? บรรดาผู้ที่แต่งงานแล้วอาจคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรให้พูดถึงด้วยซ้ำ คิดว่าหัวข้อนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก แต่คนหนุ่มสาวที่ยังโสดสนใจหัวข้อนี้เป็นพิเศษ เพราะพวกเขาคิดว่าการแต่งงานนั้นล้ำลึก และคิดว่ามีอีกหลายสิ่งที่พวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นมาเริ่มจากการพูดถึงรากเหง้ากัน ใครก็ได้อ่านปฐมกาลบทที่ 2 ข้อ 18 ที (“พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสว่า ‘การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้น’”) ต่อไป ปฐมกาลบทที่ 2 ข้อ 21-24 (“แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงทำให้ชายนั้นหลับสนิท ขณะที่เขาหลับอยู่ พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งของเขาออกมา แล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูก ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น ชายนั้นจึงว่า ‘นี่แหละ กระดูกจากกระดูกของเรา เนื้อจากเนื้อของเรา จะเรียกคนนี้ว่าหญิง เพราะคนนี้ออกมาจากชาย’ เพราะเหตุนั้นผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน”) ต่อไป ปฐมกาลบทที่ 3 ข้อ 16-19 (“พระองค์ตรัสแก่หญิงนั้นว่า ‘เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากมากขึ้นแก่เจ้า และเมื่อเจ้ามีครรภ์ เจ้าจะคลอดบุตรด้วยความเจ็บปวด ถึงกระนั้น เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า และเขาจะปกครองตัวเจ้า’ พระองค์จึงตรัสแก่ชายนั้นว่า ‘เพราะเหตุเจ้าเชื่อฟังคำพูดของภรรยา และกินผลจากต้นไม้ที่เราสั่งไม่ให้กินผลจากต้นนั้น แผ่นดินจึงต้องถูกสาปเพราะเจ้า เจ้าจะต้องหากินบนแผ่นดินด้วยความทุกข์ลำบากตลอดชีวิต ต้นไม้และพืชที่มีหนามจะงอกขึ้นบนดินแก่เจ้า และเจ้าจะกินพืชตามท้องทุ่ง เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้า จนเจ้ากลับไปเป็นดิน เพราะเจ้าถูกนำมาจากดิน และเพราะเจ้าเป็นผงคลีดิน และเจ้าจะกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม’”) พวกเราจะหยุดไว้ตรงนั้น ในบทที่สองมีอยู่ห้าข้อ และในบทที่สามมีอยู่สี่ข้อ เบ็ดเสร็จแล้วเป็นเก้าข้อของพระคัมภีร์ ทั้งเก้าข้อในปฐมกาลอธิบายสิ่งหนึ่ง นั่นคือ ที่มาของการแต่งงานของบรรพบุรุษมวลมนุษย์ มิได้เป็นเช่นนั้นหรือ? (เป็น) ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง? เจ้าเข้าใจความหมายโดยทั่วไปดีขึ้นเล็กน้อย และเจ้าสามารถจำได้หรือไม่? เรื่องหลักที่ถูกพูดถึงในที่นี้คืออะไร? (ที่มาของการแต่งงานของบรรพบุรุษมวลมนุษย์) แล้วที่จริงการนี้เกิดขึ้นอย่างไรกัน? (พระเจ้าทรงตระเตรียมไว้) ถูกต้อง นั่นคือสภาวะที่แท้จริงของการนี้ พระเจ้าทรงตระเตรียมการนี้ไว้ให้มนุษย์ พระเจ้าทรงสร้างอาดัม แล้วจึงสร้างคู่ชีวิตให้กับเขา เป็นคู่สมรสที่จะช่วยเหลือและอยู่เป็นเพื่อนเขา และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขา นี่คือต้นกำเนิดการแต่งงานของบรรพบุรุษของมวลมนุษย์ และเป็นต้อตอของการแต่งงานของมนุษย์ มิได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ? (เป็นเช่นนั้น) พวกเรารู้ถึงต้นตอของการแต่งงานของมนุษย์แล้ว นั่นก็คือ การนี้ได้รับการลิขิตจากพระเจ้า พระเจ้าทรงตระเตรียมคู่ชีวิตซึ่งอาจเรียกว่าคู่สมรสไว้ให้บรรพบุรุษของมวลมนุษย์ ผู้ซึ่งต่อมาจะช่วยเหลือและอยู่เป็นเพื่อนเขาไปตลอดชีวิต นี่เป็นต้นกำเนิดและเป็นต้นตอของการแต่งงานของมนุษย์ เพราะฉะนั้นเมื่อดูที่ต้นกำเนิดและต้นตอของการแต่งงานของมนุษย์ พวกเราควรเข้าใจการแต่งงานให้ถูกต้องอย่างไร? เจ้าจะบอกว่าการแต่งงานเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่? (ใช่) การแต่งงานศักดิ์สิทธิ์หรือ? การแต่งงานเกี่ยวอะไรกับความศักดิ์สิทธิ์? ไม่เกี่ยวเลย เจ้าไม่อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ การแต่งงานนั้นถูกจัดการเตรียมการและลิขิตโดยพระเจ้า มีต้นกำเนิดและต้นตอในการทรงสร้างของพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์คนแรก ผู้ซึ่งจำเป็นต้องมีคู่ชีวิตมาช่วยเหลือและอยู่เป็นเพื่อนเขา ใช้ชีวิตอยู่กับเขา ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงสร้างคู่ชีวิตให้กับเขา แล้วการแต่งงานของมนุษย์ก็ถือกำเนิด แค่นั้นเอง เป็นเรื่องเรียบง่ายเช่นนั้น นี่เป็นความเข้าใจขั้นพื้นฐานเรื่องการแต่งงานที่เจ้าควรมี การแต่งงานมาจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมการและทรงลิขิตไว้ อย่างน้อยที่สุดเจ้าสามารถกล่าวได้ว่าการแต่งงานไม่ใช่สิ่งที่เป็นลบ ทว่านี่เป็นสิ่งที่เป็นบวก สามารถกล่าวได้อย่างถูกต้องแม่นยำว่าการแต่งงานเป็นสิ่งที่เหมาะสม เป็นส่วนที่เหมาะสมในช่วงชีวิตของมนุษย์และภายในกระบวนการการดำรงอยู่ของมนุษย์ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย อีกทั้งไม่ใช่เครื่องมือหรือวิธีการเพื่อทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม นี่คือสิ่งที่เหมาะสมและเป็นบวกเพราะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างและถูกลิขิตโดยพระเจ้า และแน่นอนว่าพระองค์ทรงจัดการเตรียมการสิ่งนี้ การแต่งงานของมนุษย์เกิดขึ้นในการทรงสร้างของพระเจ้า และเป็นบางสิ่งที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการและทรงลิขิตด้วยพระองค์เอง ดังนั้นเมื่อมองการแต่งงานจากมุมนี้ ทัศนคติเดียวที่คนเราควรมีต่อการแต่งงานก็คือนี่เป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่เหมาะสมและเป็นบวก ไม่ใช่สิ่งที่เป็นลบ เลวร้าย เห็นแก่ตัว หรือมืดมน การแต่งงานไม่ใช่สิ่งที่มาจากมนุษย์ และไม่ได้มาจากซาตาน นับประสาอะไรกับการเกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ ในทางกลับกัน พระเจ้าได้ทรงสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ อีกทั้งได้ทรงจัดการเตรียมการ และทรงลิขิตสิ่งนี้โดยพระองค์เอง นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด นี่คือคำจำกัดความและแนวคิดดั้งเดิมที่ถูกต้องที่สุดของการแต่งงาน
ตอนนี้เจ้าเข้าใจแนวคิดและคำจำกัดความที่ถูกต้องของการแต่งงานที่ผู้คนควรมีแล้ว พวกเรามาดูกันว่า ความหมายเบื้องหลังการลิขิตและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าต่อการแต่งงานนั้นคืออะไร? เรื่องนี้ถูกพูดถึงในข้อพระคัมภีร์ที่พวกเราเพิ่งอ่านไป กล่าวคือ เหตุใดมนุษย์จึงมีการแต่งงาน พระดำริของพระเจ้าคืออะไร สถานการณ์และรูปการณ์แวดล้อมในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไร และพระเจ้าประทานการแต่งงานนี้แก่มนุษย์ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมรูปแบบใด พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสไว้เช่นนี้ว่า “การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้น” พระวจนะเหล่านี้กำลังกล่าวถึงสองสิ่ง สิ่งแรกคือ พระเจ้าทรงเห็นว่าชายผู้นี้โดดเดี่ยวเกินไปที่จะอยู่ลำพัง โดยไม่มีคู่ชีวิต และไม่มีใครให้พูดคุย หรือไม่มีเพื่อนที่จะแบ่งปันความสุขและความคิดทั้งหลายด้วย พระองค์ทรงเห็นว่าชีวิตของเขาจะแห้งแล้ง จืดชืด และไม่น่าสนใจ ดังนั้นพระองค์จึงเกิดพระดำริขึ้นว่า ผู้ชายหนึ่งคนเดียวนั้นค่อนข้างโดดเดี่ยว ดังนั้นเราต้องสร้างคู่ชีวิตให้เขา คู่ชีวิตคนนี้จะเป็นคู่สมรสของเขา เป็นคนที่จะอยู่กับเขาทุกหนทุกแห่งและช่วยเขาทำทุกสิ่งทุกอย่าง เธอจะเป็นคู่ชีวิตและเป็นคู่สมรสของเขา จุดประสงค์ของคู่ชีวิตก็เพื่อให้อยู่เคียงข้างเขาไปตลอดชีวิต เดินหน้าไปพร้อมกับเขาบนเส้นทางของชีวิตของเขา ไม่ว่าจะสิบปี ยี่สิบปี หนึ่งร้อยปี หรือสองร้อยปี คู่ชีวิตคนนี้จะเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเขา เป็นคนที่อยู่กับเขาทุกหนแห่ง คนที่จะพูดกับเขา แบ่งปันความสุข ความเจ็บปวด และทุกๆ อารมณ์กับเขา และในขณะเดียวกันก็คอยอยู่เป็นเพื่อนเขาและทำให้เขาไม่อ้างว้างหรือโดดเดี่ยว พระดำริและแนวพระดำริเหล่านี้ที่เกิดขึ้นในพระทัยของพระเจ้าคือรูปการณ์แวดล้อมของต้นตอการแต่งงานของมนุษย์ พระเจ้าทรงทำสิ่งอื่นๆ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ พวกเรามาดูบันทึกในพระคัมภีร์กัน “แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงทำให้ชายนั้นหลับสนิท ขณะที่เขาหลับอยู่ พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งของเขาออกมา แล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูก ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น” พระเจ้าทรงชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งจากชายคนนั้น และทรงหยิบร่างกายมนุษย์ขึ้นมา แล้วทรงใช้กระดูกซี่โครงนั้นสร้างเป็นคนอีกคนหนึ่ง บุคคลคนนี้ถูกสร้างขึ้นจากกระดูกซี่โครงของชายคนนั้น ถูกสร้างขึ้นมาจากกระดูกซี่โครงของเขา พูดง่ายๆ อย่างไม่เป็นทางการก็คือบุคคลนี้—ซึ่งเป็นคู่ชีวิตของอาดัม ถูกสร้างขึ้นจากเนื้อหนังและกระดูกที่ถูกชักออกมาจากร่างกายเขา ดังนั้นคนเราจึงสามารถกล่าวได้ไม่ใช่หรือว่าในฐานะที่เธอเป็นคู่ชีวิตของเขา เธอก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขาด้วย? (ใช่) พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เธอกำเนิดมาจากเขานั่นเอง