ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (9) ตอนที่สอง

มีอีกหนึ่งประเด็นเกี่ยวกับการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน บางคนกล่าวว่า “ตอนนี้พระองค์ตรัสถึงการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน—นี่เป็นเพราะเวลานั้นใกล้เข้ามา นี่คือยุคสุดท้าย และความวิบัติมาถึง และเพราะวันแห่งพระเจ้าก็ได้มาถึงแล้ว พระองค์จึงทรงมีพระประสงค์ให้ผู้คนปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขาใช่หรือไม่?” เป็นเช่นนั้นหรือไม่? (ไม่ใช่) คำตอบนี้เป็นลบ ไม่ใช่! ดังนั้นพวกเรามาพูดถึงเหตุผลจำเพาะกันดีกว่า ในเมื่อคำตอบคือไม่ใช่ แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมมีประเด็นโดยละเอียดบางประการที่จำเป็นต้องได้รับการสามัคคีธรรมและทำความเข้าใจ พวกเรามาพูดคุยเรื่องนี้กันเถิด เมื่อสองพันปีก่อน หรือแม้แต่เมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา สภาพแวดล้อมทางสังคมทั้งหมดแตกต่างจากปัจจุบัน กล่าวคือ สภาวะของกิจธุระของมวลมนุษย์ต่างจากทุกวันนี้ สภาพแวดล้อมในชีวิตของพวกเขาเป็นระเบียบมาก โลกไม่เลวร้ายอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สังคมมนุษย์ไม่วุ่นวายอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ และไม่มีความวิบัติ ผู้คนยังจำเป็นต้องปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขาอยู่หรือไม่? (จำเป็น) ทำไมเล่า? จงให้เหตุผลและพูดถึงความรู้จำเพาะของพวกเจ้าเถิด (ขณะนี้ที่มวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม พวกเขาจึงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน ดังนั้นในยามที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติและความอยากได้อยากมีของตน ทั้งหมดจึงเป็นไปเพื่อการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ เพราะพวกเขาไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ พวกเขาจึงดิ้นรนและต่อสู้กันเอง สู้เพื่อชีวิตและความตาย ผลก็คือพวกเขาถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามหนักยิ่งกว่าเดิม สูญเสียรูปลักษณ์ของความเป็นมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังห่างออกจากพระเจ้ามากขึ้นทุกที นั่นทำให้คนเราสามารถเห็นได้ว่าเส้นทางของการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติและความอยากได้อยากมีนั้นผิดพลาด ดังนั้นการที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ผู้คนปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขาจึงไม่ใช่เพราะวันแห่งพระเจ้าใกล้เข้ามา ในทางกลับกัน ผู้คนไม่ควรไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่แรก พวกเขาควรไล่ตามเสาะหาอย่างถูกต้องตามพระวจนะของพระเจ้า) พวกเจ้าคิดว่าการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คนคือหลักธรรมในการปฏิบัติใช่หรือไม่? (ใช่) การปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คนคือความจริงใช่หรือไม่? เป็นข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ใช่หรือไม่? (ใช่) นี่คือความจริง คือข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นหนทางที่ผู้คนควรเดินตามใช่หรือไม่? (ใช่) ในเมื่อนี่คือความจริง คือข้อพึงประสงค์จำเพาะที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ และเป็นหนทางที่ผู้คนควรเดินตาม การนี้จึงต่างกันที่เวลาและภูมิหลังใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) ทำไมไม่ใช่เล่า? เพราะความจริง ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และหนทางของพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของเวลา สถานที่ หรือสภาพแวดล้อม ไม่ว่าเวลาใด ไม่ว่าสถานที่ใด และไม่ว่าพื้นที่ใด ความจริงย่อมเป็นความจริงเสมอ และมาตรฐานที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ต่อมนุษย์ย่อมไม่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งมาตรฐานที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ต่อผู้ติดตามของพระองค์ด้วย ดังนั้นสำหรับผู้ติดตามพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าเวลา สถานที่ หรือบริบทใด หนทางของพระเจ้าที่พวกเขาควรเดินตามย่อมไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้น การพึงให้ผู้คนปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขาในยุคปัจจุบันจึงไม่ใช่ข้อพึงประสงค์ที่วางไว้ให้มนุษย์เพียงเพราะเวลาใกล้เข้ามาหรือเพราะยุคสุดท้ายมาถึงแล้ว อีกทั้งไม่ใช่เพราะเวลาเหลือน้อยและความวิบัติใหญ่หลวง และไม่ใช่เพราะความกลัวว่ามนุษย์จะร่วงลงสู่ความวิบัติจึงมีข้อพึงประสงค์เร่งด่วนดังกล่าวต่อมนุษย์ จึงพึงให้พวกเขามีส่วนร่วมในครรลองของการปฏิบัติตนที่สุดขีดและสุดโต่งเพื่อที่จะสัมฤทธิ์การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงโดยเร็วที่สุด การนี้มิใช่เหตุผล เช่นนั้นแล้วเหตุผลคืออะไร? ไม่ว่าในเวลาใด ไม่ว่าสองถึงสามร้อยหรือสองถึงสามพันปีก่อน—แม้กระทั่งในปัจจุบัน—ข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ในเรื่องนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ว่าเมื่อสองสามพันปีที่แล้ว หรือแม้กระทั่งช่วงเวลาใดก็ตามก่อนจะถึงวันนี้ พระเจ้าไม่ได้ทรงเผยแพร่พระวจนะเหล่านี้ต่อมวลมนุษย์อย่างเปิดเผยโดยละเอียด แต่ข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์นั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยไม่ว่าในเวลาใดก็ตาม เริ่มตั้งแต่มนุษย์มีการเก็บบันทึก ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าต่อพวกเขาก็ไม่เคยให้พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าโลกอย่างแข็งขัน หรือทำให้อุดมคติและความอยากได้อยากมีของพวกเขาในโลกนี้เป็นจริง