หลังจากเธอถูกสร้างขึ้นมาแล้ว อาดัมเรียกเธอว่าอย่างไร? เรียกว่า “ผู้หญิง” อาดัมเป็นผู้ชาย ส่วนเธอเป็นผู้หญิง เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้มีเพศที่ต่างกัน พระเจ้าทรงสร้างบุคคลที่มีลักษณะทางกายภาพเป็นเพศชายขึ้นมาก่อน แล้วพระองค์ก็ทรงชักกระดูกซี่โครงจากชายผู้นั้นและสร้างบุคคลที่มีลักษณะทางกายภาพเป็นเพศหญิงขึ้นมา สองคนนี้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งถือเป็นการแต่งงาน แล้วการแต่งงานจึงถือกำเนิดขึ้นมา ดังนั้นไม่ว่าใครบางคนถูกเลี้ยงดูมาด้วยพ่อแม่แบบใด สุดท้ายแล้วพวกเขาทุกคนก็จำเป็นต้องแต่งงานและอยู่ร่วมกับคู่ชีวิตของพวกเขาภายใต้การลิขิตและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และเดินไปจนสุดทาง นี่คือการลิขิตของพระเจ้า ประการหนึ่งคือ เมื่อมองเรื่องนี้อย่างเป็นกลาง ผู้คนย่อมต้องการคู่ชีวิต อีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อมองเรื่องนี้ตามความรู้สึกส่วนตัว สามีและภรรยาก็ควรเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นคนคนเดียวกันที่ไม่สามารถแยกจากกันได้เนื่องจากการแต่งงานเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ นี่คือข้อเท็จจริงที่เป็นความคิดส่วนตนและข้อเท็จจริงที่เป็นความจริง ดังนั้น แต่ละคนจำเป็นต้องจากครอบครัวโดยกำเนิดของพวกเขา เข้าสู่การแต่งงาน และสร้างครอบครัวกับคู่ชีวิตของตน นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเหตุใด? เพราะสิ่งนี้ได้รับการลิขิตจากพระเจ้า และเป็นบางสิ่งที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการไว้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของมนุษย์ สิ่งนี้บอกอะไรแก่ผู้คน? ไม่ว่าเจ้าคิดฝันว่าคู่ชีวิตของเจ้าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนที่เจ้าต้องการและคาดหวังโดยส่วนตัวหรือไม่ และไม่ว่าภูมิหลังของพวกเขาเป็นเช่นไร คนที่เจ้าจะแต่งงานด้วย คนที่เจ้าจะสร้างครอบครัวและใช้ชีวิตนี้ไปด้วยกัน เป็นคนที่พระเจ้าทรงลิขิตและทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้าแล้วอย่างแน่นอน มิได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ? (เป็นเช่นนี้) เหตุผลของการนี้คืออะไร? (การลิขิตของพระเจ้า) เหตุผลก็คือการลิขิตของพระเจ้า เมื่อดูจากบริบทของชีวิตทั้งหลายที่ผ่านมา หรือดูจากทัศนคติของพระเจ้า สามีและภรรยาที่เข้าสู่การแต่งงานย่อมเป็นหนึ่งเดียวกันโดยแท้จริง ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงจัดการเตรียมการให้เจ้าแต่งงานและใช้ชีวิตกับคนที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับเจ้า พูดชัดๆ ก็คือ การแต่งงานเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าคนที่เจ้าแต่งงานด้วยจะเป็นคนรักในฝันของเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าเขาเป็นเจ้าชายรูปงามของเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าเขาเป็นคนที่เจ้าคาดหวังหรือไม่ ไม่ว่าเจ้ารักเขาหรือเขารักเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าพวกเจ้าแต่งงานไปโดยธรรมชาติจากโชคและความบังเอิญ หรือภายใต้รูปการณ์แวดล้อมบางอย่าง การแต่งงานของพวกเจ้าถูกลิขิตโดยพระเจ้า พวกเจ้าคือคู่ชีวิตที่พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้เพื่อกันและกัน เป็นคนที่พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้ให้อยู่เป็นเพื่อนกันและกัน และพระองค์ได้ทรงลิขิตไว้ให้ใช้ชีวิตนี้ด้วยกันและเดินจับมือกันไปจนถึงปลายทาง มิได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ? (เป็นเช่นนี้) พวกเจ้าคิดว่าความเข้าใจนี้ช่างอวดรู้หรือบิดเบี้ยวใช่หรือไม่? (ไม่) สิ่งนี้ไม่ใช่ทั้งอวดอ้างและบิดเบี้ยว บางคนกล่าวว่า “คุณอาจจะคิดผิดที่พูดแบบนี้ ถ้าการแต่งงานเหล่านี้ได้รับการลิขิตโดยพระเจ้าจริงๆ แล้วทำไมการแต่งงานบางครั้งถึงยังลงเอยด้วยการหย่าร้างเล่า?” นั่นเป็นเพราะความเป็นมนุษย์ของผู้คนเหล่านี้มีปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องที่แยกจากกัน ประเด็นนี้พาดพิงถึงเรื่องของการไล่ตามเสาะหาความจริง ซึ่งเราจะสามัคคีธรรมกันในภายหลัง ขณะนี้เมื่อพูดถึงคำจำกัดความ ความเข้าใจ และแนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงาน ข้อเท็จจริงก็คือมันเป็นเช่นนี้ ผู้คนบางคนกล่าวว่า “ในเมื่อพระองค์ตรัสว่าสามีและภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นนั้นก็เป็นอย่างที่ผู้ไม่มีความเชื่อกล่าวว่า ‘หากใช่ อย่างไรก็ใช่ และหากไม่ใช่ อย่างไรก็ไม่ใช่’ และเป็นอย่างที่ผู้คนจากบางชนชาติกล่าวว่า[ก] ‘ต้องทำกรรมดีหลายร้อยปีกว่าจะมีโอกาสลงเรือลำเดียวกันกับใครบางคน และทำกรรมดีหลายพันปีกว่าจะได้ร่วมหอลงโลงกัน’ มิใช่หรือ?” พวกเจ้าคิดว่าการแต่งงานที่พวกเรากำลังพูดถึงอยู่ตอนนี้ มีอะไรเกี่ยวข้องกับคำพูดเหล่านี้หรือไม่? (ไม่มี) คำพูดเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกัน การแต่งงานไม่ใช่สิ่งที่ถูกบ่มเพาะให้ดำรงอยู่—นี่เป็นสิ่งที่ได้รับการลิขิตจากพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงลิขิตให้คนสองคนกลายเป็นสามีภรรยากัน และกลายเป็นคู่ชีวิตของกันและกัน พวกเขาไม่จำเป็นต้องบ่มเพาะสิ่งนี้ให้แก่ตนเอง พวกเขาจะบ่มเพาะสิ่งใด? เส้นใยทางศีลธรรมหรือ? ความเป็นมนุษย์หรือ? พวกเขาไม่จำเป็นต้องบ่มเพาะด้วยตนเอง นั่นเป็นวิธีการพูดในแบบพุทธ ซึ่งไม่ใช่ความจริง และไม่เกี่ยวอะไรกับความจริงเลย การแต่งงานของมนุษย์ได้รับการจัดการเตรียมการและการลิขิตจากพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือลายลักษณ์อักษร คำจำกัดความหรือแนวคิด พวกเราควรเข้าใจการแต่งงานในหนทางนี้ เจ้ามีคำจำกัดความและแนวคิดเรื่องการแต่งงานที่ถูกต้องและสอดคล้องกับความจริงผ่านพระวจนะที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์และผ่านสามัคคีธรรมนี้ใช่หรือไม่? (ใช่) แนวคิดนี้ คำจำกัดความนี้ไม่ถูกบิดเบี้ยว นี่ไม่ใช่ทัศนคติแบบโลกสวย นับประสาอะไรกับการเข้าใจและถูกนิยามโดยอารมณ์ของมนุษย์ ในทางกลับกัน สิ่งนี้มีรากฐาน เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่บนพระวจนะและการกระทำของพระเจ้า ทั้งยังตั้งอยู่บนการจัดการเตรียมการและการลิขิตของพระองค์ เมื่อถึงจุดนี้แล้ว ทุกคนย่อมจับความเข้าใจและคำจำกัดความพื้นฐานของการแต่งงานได้แล้วใช่หรือไม่? (ใช่) ขณะนี้ที่เจ้าเข้าใจเรื่องนี้แล้ว เจ้าจะไม่ยึดติดกับเรื่องเพ้อฝันที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของความจริงเกี่ยวกับการแต่งงานอีกต่อไป หรือการพร่ำบ่นเกี่ยวกับการแต่งงานจะน้อยลงใช่หรือไม่? อาจมีบางคนที่กล่าวว่า “การแต่งงานเป็นสิ่งที่ได้รับการลิขิตจากพระเจ้า—ตรงนี้ไม่มีอะไรให้พูดถึง—แต่การแต่งงานที่พังไม่เป็นท่าเล่า ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องอะไรกัน?” ในเรื่องนี้มีเหตุผลอยู่มากมาย มวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม พวกเขาไม่สามารถมองทะลุแก่นแท้ของประเด็นปัญหา พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าความพึงพอใจทางตัณหาและความชอบส่วนตนจนถึงจุดของการสนับสนุนความเลวร้าย การแต่งงานของพวกเขาจึงพังไม่เป็นท่า นี่เป็นหัวข้อที่แยกต่างหาก ซึ่งพวกเราจะไม่พูดถึงไปมากกว่านี้
พวกเรามาพูดถึงการช่วยเหลือและการอยู่เป็นเพื่อนกันและกันในการแต่งงานเถิด พระเจ้าตรัสว่า “การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้น” บรรดาผู้ที่แต่งงานแล้วรู้ว่าการแต่งงานนำประโยชน์มากมายมาสู่ครอบครัวและสู่ชีวิตของคนคนหนึ่งอย่างที่พวกเขาไม่เคยคิดฝัน เดิมทีผู้คนโดดเดี่ยวและอ้างว้างมากยามที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง ไม่มีใครที่ไว้ใจได้ ไม่มีใครให้พูดคุยด้วย ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน ชีวิตแห้งแล้งและอับจนหนทางอย่างยิ่ง ทันทีที่พวกเขาแต่งงาน พวกเขาก็ไม่ต้องทนทุกข์กับความโดดเดี่ยวและความอ้างว้างนี้อีกต่อไป พวกเขามีคนที่วางใจได้ บางครั้งพวกเขาก็พรั่งพรูความทุกข์ระทมของตัวเองกับคู่ชีวิตของตน และบางครั้งพวกเขาก็แบ่งปันอารมณ์ต่างๆ และความชื่นบาน หรือแม้กระทั่งระบายความโกรธของตน บางครั้งพวกเขาก็พรั่งพรูความในใจแก่กันและกัน และชีวิตก็ดูน่าชื่นบานและมีความสุข พวกเขาเป็นคนที่ไว้วางใจของกันและกัน และพวกเขาเชื่อในกันและกัน ดังนั้นนอกจากไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว พวกเขายังได้รับประสบการณ์ความปีติยินดีเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ทั้งยังได้ชื่นชมความสุขของการมีคู่ชีวิต นอกจากภาวะอารมณ์ อารมณ์ และความรู้สึกนานาประการ รวมถึงความคิดต่างๆ ที่ต้องแสดงออก ผู้คนยังต้องเผชิญกับประเด็นปัญหามากมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในชีวิตประจำวันและในกระบวนการดำรงชีวิต ประเด็นปัญหาทั้งหลายเช่น สิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้า