ข้อพึงประสงค์เดียวที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาคือให้ฟังพระวจนะของพระองค์ เดินตามหนทางของพระองค์ ไม่จมปลักกับโลก และไม่ไล่ตามโลก ปล่อยให้ผู้คนบนโลกใบนี้จัดการเรื่องทางโลก ปล่อยให้พวกเขาทำสิ่งเหล่านี้ให้สมบูรณ์ คนเหล่านั้นไม่เกี่ยวอะไรกับบรรดาผู้ที่เชื่อและติดตามพระเจ้า สิ่งเดียวที่ผู้เชื่อในพระเจ้าจำเป็นต้องทำคือเดินตามหนทางของพระเจ้าและติดตามพระองค์ การเดินตามหนทางของพระเจ้าเป็นบางสิ่งที่ผู้เชื่อและผู้ติดตามพระเจ้าต้องทำเป็นหน้าที่ เรื่องนี้ไม่มีความแตกต่างไปตามกาลเวลา สถานที่ หรือภูมิหลัง แม้แต่ในอนาคตเมื่อมวลมนุษย์ได้รับการช่วยให้รอดและเข้าสู่ยุคถัดไป ข้อพึงประสงค์นี้ก็จะไม่เปลี่ยนแปลง การฟังพระวจนะของพระเจ้าและการเดินตามหนทางของพระองค์เป็นการปฏิบัติจำเพาะและเป็นท่าทีที่ผู้ติดตามพระเจ้าพึงมีต่อพระองค์ มีเพียงการฟังพระวจนะของพระเจ้าและการเดินตามหนทางของพระองค์เท่านั้นที่ผู้คนจะสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้สำเร็จ ดังนั้น การที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ผู้คนปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขาจึงไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเวลา และไม่ได้เกิดขึ้นเพราะสภาพแวดล้อมหรือภูมิหลังอันเป็นเอกลักษณ์ ในทางกลับกัน ตราบเท่าที่มนุษย์ดำรงอยู่ ต่อให้พระเจ้าไม่ได้ประทานพระวจนะแก่พวกเขาอย่างชัดเจน พระองค์ก็ได้ทรงกำหนดมาตรฐานและหลักธรรมนี้ต่อพวกเขาเสมอ ไม่ว่ามีผู้คนสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้กี่คน สามารถปฏิบัติพระวจนะของพระองค์ได้กี่คน หรือพวกเขาสามารถเข้าใจพระวจนะของพระองค์ได้มากเพียงไร ข้อพึงประสงค์จากพระเจ้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง จงดูในพระคัมภีร์ที่มีการบันทึกถึงผู้คนอันเป็นเอกลักษณ์ในช่วงเวลาพิเศษซึ่งพระเจ้าทรงเลือกสรรเอาไว้—อย่างเช่นโนอาห์ อับราฮัม อิสอัค โยบ และอีกมากมาย ข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขา หนทางที่พวกเขาติดตาม เป้าหมายและทิศทางในชีวิตของพวกเขา รวมไปถึงเป้าหมายในการไล่ตามเสาะหาและครรลองจำเพาะในการปฏิบัติตนที่พวกเขาใช้เพื่อชีวิตและความอยู่รอด ทั้งหมดนั้นแสดงให้เห็นถึงข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ สิ่งใดคือข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์? การที่ผู้คนต้องปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของตนก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) ไม่ว่าเป็นวิญญาณหรือในรูปกาย พวกเขาก็ต้องหลบเลี่ยงมวลมนุษย์ที่เลวร้าย วุ่นวาย และเอะอะเอ็ดตะโร รวมถึงหลบเลี่ยงกระแสที่เลวร้าย วุ่นวาย และอึกทึกของคนเหล่านั้น เมื่อก่อนมีคำพูดหนึ่งที่ไม่เหมาะสมนัก—นั่นคือคำว่า “ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์” ในความเป็นจริง ความหมายของคำนี้ก็คือการพึงให้เจ้าปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของตน—เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้ากลายเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ หรือไม่ให้ทำสิ่งทั้งหลายที่ผู้ไม่มีความเชื่อทำ หรือไม่ให้วิ่งตามการไล่ตามไขว่คว้าของผู้ไม่มีความเชื่อ และทำให้เจ้าไล่ตามเสาะหาสิ่งทั้งหลายที่ผู้เชื่อพึงกระทำแทน นั่นคือความหมายของการนี้ ดังนั้นเมื่อคนบางคนกล่าวว่า “นี่เป็นเพราะเวลาใกล้เข้ามา นี่คือยุคสุดท้าย และความวิบัติมาถึงแล้ว พระเจ้าจึงมีพระประสงค์ให้ผู้คนปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขาใช่หรือไม่?” คำตอบของคำถามนี้ควรเป็นเช่นไร? สิ่งที่ควรตอบก็คือ ข้อพึงประสงค์ใดก็ตามที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ล้วนเป็นความจริง และเป็นหนทางที่ผู้คนควรเดินตาม ข้อพึงประสงค์เหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนไปตามความเปลี่ยนแปลงของเวลา สถานที่ สภาพแวดล้อม ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ หรือภูมิหลังทางสังคม พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง เป็นความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนมาแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจะไม่เปลี่ยนไปจนชั่วนิจนิรันดร์—ดังนั้นข้อพึงประสงค์ทุกประการที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ และหลักธรรมจำเพาะทุกข้อของการปฏิบัติที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขาจึงย้อนกลับไปหลังจากที่พระองค์ทรงสร้างมวลมนุษย์ เมื่อพวกเขายังไม่มีการบันทึกประวัติศาสตร์ สิ่งเหล่านี้มีอยู่พร้อมกับพระเจ้า พูดอีกนัยหนึ่งคือ นับตั้งแต่วินาทีที่มีมนุษย์ มวลมนุษย์ก็สามารถเข้าใจข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขาได้แล้ว ไม่ว่าข้อพึงประสงค์ทั้งหลายกล่าวถึงในด้านใด เหล่านั้นล้วนเป็นนิรันดร์และจะไม่เปลี่ยนแปลง โดยรวมแล้วข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์คือการฟังพระวจนะของพระองค์และเดินตามหนทางของพระองค์ เจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของโลก กับภูมิหลังทางสังคมของมนุษย์ กับเวลาหรือสถานที่ หรือกับสภาพแวดล้อมและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่มนุษย์อยู่อาศัยโดยสิ้นเชิง หลังจากฟังพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเรื่องถูกต้องที่ผู้คนจะรักษาและปฏิบัติพระวจนะเหล่านั้น พระเจ้าไม่ทรงมีข้อพึงประสงค์อื่นต่อผู้คน เมื่อพวกเขาได้ฟังและเข้าใจพระวจนะของพระองค์ การที่พวกเขาปฏิบัติและรักษาพระวจนะเหล่านั้นไว้ก็เพียงพอแล้ว พวกเขาจะได้สัมฤทธิ์มาตรฐานของการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ยอมรับได้ในสายพระเนตรของพระองค์ เจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าเวลา สภาพแวดล้อมหรือภูมิหลังทางสังคม หรือที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เป็นเช่นไร สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือการฟังพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสและข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อเจ้า แล้วจากนั้นสิ่งต่อไปที่เจ้าควรทำคือรับฟัง นบนอบ และปฏิบัติ จงอย่ากังวลใจกับสิ่งทั้งหลายอย่างเช่น “ตอนนี้ความวิบัติในโลกภายนอกนั้นหนักหนานักหรือ? โลกวุ่นวายใช่หรือไม่? การออกไปสู่โลกนั้นอันตรายหรือไม่? ฉันอาจจะล้มป่วยด้วยโรคระบาดหรือไม่? ฉันอาจจะตายหรือไม่? ฉันจะตกสู่ความวิบัติทั้งหลายไหม? ข้างนอกนั้นมีการทดลองอยู่หรือไม่?” การคิดถึงสิ่งเหล่านั้นไม่มีประโยชน์ และสิ่งเหล่านั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าเพียงต้องกังวลเรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริงและการเดินตามหนทางของพระเจ้า ไม่ใช่สภาพแวดล้อมของโลกภายนอก ไม่ว่าสภาพแวดล้อมในโลกภายนอกเป็นเช่นไร เจ้าก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และพระเจ้าคือพระผู้สร้าง สัมพันธภาพระหว่างพระผู้สร้างกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลง อัตลักษณ์ของเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง และแก่นแท้ของพระเจ้าก็จะไม่เปลี่ยนแปลง เจ้าจะเป็นใครบางคนที่ควรเดินตามหนทางของพระเจ้าเสมอ เป็นคนที่ควรฟังพระวจนะของพระองค์และนบนอบต่อพระองค์ พระเจ้าจะทรงเป็นพระองค์หนึ่งเดียวที่ปกครองเจ้า จัดการเตรียมการชะตากรรมของเจ้า และนำเจ้าไปตลอดชีวิตเสมอ สัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง พระอัตลักษณ์ของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง และอัตลักษณ์ของเจ้าก็จะไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุที่ทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ความรับผิดชอบ ภาระพันผูก และหน้าที่สูงสุดของเจ้าคือการฟังพระวจนะของพระเจ้า นบนอบต่อพระวจนะ และปฏิบัติพระวจนะเหล่านี้ การนี้จะไม่มีวันผิด ทั้งยังเป็นมาตรฐานสูงสุด ประเด็นปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้วใช่หรือไม่? (ใช่) เรื่องนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว เราได้กล่าวโดยชัดเจนแล้วใช่ไหม? เราได้กล่าวอย่างถูกต้องมากกว่าที่พวกเจ้ากล่าวใช่หรือไม่? (ใช่) เรากล่าวถูกต้องในเรื่องใด? (พวกข้าพระองค์เพียงกล่าวโดยทั่วไป แต่พระเจ้าทรงชำแหละประเด็นนี้โดยละเอียดถี่ถ้วน ทั้งยังทรงสามัคคีธรรมว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง เป็นหนทางที่ผู้คนควรยึดถือ และผู้คนควรฟังพระวจนะของพระเจ้าและเดินตามหนทางของพระองค์ พระเจ้าได้ตรัสทั้งหมดนี้อย่างชัดเจน) สิ่งที่เรากำลังพูดถึงเป็นแง่มุมหนึ่งของความจริง วลีที่ว่า “แง่มุมหนึ่งของความจริง” เป็นทฤษฎีๆ หนึ่ง แล้วสิ่งใดเล่าที่สนับสนุนทฤษฎีนี้? สิ่งนั้นก็คือข้อเท็จจริงและเนื้อหาจำเพาะที่ถูกกล่าวถึงก่อนหน้านี้ ข้อเท็จจริงเหล่านี้ล้วนมีข้อพิสูจน์ ไม่มีประการใดที่ถูกกุขึ้นมา ไม่มีสักประการเดียวที่ถูกจินตนาการขึ้นมา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อเท็จจริง หรือเป็นแก่นแท้และความเป็นจริงของปรากฏการณ์ภายนอกของข้อเท็จจริงทั้งหลาย หากเจ้าสามารถจับความเข้าใจและเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ ก็ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าเข้าใจความจริง เหตุผลที่พวกเจ้าไม่สามารถพูดออกมาดังๆ ได้เป็นเพราะพวกเจ้ายังไม่เข้าใจความจริงในแง่มุมนี้ รวมถึงยังไม่เข้าใจแก่นแท้และความเป็นจริงที่อยู่ในปรากฏการณ์เหล่านี้ ดังนั้นพวกเจ้าจึงพูดถึงความรู้สึกและความรู้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ของตน ซึ่งห่างไกลจากความจริงอยู่มาก มิได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ? (เป็น) ประเด็นนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว ดังนั้นเราจะปล่อยไว้เช่นนั้น ในหัวข้อของการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่เกิดขึ้นจากผลของความสนใจและงานอดิเรกนั้นจำเป็นต้องรวมคำถามนี้เข้าไปในฐานะประเด็นเพิ่มเติมหรือไม่? (ใช่) นี่คือสิ่งที่จำเป็น ทุกๆ คำถามกล่าวถึงความจริงบางประการ ซึ่งกล่าวได้ว่าคำถามเหล่านี้เกี่ยวเนื่องกับความเป็นจริงและแก่นแท้ของข้อเท็จจริงบางอย่าง และเบื้องหลังของความเป็นจริงกับแก่นแท้ที่ว่านี้ก็คือการจัดการเตรียมการ แผนการ พระดำริ และความปรารถนาของพระเจ้าเสมอ แล้วมีอะไรอีก? วิธีการจำเพาะอย่างของพระเจ้า รวมไปถึงรากฐาน เป้าหมาย และภูมิหลังของการกระทำของพระองค์ สิ่งเหล่านี้คือความเป็นจริง

หลังจบการสามัคคีธรรมในหัวข้อการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่เกิดจากความสนใจและงานอดิเรก พวกเราควรสามัคคีธรรมถึงหัวข้อถัดไป หัวข้อถัดไปคืออะไร? คือผู้คนควรปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่เกิดจากการแต่งงานนั่นเอง เห็นได้ชัดว่าหัวข้อนี้พูดถึงปัญหาต่างๆ ทุกปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน นี่เป็นหัวข้อที่ใหญ่กว่าความสนใจและงานอดิเรกเล็กน้อยมิใช่หรือ? ทว่าจงอย่ากลัวขนาดของปัญหา พวกเราจะแจกแจงทีละน้อย ค่อยๆ ทำความเข้าใจและเจาะลึกหัวข้อนี้ผ่านการสามัคคีธรรม แนวทางที่เราจะพิจารณาในการสามัคคีธรรมถึงหัวข้อนี้คือการชำแหละประเด็นปัญหาของการแต่งงานจากทัศนคติและแง่มุมของแก่นแท้ของปัญหาทั้งที่เป็นบวกและเป็นลบ นั่นก็คือ ความเข้าใจต่างๆ ของผู้คนเกี่ยวกับการแต่งงาน ทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง ความผิดพลาดที่พวกเขาทำในการแต่งงาน รวมไปถึงแนวคิดและมุมมองต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องอันเกิดขึ้นจากประเด็นนี้ จนทำให้ผู้คนสามารถปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเกิดจากการแต่งงานได้ในที่สุด