อาหาร และที่อยู่อาศัย ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าคนสองคนต้องการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน และพวกเขาจำเป็นต้องสร้างโกดังขนาดเล็กขึ้นมา ผู้ชายต้องเป็นคนก่ออิฐ เรียงก้อนอิฐเพื่อก่อกำแพง และผู้หญิงก็สามารถช่วยเหลือเขาได้โดยการยื่นอิฐให้เขาและผสมปูน หรือซับเหงื่อและหาน้ำให้เขาดื่ม พวกเขาสองคนต่างพูดคุยและหัวเราะไปด้วยกัน และเขาก็มีผู้ช่วย ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดี งานเสร็จสิ้นก่อนที่ฟ้าจะมืดเสียด้วยซ้ำ การนี้เหมือนอุปรากรจีนโบราณที่ชื่อ “คู่รักธิดาสวรรค์” พรรณนาว่า “ข้าตักน้ำ ส่วนเจ้ารดน้ำในสวน” มีอะไรอีก? (“ท่านไถนาและข้าทอผ้า”) ถูกต้อง คนหนึ่งทอผ้าในขณะที่อีกคนไถนา คนหนึ่งเป็นนายหญิงในบ้าน อีกคนหนึ่งเป็นนายท่านนอกบ้าน การใช้ชีวิตในหนทางนี้นับว่าดีทีเดียว คนเราสามารถเรียกการนี้ได้ว่าการส่งเสริมกันอย่างลงตัว หรือการอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ในชีวิตนั้น ทักษะของฝ่ายชายแสดงทักษะของตนด้วยวิธีนี้ และในส่วนที่เขาขาดพร่องหรือขาดทักษะก็ได้รับการชดเชยจากฝ่ายหญิง สำหรับจุดอ่อนของฝ่ายหญิง ฝ่ายชายก็ให้อภัยเธอ ช่วยเหลือเกื้อกูลเธอ และเธอยังได้แสดงจุดแข็งของตนเอง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ชายในครอบครัวด้วย สามีและภรรยาต่างทำหน้าที่ของตน เรียนรู้จากจุดแข็งของแต่ละฝ่ายเพื่อชดเชยจุดอ่อนของตนเอง และร่วมกันปกป้องความปรองดองในครอบครัว รวมถึงชีวิตและความอยู่รอดของทั้งครอบครัว แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่ามิตรภาพก็คือ ทั้งสองคนต่างเกื้อหนุนและช่วยเหลือกันและกันไปตลอดชีวิต ผ่านวันเวลาไปด้วยดีไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวยก็ตาม โดยสรุปแล้วดังที่พระเจ้าตรัสว่า การที่ผู้ชายอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี ดังนั้นพระองค์จึงทรงจัดการเตรียมการแต่งงานแทนมนุษย์—ให้ผู้ชายตัดฟืนและทำงานในเรือกสวนไร่นา ส่วนผู้หญิงทำอาหาร ทำความสะอาด ซ่อมแซม และคอยดูแลทั้งครอบครัว แต่ละคนทำงานของตนเองเป็นอย่างดี ทำในสิ่งที่พวกเขาแต่ละคนจำเป็นต้องทำในชีวิต และวันเวลาของพวกเขาก็ผ่านไปอย่างมีความสุข ชีวิตของมนุษย์ค่อยๆ พัฒนาออกไปสู่ภายนอกจนครอบคลุมทั้งหมดจากจุดนี้จุดเดียว โดยมนุษย์ได้สืบพันธุ์และเพิ่มจำนวนมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นการแต่งงานจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งต่อมวลมนุษย์ในภาพรวม—จำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาของพวกเขา และจำเป็นอย่างยิ่งต่อพวกเขาในฐานะปัจเจกบุคคล ความหมายที่แท้จริงของการแต่งงานไม่ใช่แค่เพื่อเพิ่มจำนวนเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเพื่อให้พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการคู่ชีวิตให้กับผู้ชายและผู้หญิงแต่ละคน เป็นคนที่จะอยู่เป็นเพื่อนกันไปในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต ไม่ว่าในเวลาที่ลำบากยากเย็นหรือเจ็บปวด หรือสบายอกสบายใจ ชื่นบานยินดี และมีความสุข—ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว พวกเขามีใครบางคนที่วางใจได้ เป็นคนที่มีความคิดและหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา และแบ่งปันความโศกเศร้า ความเจ็บปวด ความสุข และความชื่นบานยินดีไปกับพวกเขา นี่คือความหมายเบื้องหลังการที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการการแต่งงานแก่ผู้คน และเป็นความต้องการส่วนบุคคลของมนุษย์แต่ละคน ในเวลาที่พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์นั้น พระองค์ไม่ต้องประสงค์ให้พวกเขาอยู่เพียงลำพัง ดังนั้นพระองค์จึงทรงจัดการเตรียมการการแต่งงานให้พวกเขา ในการแต่งงาน ผู้ชายและผู้หญิงต่างมีบทบาทแตกต่างกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาได้อยู่เป็นเพื่อนกันและเกื้อหนุนกันและกัน ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างดี รวมถึงก้าวเดินบนถนนแห่งชีวิตด้วยดี ประการหนึ่งคือพวกเขาสามารถอยู่เป็นเพื่อนกัน และอีกประการหนึ่งคือพวกเขาสามารถเกื้อหนุนกันและกันได้—นี่คือความหมายและความจำเป็นในการดำรงอยู่ของการแต่งงาน แน่นอนว่านี่เป็นความเข้าใจและท่าทีที่ผู้คนพึงมีต่อการแต่งงาน ทั้งยังเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่พวกเขาควรลุล่วงในเรื่องของการแต่งงานอีกด้วย