การปฏิบัติที่ดีที่สุดและง่ายที่สุดเพื่อสัมฤทธิ์ “การปล่อยมือ” คือดังนี้ ประการแรก เจ้าต้องมองเห็นถึงแก่นแท้ของปัญหาทั้งหลายอย่างชัดเจน และมองทะลุถึงปัญหาเหล่านี้ว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ จากนั้นเจ้าต้องสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ให้ได้อย่างถูกต้องและมีเหตุผล นี่คือด้านที่กระตือรือร้นของสิ่งทั้งหลาย ส่วนในด้านที่นิ่งเฉยของสิ่งทั้งหลายนั้น เจ้าต้องสามารถเข้าใจและมองทะลุผ่านแนวคิด มุมมอง และท่าทีที่ผิดพลาดที่ปัญหาทั้งหลายนำมาสู่เจ้า หรืออิทธิพลซึ่งเป็นภัยและเป็นลบนานาประการที่ปัญหาเหล่านั้นสร้างขึ้นในความเป็นมนุษย์ของเจ้า แล้วจากนั้นเจ้าย่อมสามารถปล่อยมือได้จากแง่มุมเหล่านี้ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้าต้องสามารถเข้าใจและมองปัญหาเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งโดยไม่ถูกผูกมัดหรือผูกติดกับแนวคิดที่ผิดพลาดซึ่งเกิดขึ้นจากปัญหาเหล่านี้ และไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นมาควบคุมชีวิตของเจ้าและนำเจ้าไปสู่เส้นทางที่คดเคี้ยว หรือนำให้เจ้าตัดสินใจเลือกทางที่ผิด โดยสรุปก็คือ ไม่ว่าพวกเรากำลังสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่เป็นบวกหรือเป็นลบ เป้าหมายสูงสุดของการนี้ก็คือเพื่อทำให้ผู้คนสามารถจัดการปัญหาจากการแต่งงานได้อย่างมีเหตุผล ไม่ใช้แนวคิดและทัศนะที่คลาดเคลื่อนมาทำความเข้าใจและจัดการกับปัญหา อีกทั้งไม่มีท่าทีที่ไม่ถูกต้องต่อปัญหา นี่คือความเข้าใจที่ถูกต้องในการปฏิบัติ “การปล่อยมือ” เอาละ พวกเรามาสามัคคีธรรมถึงการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเกิดขึ้นจากการแต่งงานกันต่อเถิด อันดับแรก พวกเรามาดูกันที่นิยามของการแต่งงาน ดูว่าแนวคิดของการแต่งงานคืออะไร พวกเจ้าส่วนมากยังไม่เข้าสู่การแต่งงานใช่หรือไม่? เราเห็นว่าพวกเจ้าส่วนมากเป็นผู้ใหญ่แล้ว การเป็นผู้ใหญ่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเจ้าได้มาถึงหรือผ่านพ้นช่วงอายุที่สามารถแต่งงานได้มาแล้ว ไม่ว่าเจ้าอยู่ในช่วงอายุนั้นหรือผ่านช่วงอายุนั้นมาแล้ว ทุกๆ คนก็ย่อมมีทัศนะ คำจำกัดความ และแนวคิดบางอย่างเกี่ยวกับการแต่งงานที่ค่อนข้างเป็นแบบชนชั้นกลางไม่ว่าจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ตาม ดังนั้นก่อนอื่นพวกเรามาสำรวจดูกันเถิดว่าที่จริงแล้วการแต่งงานคืออะไร ประการแรก ในความคิดเห็นของพวกเจ้าเอง การแต่งงานหมายถึงอะไรกันแน่? หากพวกเราต้องการพูดถึงคนที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะพูดว่าการแต่งงานคืออะไร นั่นน่าจะเป็นพวกที่เคยแต่งงานมาก่อน เพราะฉะนั้นพวกเรามาเริ่มจากคนที่แต่งงานแล้วกันก่อน และเมื่อพวกเขาพูดจบแล้ว พวกเราก็สามารถไปต่อที่ผู้ใหญ่ที่ยังไม่แต่งงาน พวกเจ้าสามารถพูดถึงทัศนะของตนที่มีต่อการแต่งงาน และพวกเราจะฟังความเข้าใจและคำนิยามเรื่องการแต่งงานของพวกเจ้า จงพูดในสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องพูด ไม่ว่าสิ่งนั้นจะน่าฟังหรือไม่ก็ตาม—ไม่ว่าจะเป็นคำพร่ำบ่นเรื่องการแต่งงาน หรือเป็นความคาดหวังจากการแต่งงาน อะไรก็ได้ทั้งนั้น (ก่อนแต่งงาน ทุกคนล้วนมีความคาดหวัง บางคนแต่งงานเพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตในรูปแบบการดำเนินชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ ขณะที่บางคนไล่ตามไขว่คว้าการแต่งงานที่มีความสุข ตามหาเจ้าชายขี่ม้าขาว ฝันเฟื่องไปว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่มีความสุข มีคนบางคนที่ต้องการใช้การแต่งงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์บางอย่างของตนเองด้วย) แล้วในทัศนะของเจ้านั้น การแต่งงานคืออะไรกันแน่? เป็นการแลกเปลี่ยนใช่หรือไม่? เป็นเกมอย่างนั้นหรือ? เป็นอะไรเล่า? สถานการณ์บางอย่างที่เจ้าพูดถึงเป็นเรื่องของการมีชีวิตที่ดี ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนประเภทหนึ่ง มีอะไรอีก? (ข้าพระองค์รู้สึกว่าสำหรับข้าพระองค์แล้ว การแต่งงานเป็นเพียงบางสิ่งที่ข้าพระองค์โหยหา เป็นสิ่งที่ข้าพระองค์ถวิลหา) มีผู้ใดต้องการพูดอีกหรือไม่? คนที่แต่งงานแล้วมีความรู้อะไรเกี่ยวกับการแต่งงานบ้าง? โดยเฉพาะผู้คนที่แต่งงานมาแล้วเป็นสิบหรือยี่สิบปี—เจ้ามีความรู้สึกอย่างไรกับการแต่งงาน? ปกติแล้วพวกเจ้าย่อมเต็มไปด้วยการคิดทบทวนเรื่องการแต่งงานมิใช่หรือ? ประการหนึ่งคือพวกเจ้ามีประสบการณ์จากการแต่งงานของตนเอง และอีกประการหนึ่งคือ พวกเจ้าได้เห็นการแต่งงานของผู้คนรอบตัวพวกเจ้า ในขณะเดียวกันพวกเจ้าก็คิดคำนึงถึงการแต่งงานของคนอื่นๆ ที่พวกเจ้าได้เห็นจากหนังสือ วรรณกรรม และภาพยนตร์ ดังนั้นแล้ว จากแง่มุมเหล่านั้นเจ้าคิดว่าการแต่งงานคืออะไร? เจ้าจะนิยามสิ่งนี้อย่างไร? เจ้าเข้าใจการนี้ว่าอย่างไร? เจ้าจะนิยามการแต่งงานอย่างไร? บรรดาคนที่แต่งงานมานานสองถึงสามปี—โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเจ้าที่เคยเลี้ยงลูกมาแล้ว—เจ้ามีความรู้สึกเช่นไรต่อการแต่งงาน? จงพูดออกมา (ข้าพระองค์สามารถบอกได้เล็กน้อย ข้าพระองค์ดูรายการโทรทัศน์มากมายมาตั้งแต่เด็ก ข้าพระองค์มักจะโหยหาชีวิตแต่งงานที่แสนสุขเสมอ แต่หลังจากแต่งงานแล้ว ข้าพระองค์ก็ตระหนักว่าสิ่งนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่ข้าพระองค์เคยคิดฝันไว้ หลังจากแต่งงาน สิ่งแรกที่ข้าพระองค์ต้องทำคือทำงานหนักเพื่อครอบครัวของข้าพระองค์ ซึ่งเหน็ดเหนื่อยมาก อีกสิ่งหนึ่งก็คือ เพราะความเข้ากันไม่ได้ระหว่างภาวะอารมณ์ของสามีและของข้าพระองค์ และระหว่างสิ่งทั้งหลายที่พวกเราโหยหาและไล่ตามไขว่คว้า—โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแตกต่างระหว่างหนทางที่พวกเราไล่ตามไขว่คว้านั้น—พวกเรามีความแตกต่างมากมายในชีวิต จนถึงจุดที่พวกเราปะทะคารมกัน ชีวิตช่างยากลำบาก เมื่อถึงจุดนี้ ข้าพระองค์ก็รู้สึกว่าชีวิตแต่งงานในแบบที่ข้าพระองค์เคยโหยหาในวัยเยาว์นั้นที่จริงแล้วไม่อาจทำให้เป็นจริงได้ นั่นเป็นเพียงความปรารถนาที่น่ายินดี แต่ชีวิตจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น นี่คือความคิดที่ข้าพระองค์มีต่อการแต่งงาน) เช่นนั้นความเข้าใจที่เจ้ามีต่อการแต่งงานก็คือขมขื่น ใช่หรือไม่? (ใช่) เช่นนั้นความทรงจำและเรื่องทั้งหลายที่เจ้าระลึกได้ล้วนขมขื่น เหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และเกินทนที่จะมองย้อนกลับไป เจ้ารู้สึกผิดหวัง หลังจากนั้นมาเจ้าจึงไม่มีความคาดหวังที่ดีกว่านี้ต่อการแต่งงาน เจ้าคิดว่าการแต่งงานไม่คล้อยตามความปรารถนาของเจ้า คิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีหรือโรแมนติก เจ้าเข้าใจว่าการแต่งงานเป็นโศกนาฏกรรม—เจ้าหมายความเช่นนั้นใช่หรือไม่? (ใช่) ในการแต่งงานของเจ้า ไม่ว่าเป็นสิ่งทั้งหลายที่เจ้าสามารถทำได้ หรือเป็นสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่เต็มใจที่จะทำ ทั้งหมดก็ล้วนทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อยและขมขื่นเป็นพิเศษใช่หรือไม่? (ใช่) การแต่งงานนั้นขมขื่น—นั่นคือความรู้สึกประเภทหนึ่ง เป็นความรู้สึกที่ผู้คนสามารถมีส่วนร่วมหรือรู้สึกได้ด้วยตัวพวกเขาเอง ในโลกทุกวันนี้อาจมีคำกล่าวต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงานและครอบครัวไม่ว่าในรูปแบบใดอยู่บ้าง คำกล่าวเหล่านี้มีอยู่พอประมาณในภาพยนตร์และหนังสือ และในสังคมก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านการแต่งงานและผู้เชี่ยวชาญด้านสัมพันธภาพที่วิเคราะห์และชำแหละการแต่งงานในทุกรูปแบบ จัดการและแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในการแต่งงานเหล่านั้นเพื่อหาทางไกล่เกลี่ย ท้ายที่สุด สังคมก็ได้ทำให้คำกล่าวบางอย่างเกี่ยวกับการแต่งงานแพร่หลาย คำกล่าวยอดนิยมเกี่ยวกับการแต่งงานใดที่พวกเจ้าเห็นด้วยหรือเห็นพ้องด้วย? (ข้าแต่พระเจ้า ผู้คนในสังคมมักจะกล่าวว่าการแต่งงานเหมือนเป็นการลงสู่หลุมฝังศพ ข้าพระองค์รู้สึกว่าหลังจากแต่งงาน สร้างครอบครัว และมีลูก ผู้คนต่างก็มีความรับผิดชอบ พวกเขาต้องทำงานอย่างไม่รู้จบเพื่อจุนเจือครอบครัวของตน ยิ่งไปกว่านั้นก็เกิดความไม่ลงรอยจากการที่คนสองคนมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน รวมถึงเกิดปัญหาและความลำบากยากเย็นทุกรูปแบบขึ้นอีกด้วย) วลีจำเพาะของเรื่องนี้คืออะไร? “การแต่งงานคือหลุมฝังศพ” ในประเทศจีนมีคำกล่าวอันเป็นที่นิยมหรือโด่งดังหรือไม่? วลีที่ว่า “การแต่งงานคือหลุมฝังศพ” ก็ค่อนข้างเป็นที่นิยมมิใช่หรือ? (ใช่) มีอะไรอีก? “การแต่งงานคือเมืองที่อยู่ภายใต้วงล้อม—คนในอยากจะออก คนนอกก็อยากจะเข้า” มีอะไรอีก? “การแต่งงานโดยไร้ซึ่งความรักนั้นผิดศีลธรรม” พวกเขาคิดว่าการแต่งงานคือเครื่องหมายของความรัก และการแต่งงานที่ปราศจากความรักนั้นผิดศีลธรรม พวกเขาใช้ความรักเพ้อฝันมาวัดมาตรฐานทางศีลธรรม สิ่งเหล่านั้นเป็นคำจำกัดความและแนวคิดเรื่องการแต่งงานซึ่งผู้คนที่แต่งงานแล้วมีใช่หรือไม่? (ใช่) สรุปก็คือ บรรดาคนที่แต่งงานแล้วเหล่านั้นต่างเต็มไปด้วยความขมขื่น การใช้วลี “การแต่งงานคือหลุมฝังศพ” มาอธิบายเรื่องนี้ ง่ายเช่นนั้นเลยหรือ? ผู้คนที่แต่งงานพูดจบแล้ว เพราะฉะนั้น บัดนี้พวกเราก็สามารถฟังสิ่งที่คนโสดยังไม่แต่งงานจำเป็นต้องพูดได้แล้ว ใครต้องการที่จะพูดถึงความเข้าใจที่มีต่อการแต่งงานบ้าง? ต่อให้เป็นคำพูดที่ไม่ประสา เป็นเรื่องเพ้อฝัน หรือเป็นความคาดหวังที่ไม่มีความเป็นจริงเลย นั่นก็ได้ทั้งนั้น (ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้สึกว่าการแต่งงานคือการที่คนสองคนใช้ชีวิตกันในฐานะคู่ชีวิต ชีวิตของสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน) เจ้าเคยแต่งงานมาก่อนหรือไม่? เจ้ามีประสบการณ์ส่วนตัวบ้างหรือไม่? (ไม่มี) สิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ใช้ชีวิตในฐานะคู่ชีวิต—นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าคิดจริงๆ หรือ? นั่นสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่? (ในอุดมคติของข้าพระองค์แล้วการแต่งงานไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่นั่นเป็นสิ่งที่ข้าพระองค์ได้เห็นจากการแต่งงานของพ่อแม่ของข้าพระองค์เอง) การแต่งงานของพ่อแม่เจ้าเป็นเช่นนี้ แต่การแต่งงานในอุดมคติของเจ้ากลับไม่ใช่ เมื่อเป็นเรื่องของการแต่งงาน ความเข้าใจและการไล่ตามไขว่คว้าของเจ้าเป็นเช่นไร? (ตอนที่ข้าพระองค์ยังเด็ก ความเข้าใจของข้าพระองค์ก็แค่หาใครบางคนที่ข้าพระองค์เทิดทูน แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่กับเขาอย่างมีความสุขและหวานชื่น) เจ้าต้องการใช้ชีวิตอยู่กับเขา จับมือเขาและแก่เฒ่าไปด้วยกันใช่หรือไม่? (ใช่) นี่คือความเข้าใจจำเพาะเกี่ยวกับการแต่งงานของเจ้า ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับตัวเจ้าเอง เจ้ามิได้เกิดความเข้าใจจากการมองดูผู้อื่น สิ่งที่เจ้าเห็นในการแต่งงานของผู้อื่นเป็นเพียงสิ่งภายนอกอันผิวเผิน และเพราะเจ้ายังไม่มีประสบการณ์นี้ด้วยตัวเอง เจ้าจึงไม่รู้ว่าสิ่งที่เจ้าเห็นคือความเป็นจริงของข้อเท็จจริงหรือเป็นเพียงการปรากฏอันผิวเผินของข้อเท็จจริงเท่านั้น สิ่งที่เจ้าคิดว่าเป็นจริงจะอยู่ในแนวคิดและมุมมองของเจ้าตลอดไป ความเข้าใจส่วนหนึ่งที่คนหนุ่มสาวมีต่อการแต่งงานคือการใช้ชีวิตอย่างหวานชื่นกับคนที่พวกเขารัก จับมือกันและแก่เฒ่าไปด้วยกัน และใช้ชีวิตนี้ร่วมกัน พวกเจ้าทุกคนมีความเข้าใจอื่นใดเกี่ยวกับการแต่งงานอีกหรือไม่? (ไม่มี)