พวกเรามาย้อนกลับไปดูที่ปฐมกาลบทที่ 3 ข้อ 6 กันเถิด พระเจ้าตรัสกับผู้หญิงว่า “เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากมากขึ้นแก่เจ้า และเมื่อเจ้ามีครรภ์ เจ้าจะคลอดบุตรด้วยความเจ็บปวด ถึงกระนั้น เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า และเขาจะปกครองตัวเจ้า” นี่เป็นหน้าที่ที่พระเจ้าประทานแก่เพศหญิง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นคำบัญชาด้วย โดยพระองค์ทรงลิขิตบทบาทที่ผู้หญิงจะแสดงในการแต่งงาน และเป็นความรับผิดชอบที่เธอจะรับเอาไป ผู้หญิงต้องให้กำเนิดบุตร ซึ่งในแง่หนึ่งเป็นการลงโทษต่อการฝ่าฝืนครั้งก่อนของเธอ และในอีกแง่หนึ่งเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของการแต่งงานที่เธอควรจะยอมรับในฐานะผู้หญิง เธอจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตร และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เธอจะให้กำเนิดบุตรด้วยความระทมทุกข์ ด้วยเหตุนี้หลังจากเข้าสู่การแต่งงานแล้ว ผู้หญิงไม่ควรปฏิเสธการมีลูกเพราะกลัวความทุกข์ นี่เป็นความผิดพลาด การตั้งครรภ์เป็นความรับผิดชอบที่เจ้าพึงยอมรับ เพราะฉะนั้นหากเจ้าต้องการมีใครบางคนมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ช่วยเหลือเจ้าในชีวิต เช่นนั้นเจ้าต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบและภาระผูกพันอันดับแรกที่เจ้าต้องรับไว้กับตัวเมื่อเข้าสู่การแต่งงาน หากมีผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวว่า “ฉันไม่อยากตั้งท้อง” เช่นนั้นผู้ชายย่อมจะกล่าวว่า “ถ้าคุณไม่อยากตั้งท้อง ผมก็ไม่ต้องการคุณ” หากเจ้าไม่ต้องการทนทุกข์เพราะความเจ็บปวดของการให้กำเนิดบุตร เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรแต่งงาน เจ้าไม่ควรเข้าสู่การแต่งงาน เจ้าไม่คู่ควรกับการนี้ ในเรื่องของการเข้าสู่การแต่งงาน สิ่งแรกที่เจ้าพึงกระทำในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งคือการมีลูก และยิ่งไปกว่านั้นคือการทนทุกข์ หากเจ้าไม่สามารถทำอย่างนี้ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรเข้าสู่การแต่งงาน แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าเจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้หญิง แต่อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ไม่อาจลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าในฐานะผู้หญิง การตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรเป็นข้อพึงประสงค์แรกที่มีต่อผู้หญิง ข้อพึงประสงค์ที่สองคือ “เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า และเขาจะปกครองตัวเจ้า” การเป็นคู่ชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง—ในฐานะผู้หญิง การแต่งงานกับผู้ชายพิสูจน์ว่าเจ้าคือคู่ชีวิตของเขา และเมื่อพูดตามหลักความเชื่อในระดับหนึ่งว่าเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของเขา ดังนั้นหัวใจของเจ้าจึงต้องมีความปรารถนาต่อเขา นั่นหมายความว่าเขาต้องอยู่ในหัวใจของเจ้า เมื่อเขาอยู่ในหัวใจของเจ้าแล้วเท่านั้นเจ้าจึงสามารถดูแลเขาและอยู่เป็นเพื่อนเขาได้อย่างเต็มใจ แม้ยามที่สามีของเจ้าล้มป่วย ยามที่เขาเผชิญความลำบากยากเย็นและความพ่ายแพ้ หรือยามที่เขาเผชิญกับความล้มเหลว เผชิญกับการสะดุด หรือความขุ่นข้องหมองใจต่อผู้คนหรือต่อชีวิตของเขาเอง เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงสามารถลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตนในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ทะนุถนอมเขา ให้คุณค่ากับเขา ดูแลเขา เตือนสติเขา ชูใจเขา รวมถึงแนะนำและหนุนใจเขาด้วยวิธีการอย่างผู้หญิงคนหนึ่ง นี่คือมิตรภาพที่เป็นจริงซึ่งดีกว่า มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่การแต่งงานของเจ้าจะมีความสุข และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจึงจะสามารถลุล่วงความรับผิดชอบตามแบบฉบับผู้หญิงของตนได้ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบที่พ่อแม่ของเจ้าไว้วางใจมอบหมายให้เจ้า ทว่ามาจากพระเจ้า นี่เป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ผู้หญิงคนหนึ่งพึงลุล่วง ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง นี่คือหนทางที่เจ้าพึงยอมรับ นี่คือหนทางที่เจ้าควรปฏิบัติและเอาใจใส่ดูแลสามีของเจ้า นี่เป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของเจ้า หากผู้หญิงคนหนึ่งไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ เธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี และแน่นอนว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ได้รับการยอมรับ เพราะเธอล้มเหลวแม้กระทั่งการทำตามข้อพึงประสงค์ขั้นต่ำที่สุดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้หญิง กล่าวคือ “เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า” เจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) ในฐานะคู่ชีวิตของชายคนหนึ่ง เจ้าสามารถชื่นชูและดูแลสามีของเจ้าได้ในยามที่สิ่งทั้งหลายราบรื่น ในยามที่เขามีเงินและอำนาจ ในยามที่เขาเชื่อฟังและดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ในยามที่เขาทำให้เจ้ามีความสุขและพึงพอใจในทุกสิ่ง แต่เมื่อเขาเผชิญกับความลำบากยากเย็น ความเจ็บป่วย ความคับข้องใจ ความล้มเหลว ความท้อแท้ หรือความผิดหวัง เมื่อสิ่งทั้งหลายไม่เป็นไปอย่างที่เขาต้องการ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่สามารถลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ผู้หญิงคนหนึ่งพึงลุล่วง ไม่สามารถชูใจเขาได้อย่างจริงใจ เตือนสติเขา หนุนใจเขา หรือเกื้อหนุนเขาได้ ในกรณีนี้เจ้าไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี เพราะเจ้าไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของผู้หญิงคนหนึ่ง และเจ้าไม่ใช่คู่ชีวิตที่ดีสำหรับผู้ชายคนหนึ่ง ดังนั้นคนเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าผู้หญิงเช่นนั้นเป็นผู้หญิงไม่ดี? เรียกว่า “ไม่ดี” คงเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุด เจ้าไม่มีมโนธรรมและเหตุผลที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ ซึ่งคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมี—เจ้าคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ไร้ความเป็นมนุษย์ มิได้เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ? (เป็นเช่นนั้น) พวกเราพูดถึงข้อพึงประสงค์ที่มีต่อผู้หญิงจบแล้ว พระเจ้าได้ตรัสถึงความรับผิดชอบของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีต่อสามีของเธอ ซึ่งก็คือ “เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า” คำว่า “ปรารถนา” นี้ไม่ใช่เรื่องของความรักหรือความรักใคร่เอ็นดู ทว่าคำนี้หมายความว่าเขาต้องอยู่ในหัวใจของเจ้า เขาต้องเป็นที่รักของเจ้า เจ้าต้องปฏิบัติต่อเขาในฐานะคนที่เจ้ารัก ในฐานะคู่ชีวิตของเจ้า เขาคือคนที่เจ้าต้องทะนุถนอม อยู่เป็นเพื่อน และเอาใจใส่ เป็นคนที่เจ้าต้องดูแลกันและกันไปจนสิ้นชีวิต เจ้าต้องดูแลและเชิดชูเขาเป็นสิ่งล้ำค่าด้วยหัวใจทั้งหมดของเจ้า นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “ปรารถนา” แน่นอนว่าเมื่อพระเจ้าตรัสในที่นี้ว่า “เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า” วลีที่ว่า “จะยังปรารถนา” คือหลักคำสอนที่ประทานต่อผู้คน ในฐานะผู้หญิงที่มีความเป็นมนุษย์และเป็นผู้หญิงที่เป็นที่ยอมรับ เจ้าจึงควรมีความปรารถนาอยู่ที่สามีของตน นอกจากนี้ พระเจ้ามิได้ทรงบอกให้เจ้าปรารถนาทั้งต่อสามีของตนและต่อชายอื่น พระเจ้ามิได้ตรัสเช่นนี้ใช่หรือไม่? (พระองค์มิได้ตรัสเช่นนี้) พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ผู้หญิงสัตย์ซื่อต่อสามีของเธอ และเป็นคนเดียวในหัวใจของเธอ คนเดียวที่เธอมุ่งมาดปรารถนาคือสามีของเธอ พระองค์ไม่ต้องประสงค์ให้เธอเปลี่ยนคนที่เธอรู้สึกรักใคร่ไปมา หรือทำตัวสำส่อน ไม่สัตย์ซื่อต่อสามีของตน หรือปรารถนาผู้อื่นที่อยู่นอกการแต่งงานของเธอ ในทางกลับกัน พระองค์ทรงต้องการให้เธอปรารถนาคนที่เธอแต่งงานและใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกัน ชายผู้นี้คือคนที่เจ้าควรมุ่งปรารถนาโดยแท้จริง เขาคือคนที่เจ้าควรใช้ความอุตสาหะพยายามทั้งชีวิตไปกับการดูแล เชิดชูว่าล้ำค่า เอาใจใส่ อยู่เป็นเพื่อน ช่วยเหลือ และเกื้อหนุน เจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) นี่เป็นสิ่งดีมิใช่หรือ? (ใช่) สิ่งดีๆ ประเภทนี้ปรากฏอยู่ในหมู่นกและสัตว์ปีก และอยู่ท่ามกลางอาณาจักรของสรรพสัตว์ที่เหลือ แต่สิ่งนี้แทบไม่ปรากฏอยู่ในหมู่มนุษย์—เจ้าย่อมเห็นได้ว่าซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามอย่างหนักเพียงไร! พวกเราได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับภาระผูกพันขั้นพื้นฐานที่สุดที่ผู้หญิงคนหนึ่งพึงลุล่วงในการแต่งงานอย่างชัดเจนแล้ว รวมถึงหลักธรรมที่เธอควรปฏิบัติต่อสามีของตน นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นอีก นั่นก็คือ การแต่งงานที่พระเจ้าทรงลิขิตและทรงจัดการเตรียมการนั้นเป็นการมีคู่สมรสคนเดียว พวกเราจะหาข้อมูลพื้นฐานของเรื่องนี้ได้จากส่วนใดในพระคัมภีร์? พระเจ้าทรงชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งจากร่างกายของผู้ชายเพื่อสร้างผู้หญิง—พระองค์ไม่ได้ทรงชักกระดูกซี่โครงจากมนุษย์เกินหนึ่งซี่เพื่อสร้างผู้หญิงหลายคน พระเจ้าทรงสร้างผู้หญิงคนเดียวเท่านั้น จึงกล่าวได้ว่า พระเจ้าทรงสร้างผู้หญิงเพียงคนเดียวให้กับผู้ชายเพียงคนเดียวที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น นี่ย่อมหมายความว่าผู้ชายคนนี้มีคู่ชีวิตเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ผู้ชายคนนี้มีคู่ชีวิตเพียงหนึ่งเดียว และผู้หญิงคนนี้ก็มีคู่ชีวิตเพียงหนึ่งเดียว นอกจากนี้ ในเวลาเดียวกันพระเจ้าได้ทรงตักเตือนหญิงผู้นี้ด้วยว่า “เจ้าจะยังปรารถนาในสามีของเจ้า” ใครคือสามีของเจ้า? คนที่เจ้าเข้าสู่การแต่งงานด้วยนั่นเอง ไม่ใช่ใครอื่น ไม่ใช่คนรักลับๆ ของเจ้า และไม่ใช่คนต้นแบบที่มีชื่อเสียงที่เจ้าชื่นชู อีกทั้งไม่ใช่เจ้าชายรูปงามในฝันของเจ้า นี่คือสามีของเจ้า และเจ้ามีเพียงคนเดียวเท่านั้น นี่คือการแต่งงานที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้—การมีคู่สมรสคนเดียว การนี้แฝงอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าใช่หรือไม่? (ใช่) พระเจ้าตรัสว่า “การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้น” พระเจ้ามิได้ตรัสว่าพระองค์จะทรงสร้างคู่อุปถัมภ์ให้เจ้า 2-3 คนหรือมากกว่านั้น นั่นไม่จำเป็น คนเดียวก็เพียงพอแล้ว พระเจ้าไม่ได้ตรัสด้วยว่าผู้หญิงหนึ่งคนควรแต่งงานกับสามีหลายคน หรือผู้ชายหนึ่งคนควรมีภรรยาหลายคน พระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างคู่สมรสหลายคนให้กับผู้ชายหนึ่งคน และพระองค์ก็ไม่ได้ทรงชักกระดูกซี่โครงจากผู้ชายหลายคนมาสร้างเป็นผู้หญิงหลายคน ดังนั้นคู่สมรสของผู้ชายคนหนึ่งจึงเป็นได้แค่ผู้หญิงที่ถูกสร้างขึ้นจากกระดูกซี่โครงของเขาเองเท่านั้น นี่มิใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ? (เป็นข้อเท็จจริง) แล้วในภายหลังของการพัฒนามวลมนุษย์ การมีภรรยาหลายคนก็ถือกำเนิดขึ้น เช่นเดียวกับการมีสามีหลายคน การแต่งงานเช่นนั้นผิดปกติ และไม่ใช่การแต่งงานโดยสิ้นเชิง นี่เป็นการผิดประเวณีทั้งสิ้น มีข้อยกเว้นสำหรับรูปการณ์แวดล้อมอันเป็นเอกลักษณ์อยู่เพียงไม่กี่ประการ อย่างเช่น ผู้ชายเสียชีวิตและภรรยาของเขาแต่งงานใหม่ การนี้ถูกลิขิตและจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า ซึ่งถือว่าได้รับอนุญาตแล้ว โดยสรุปคือ การแต่งงานคงไว้ซึ่งการมีคู่สมรสคนเดียวเสมอ มิได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ? (เป็นเช่นนี้) จงดูโลกแห่งธรรมชาติเถิด ห่านป่ามีคู่ครองเพียงตัวเดียว หากมนุษย์ฆ่าห่านตัวหนึ่งทิ้ง ห่านอีกตัวจะไม่มีวัน “แต่งงานใหม่” อีกเลย—มันจะกลายเป็นห่านที่ไร้คู่ มีคำกล่าวว่าเวลาฝูงห่านบิน โดยปกติแล้วตัวที่บินนำหน้ามักเป็นห่านที่ไร้คู่ ชีวิตของห่านที่ไร้คู่นั้นยากลำบาก มันต้องทำสิ่งต่างๆ ที่ห่านตัวอื่นในฝูงไม่เต็มใจทำ เวลาที่ห่านตัวอื่นกำลังกินอาหารหรือพักผ่อน มันก็ต้องรับผิดชอบดูแลความปลอดภัยให้กับห่านที่เหลือในฝูง มันไม่สามารถกินและนอนได้ มันต้องจดจ่ออยู่ความปลอดภัยรอบตัวเพื่อปกป้องฝูง มีหลายสิ่งที่มันไม่สามารถทำได้ มันได้แต่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่สามารถมีรักใหม่ได้ มันไม่สามารถมีคู่อีกได้ตราบจนชั่วชีวิต ห่านป่ารักษากฎเกณฑ์ที่พระเจ้าลิขิตไว้ให้พวกมันเสมอ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาจนกระทั่งปัจจุบัน แต่มนุษย์กลับตรงกันข้าม เหตุใดมนุษย์จึงตรงกันข้ามเหลือเกิน? เพราะมนุษย์เป็นพวกที่ซาตานทำให้เสื่อมทราม และเพราะพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในความเลวร้ายและความสำส่อน พวกเขาไม่สามารถอยู่อย่างมีคู่สมรสคนเดียวได้ และพวกเขาก็ไม่สามารถค้ำจุนบทบาทในการแต่งงานของตนหรือรักษาความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่พวกเขาพึงกระทำได้ เรื่องนั้นไม่จริงหรอกหรือ? (จริง)
เชิงอรรถ:
ก. ข้อความต้นฉบับไม่มีวลี “และเป็นอย่างที่ผู้คนจากบางชนชาติกล่าวว่า”
Scripture quotations are from The Holy Bible-Thai Standard Version, copyright © 2014 by Thailand Bible Society. Used by permission. All rights reserved.
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