บางคนกล่าวว่า “การแต่งงานเป็นเรื่องของการตามหาคนที่รักเรา ไม่สำคัญว่าพวกเขาโรแมนติกหรือไม่ และเราก็ไม่จำเป็นต้องรักพวกเขามากมาย อย่างน้อยที่สุดคือพวกเขาควรรักเรา มีเราอยู่ในหัวใจของพวกเขา และมีการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ ลักษณะนิสัย ความสนใจ และงานอดิเรกร่วมกับเรา เราถึงจะเจออีกคนหนึ่งที่ถูกคอและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้” คนอื่นๆ กล่าวว่า “จงหาคนที่เรารักและรักเรา แล้วใช้ชีวิตอยู่กับคนคนนั้น แค่นั้นก็เป็นความสุขแล้ว” และยังมีคนอื่นๆ ซึ่งมีความเข้าใจต่อการแต่งงานว่า “เราต้องหาคนที่มีสถานะทางการเงินที่มั่นคง แล้วคุณจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าและอาหารในช่วงครึ่งหลังของชีวิต แล้วชีวิตทางวัตถุของคุณก็จะเหลือกินเหลือใช้ และคุณจะได้ไม่ทนทุกข์กับความยากจนข้นแค้น ไม่ว่าพวกเขาอายุเท่าไรหรือมีรูปลักษณ์เป็นอย่างไร ไม่ว่าพวกเขามีลักษณะนิสัยอย่างไร และไม่ว่าพวกเขามีรสนิยมแบบใด ขอแค่พวกเขามีเงินก็เป็นอันใช้ได้ ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถให้เงินคุณเพื่อใช้จ่ายและสนองความต้องการทางวัตถุของคุณได้ พวกเขาก็เป็นที่ยอมรับ การใช้ชีวิตอยู่กับคนประเภทนี้ย่อมนำความสุขมาให้ และคุณจะรู้สึกสบายกาย นี่คือการแต่งงาน” สิ่งเหล่านี้เป็นความประสงค์และเป็นคำจำกัดความบางอย่างที่ผู้คนมีต่อการแต่งงาน ผู้คนส่วนมากเข้าใจว่าการแต่งงานคือการตามหาคนรัก การตามหาคนรักในฝันของพวกเขา การตามหาเจ้าชายรูปงาม การใช้ชีวิตกับพวกเขาและการได้พบคนที่รู้ใจกันและกัน ตัวอย่างเช่น บางคนคิดฝันไปว่าเจ้าชายรูปงามของพวกเขาคือดาราหรือคนดัง เป็นใครบางคนที่มีชื่อเสียง เงินทอง และความมั่งคั่ง พวกเขาคิดว่ามีเพียงการใช้ชีวิตอยู่กับบุคคลเช่นนั้นเท่านั้นจึงจะเป็นการแต่งงานที่น่าเชื่อถือและน่ารื่นรมย์ เป็นการแต่งงานที่สมบูรณ์แบบ และมีเพียงชีวิตเช่นนั้นเท่านั้นที่มีความสุข บางคนคิดฝันให้คู่ชีวิตของตนเป็นคนที่มีสถานะ บางคนคิดฝันให้คู่ชีวิตของตนเป็นคนสวยสดงดงาม บางคนคิดฝันให้คู่ชีวิตของตนเป็นคนที่มาจากครอบครัวที่มั่งคั่ง มีเส้นสาย มีอำนาจ เป็นคนร่ำรวย บางคนคิดฝันให้คู่ชีวิตของตนเป็นคนทะเยอทะยานและแข็งแกร่งในการงานของตน บางคนคิดฝันให้คู่ชีวิตของตนเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ บางคนคิดฝันให้คู่ชีวิตของตนมีลักษณะนิสัยเฉพาะตัวบางอย่าง ความประสงค์ทั้งหมดนี้และนอกเหนือจากนี้คือความประสงค์ที่ผู้คนมีต่อการแต่งงาน และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความคิดฝัน มโนคติอันหลงผิด และมุมมองที่พวกเขามีเกี่ยวกับการแต่งงาน สรุปแล้วบรรดาผู้ที่เคยแต่งงานมาก่อนย่อมกล่าวว่าการแต่งงานคือหลุมฝังศพ การเข้าสู่การแต่งงานเป็นการลงสู่หลุมฝังศพ หรือเป็นการเข้าสู่ความวิบัติ ส่วนบรรดาผู้ที่ยังไม่แต่งงานย่อมคิดฝันว่าการแต่งงานนั้นน่ารื่นรมย์และโรแมนติกเป็นพิเศษ และพวกเขาก็เต็มไปด้วยการโหยหาและความคาดหวัง แต่ไม่ว่าจะเป็นคนที่เคยแต่งงานมาแล้วหรือยังไม่แต่งงานก็ตาม ไม่มีใครสามารถพูดได้อย่างชัดเจนจนเกินไปถึงการจับใจความหรือความเข้าใจที่พวกเขามีต่อการแต่งงาน หรืออะไรคือคำจำกัดความและแนวคิดที่แท้จริงของการแต่งงานใช่หรือไม่? (ใช่) บรรดาผู้ที่มีประสบการณ์กับการแต่งงานมาแล้วกล่าวว่า “การแต่งงานคือหลุมฝังศพ เป็นความขมขื่น” คนที่ยังไม่ได้แต่งงานบางคนกล่าวว่า “ความเข้าใจเรื่องการแต่งงานของคุณไม่ถูกต้อง คุณบอกว่าการแต่งงานเป็นเรื่องแย่ๆ นั่นเพราะคุณเห็นแก่ตัวเกินไป คุณไม่ได้ทุ่มเทกับการแต่งงานของคุณมากมายนัก คุณทำให้การแต่งงานของคุณยุ่งเหยิงวุ่นวายเพราะข้อบกพร่องและปัญหาต่างๆ นานาของคุณ คุณทำลายและทำให้การแต่งงานนี้แหลกสลายด้วยน้ำมือของคุณเอง” ทั้งนี้ มีคนที่แต่งงานแล้วบางคนพูดกับบรรดาคนโสดที่ยังไม่ได้เข้าสู่การแต่งงานว่า “คุณเป็นเด็กไม่รู้ความ คุณจะไปรู้อะไร? คุณรู้หรือว่าการแต่งงานเป็นอย่างไร? การแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนโสด และไม่ใช่เรื่องของคนสองคน—นี่เป็นเรื่องของสองครอบครัว หรือเป็นเรื่องของสองตระกูลเสียด้วยซ้ำ ในเรื่องนี้มีประเด็นมากมายที่ไม่ได้เรียบง่ายและไม่ตรงไปตรงมา แม้แต่ในโลกของคนเพียงสองคน ที่มีแค่เรื่องของคนสองคนก็ไม่ได้เรียบง่ายนัก ไม่ว่าความเข้าใจและความเพ้อฝันที่คุณมีต่อการแต่งงานจะน่ารื่นรมย์เพียงไร แต่ยิ่งเวลาผ่านไป สิ่งเหล่านี้ก็จะถูกบดขยี้จากเรื่องสัพเพเหระของความต้องการในแต่ละวัน จนกระทั่งสีสันและรสชาติของการแต่งงานจืดจางไป คุณยังไม่ได้แต่งงาน คุณจะไปรู้อะไร? คุณยังไม่เคยแต่งงาน ยังไม่เคยบริหารจัดการการแต่งงาน เพราะฉะนั้นคุณไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะประเมินการแต่งงานหรือกล่าววิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ ความเข้าใจที่คุณมีต่อการแต่งงานคือจินตนาการ เป็นความคิดเพ้อฝัน—สิ่งนี้ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง!” ไม่ว่าคนที่กำลังพูดถึงเรื่องนี้เป็นใคร ก็ย่อมมีเหตุผลที่เป็นจริงอยู่ แต่เมื่อพิจารณาทุกอย่างแล้ว การแต่งงานคืออะไรกันแน่? มุมมองแบบใดที่เป็นวิธีมองเรื่องนี้อย่างถูกต้องที่สุดและเป็นกลางมากที่สุด สิ่งใดสอดคล้องกับความจริงมากที่สุด? คนเราควรมองการแต่งงานอย่างไร? ไม่ว่าเป็นการพูดโดยคนที่มีประสบการณ์กับการแต่งงานมาก่อนหรือโดยคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน ประการหนึ่งก็คือ ความเข้าใจที่พวกเขามีต่อการแต่งงานล้วนเต็มไปด้วยจินตนาการของตนเอง และอีกประการหนึ่งคือ มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ตามบทบาทที่พวกเขามีในการแต่งงาน เพราะมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไม่เข้าใจหลักธรรมที่พวกเขาควรยึดถือในสภาพแวดล้อมต่างๆ อีกทั้งไม่เข้าใจบทบาทที่พวกเขามีในการแต่งงานหรือภาระพันผูกและความรับผิดชอบที่พวกเขาควรลุล่วง คำพูดเกี่ยวกับการแต่งงานบางอย่างของพวกเขาจึงเปี่ยมด้วยอารมณ์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งยังเกี่ยวข้องกับความเห็นแก่ตัวและความใจร้อนของพวกเขา ฯลฯ แน่นอนว่า ไม่ว่าบุคคลหนึ่งจะแต่งงานแล้วหรือไม่ หากพวกเขาไม่ได้มองการแต่งงานจากทัศนคติของความจริง และหากพวกเขาไม่มีความเข้าใจและความรู้อันบริสุทธิ์ในเรื่องนี้จากพระเจ้า เช่นนั้น นอกเหนือจากประสบการณ์ส่วนตัวเรื่องการแต่งงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพวกเขาแล้ว ความเข้าใจเรื่องการแต่งงานของพวกเขาก็ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากสังคมและจากมวลมนุษย์ที่เลวร้าย ความเข้าใจของพวกเขายังได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศ กระแส และความเห็นสาธารณะของสังคม รวมไปถึงสิ่งทั้งหลายที่คลาดเคลื่อนและเต็มไปด้วยอคติ—และสิ่งที่อาจเรียกโดยเจาะจงขึ้นไปอีกว่าไร้มนุษยธรรม—สิ่งที่ผู้คนในทุกระดับและทุกชนชั้นของสังคมพูดเกี่ยวกับการแต่งงานอีกด้วย จากสิ่งที่ผู้อื่นพูดเหล่านี้ ประการหนึ่งคือ ผู้คนจะได้รับอิทธิพลและถูกความคิดและมุมมองเหล่านี้ควบคุมโดยไม่รู้ตัว และอีกประการหนึ่งก็คือพวกเขาจะยอมรับทัศนคติและวิธีมองการแต่งงานเหล่านี้ รวมถึงวิธีในการจัดการกับการแต่งงาน และทัศนคติต่อชีวิตที่คนใช้ชีวิตแต่งงานยึดถือไปโดยไม่รู้ตัว ประการแรก ผู้คนไม่มีความเข้าใจที่เป็นบวกต่อการแต่งงาน ทั้งยังไม่มีความรู้และการรับรู้ที่ถูกต้องและเป็นบวกในเรื่องนี้ นอกจากนี้ ทั้งสังคมและมวลมนุษย์ที่เลวร้ายต่างก็ปลูกฝังความคิดที่คลาดเคลื่อนและเป็นลบเกี่ยวกับการแต่งงานให้พวกเขา ด้วยเหตุนั้น ความคิดและมุมมองที่ผู้คนมีต่อการแต่งงานจึงกลายเป็นบิดเบี้ยว และถึงกับเลวร้ายเสียด้วยซ้ำ ตราบเท่าที่เจ้าใช้ชีวิตและอยู่รอดในสังคมนี้ และมีตาที่จะมอง มีหูที่จะฟัง และมีความคิดที่จะใคร่ครวญคำถามทั้งหลาย เจ้าย่อมจะยอมรับความคิดและมุมมองที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้ได้ในระดับที่ต่างกัน ซึ่งนำไปสู่ความรู้และความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องและเต็มไปด้วยอคติต่อการแต่งงาน ตัวอย่างเช่น เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ผู้คนไม่เข้าใจว่าความรักโรแมนติกคืออะไร และความเข้าใจที่พวกเขามีต่อการแต่งงานก็เรียบง่ายมาก เมื่อใครบางคนถึงวัยที่แต่งงานได้ แม่สื่อก็จะแนะนำให้พวกเขารู้จักกัน พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายจะจัดการทุกอย่าง แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะจัดงานแต่งงานกับคนในเพศตรงข้าม เข้าสู่การแต่งงาน แล้วทั้งสองคนก็จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันและใช้เวลาร่วมกัน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงอยู่เป็นเพื่อนกันและกันไปตลอดชีวิตนี้ จนกว่าพวกเขาจะถึงวาระสุดท้าย นั่นคือความเรียบง่ายของการแต่งงาน เป็นเรื่องของคนสองคน—คนสองคนจากครอบครัวที่ต่างกันและมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน อยู่เป็นเพื่อนกันและกัน ดูแลกันและกัน และใช้ชีวิตทั้งชีวิตร่วมกัน เรียบง่ายเช่นนั้นเอง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ผู้คนก็เริ่มพูดถึงสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความรักแบบโรแมนติก และความรักแบบโรแมนติกก็ถูกบรรจุเข้าไปในเนื้อหาของการแต่งงานตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขา คำว่า “ความรักแบบโรแมนติก” หรือความหมายและแนวคิดของคำนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนรู้สึกเขินอายหรือกระอักกระอ่วนที่จะพูดถึงอีกต่อไป แต่คำนี้มีอยู่อย่างเป็นธรรมชาติในความคิดของผู้คน และเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนจะพูดคุยกัน จนถึงจุดที่แม้แต่คนที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ต่างก็พูดคุยกันถึงสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความรักแบบโรแมนติก ดังนั้นความคิด มุมมอง และคำกล่าวประเภทนี้จึงก่อกำเนิดอิทธิพลต่อทุกคน ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทั้งเด็กและคนแก่อย่างยากเกินกว่าจะอธิบาย อิทธิพลนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ความเข้าใจที่ทุกคนมีต่อการแต่งงานนั้นดูอวดอ้างเกินไป—พูดให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ พวกเขามีอคติ ทุกคนเริ่มเล่นกับความรักและหยอกล้อกับความหลงใหล สิ่งที่มนุษย์เรียกว่า “ความรักแบบโรแมนติก” เป็นเพียงการรวมตัวกันของความรักและความหลงใหล[ก] “ความรัก” หมายถึงอะไร? ความรักก็คือความรักใคร่เอ็นดูประเภทหนึ่ง แล้ว “ความหลงใหล” หมายถึงอะไร? สิ่งนี้หมายถึงตัณหา การแต่งงานไม่ได้เรียบง่ายเหมือนกับการที่คนสองคนใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะคู่ชีวิตอีกต่อไป ทว่าสิ่งนี้กลับกลายเป็นของเล่นเพื่อความรักใคร่เอ็นดูและตัณหา มิได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ? (เป็นเช่นนี้) ผู้คนได้มาเข้าใจแล้วว่าการแต่งงานเป็นการร่วมกันของความรักใคร่เอ็นดูและตัณหา แล้วการแต่งงานของพวกเขาจะดีได้หรือ? ผู้ชายและผู้หญิงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างอยู่ดีมีสุข และพวกเขาก็ไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนเป็นอย่างดี อีกทั้งไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความจริง พวกเขามักจะพูดถึงความรัก ความหลงใหล ความรักใคร่เอ็นดูและตัณหา เจ้าคิดว่าพวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตอย่างราบรื่นและมั่นคงได้หรือไม่? (ไม่ได้) คนประเภทใดที่สามารถก้าวผ่านการทดลองและสิ่งล่อใจเหล่านี้ไปได้? ไม่มีใครสามารถผ่านการทดลองและสิ่งล่อใจเหล่านี้ไปได้ ผู้คนในสังคมเต็มไปด้วยตัณหาและความรักใคร่ต่อกันและกัน นี่คือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความรักแบบโรแมนติก และนี่คือวิธีที่คนสมัยใหม่เข้าใจการแต่งงาน นี่เป็นการประเมินขั้นสูงสุดของพวกเขาต่อการแต่งงาน เป็นรสนิยมขั้นสูงที่สุด ดังนั้น สถานการณ์เรื่องการแต่งงานของผู้คนในยุคสมัยใหม่จึงเปลี่ยนไปเกินกว่าการรับรู้ และอยู่ในความโกลาหลที่ย่ำแย่และเลวร้าย การแต่งงานไม่ได้เรียบง่ายเหมือนเรื่องของผู้ชายกับผู้หญิงอีกต่อไป ทว่าการแต่งงานกลับกลายเป็นเรื่องของผู้คนทุกคน ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เป็นเรื่องของการเล่นกับความรักใคร่และตัณหา—ต่ำช้าสิ้นดี ความเข้าใจและทัศนคติที่ผู้คนมีต่อการแต่งงานกลายเป็นผิดรูปผิดร่าง ผิดปกติ และเลวร้ายภายใต้สิ่งล่อใจของกระแสอันเลวร้ายหรือผ่านการปลูกฝังความคิดที่เลวร้าย นอกจากนี้ ภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ รวมไปถึงวรรณกรรมและงานศิลปะทั้งหลายในสังคมต่างก็เผยแพร่การตีความและถ้อยแถลงที่เลวร้ายและไร้ศีลธรรมเกี่ยวกับการแต่งงานมากขึ้นและอย่างต่อเนื่อง ผู้กำกับ นักเขียน และนักแสดงล้วนสาธยายถึงการแต่งงานว่าเป็นสภาวะที่เลวร้าย การนี้เต็มไปด้วยความเลวร้ายและตัณหา จนนำไปสู่การทำให้การแต่งงานที่เหมาะสมตกอยู่ในความโกลาหล ดังนั้น นับตั้งแต่มีความรักแบบโรแมนติก การหย่าร้างจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับการคบชู้ มีเด็กจำนวนมากขึ้นถูกบีบให้สู้ทนกับบาดแผลจากการที่พ่อแม่หย่าร้างกัน ถูกบีบให้ใช้ชีวิตอยู่กับแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือพ่อเลี้ยงเดี่ยว ทำให้ผ่านชีวิตในวัยเด็กและวัยเยาว์ หรือเติบโตขึ้นมาภายใต้สถานการณ์การแต่งงานที่ไม่เหมาะสมของพ่อแม่ สาเหตุของโศกนาฏกรรมต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งงานทั้งหมด รวมถึงการแต่งงานที่ไม่ถูกต้องหรือผิดปกติเหล่านี้ก็คือ ทัศนะของการแต่งงานที่สังคมสนับสนุนนั้นมีอคติ เลวร้าย และไร้ศีลธรรม จนถึงจุดที่การแต่งงานขาดจริยธรรมและศีลธรรม เนื่องด้วยมวลมนุษย์ไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกหรือเหมาะสม ผู้คนย่อมจะยอมรับความคิดและมุมมองที่สังคมสนับสนุนเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าความคิดและมุมมองนั้นจะผิดรูปเพียงใดก็ตาม สิ่งเหล่านี้เหมือนกับโรคระบาดที่แพร่กระจายไปทั่วร่างกาย กัดกินทุกความคิดและทุกแนวคิดของเจ้า และกัดกินส่วนที่ถูกต้องของความเป็นมนุษย์ของเจ้า มโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติของเจ้าเริ่มขุ่นมัว คลุมเครือ หรืออ่อนแออย่างรวดเร็ว จากนั้นความคิดและมุมมองที่มาจากซาตานซึ่งบิดเบี้ยว เลวร้าย และขาดพร่องจริยธรรมและศีลธรรมเหล่านี้จะยึดเอาตำแหน่งที่สูงกว่าและเข้าครองบทบาทในส่วนลึกของความคิดและหัวใจเจ้า และในโลกแห่งจิตใจของเจ้า หลังจากที่สิ่งเหล่านี้ยึดเอาตำแหน่งที่สูงกว่าและเข้าครองบทบาทแล้ว ทัศนคติที่เจ้ามีต่อประเด็นทั้งหลายเช่นการแต่งงานก็เริ่มบิดเบี้ยวและบิดเบือนอย่างรวดเร็ว ไร้ซึ่งจริยธรรมและศีลธรรม จนถึงจุดที่กลายเป็นเลวร้าย แต่ตัวเจ้าเองกลับไม่รู้ถึงการนี้ และเจ้าคิดว่านี่เป็นสิ่งที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง “ทุกคนคิดแบบนี้กันทั้งนั้น แล้วทำไมฉันไม่ควรคิดแบบนี้ล่ะ? ทุกคนคิดว่านี่เป็นหนทางที่เหมาะสม แล้วการที่ฉันคิดแบบนี้เช่นกันไม่เหมาะสมหรือ? ดังนั้นถ้าไม่มีใครเขินอายที่จะพูดถึงความรักแบบโรแมนติก ฉันก็ไม่ควรเขินอายเช่นกัน ทีแรกฉันก็กระดากเล็กน้อย เขินอายนิดหน่อย และมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการเปิดปากพูด หลังจากพูดเรื่องนี้อีกไม่กี่ครั้งฉันก็ดีขึ้น การฟังเรื่องนี้บ่อยขึ้นและพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้นทำให้ฉันปรับตัวได้” จริงอยู่ที่เจ้ากำลังพูดและกำลังฟัง และสิ่งนี้ก็ได้กลายเป็นตัวเจ้าเอง แต่ความเข้าใจดั้งเดิมที่แท้จริงของการแต่งงานไม่สามารถตั้งมั่นอยู่ในส่วนลึกของความคิดเจ้า ดังนั้นเจ้าได้สูญเสียมโนธรรมและเหตุผลที่เจ้าพึงมีในฐานะคนปกติไปแล้ว สาเหตุของการสูญเสียสิ่งนี้คืออะไร? ก็เพราะเจ้าได้ยอมรับทัศนะที่เรียกว่า “ความรักแบบโรแมนติก” ของการแต่งงานแล้ว ทัศนะที่เรียกว่า “ความรักแบบโรแมนติก” ของการแต่งงานนี้ได้กลืนกินความเข้าใจดั้งเดิมและความรู้สึกของความรับผิดชอบที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติของเจ้ามีต่อการแต่งงานไปแล้ว เจ้าเริ่มนำความเข้าใจเกี่ยวกับความรักแบบโรแมนติกของตัวเองไปปฏิบัติเป็นการส่วนตัวอย่างรวดเร็ว เจ้าเฝ้าเสาะหาคนที่เจ้าถูกใจ คนที่รักเจ้าหรือคนที่เจ้ารักอย่างต่อเนื่อง และเจ้าก็ไล่ตามไขว่คว้าความรักแบบโรแมนติกไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ยอมเจ็บปวดแสนสาหัสและทำตัวค่อนข้างไร้อย่างอาย จนถึงจุดของการสละเรี่ยวแรงทั้งชีวิตเพื่อความรักแบบโรแมนติก—แล้วเจ้าก็หมดหน้าที่ ในกระบวนการของการไล่ตามไขว่คว้าความรักแบบโรแมนติกนั้น สมมุติมีผู้หญิงคนหนึ่งเจอคนที่เธอเทิดทูนและเธอคิดว่า “พวกเรารักกัน ดังนั้นเรามาแต่งงานกันเถอะ” หลังจากแต่งงานแล้ว เธอก็ใช้ชีวิตอยู่กับคนคนนั้นมาเป็นเวลาหนึ่งแล้วจึงตระหนักว่าเขามีข้อบกพร่องบางอย่าง และเธอคิดว่า “เขาไม่ได้ชอบฉัน และฉันก็ไม่ได้ชอบเขาจริงๆ พวกเราสองคนไม่เหมาะสมกัน ความรักแบบโรแมนติกของเราเป็นเรื่องผิดพลาด เอาละ เราจะหย่ากัน” หลังจากหย่ากันแล้ว เธอก็กระเตงลูกน้อยที่อายุราว 2-3 ปีและเตรียมหาคนใหม่ โดยคิดว่า “ในเมื่อการแต่งงานครั้งก่อนของฉันไร้ซึ่งความรัก ฉันจำเป็นต้องดูให้แน่ใจว่าคนต่อไปจะมีความรักแบบโรแมนติกอย่างแท้จริง คราวนี้ฉันจะต้องมั่นใจ ฉันจึงต้องใช้เวลาตรวจสอบสักพัก” หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง เธอก็บังเอิญเจอใครบางคน “โอ้ นี่แหละคนรักในฝันของฉัน คนที่ฉันจินตนาการว่าฉันจะชอบ เขาชอบฉันและฉันก็ชอบเขา เขาทนไม่ได้ที่จะต้องอยู่ห่างจากฉันและฉันก็ทนไม่ได้ที่จะต้องแยกจากเขา พวกเราเหมือนแม่เหล็กสองอันที่ดึงดูดกันและกัน อยากอยู่ด้วยกันตลอดเวลา พวกเรารักกัน มาแต่งงานกันเถอะ” แล้วเธอก็แต่งงานอีกครั้งหนึ่ง ทันทีที่แต่งงานกัน เธอก็มีลูกเพิ่มอีกหนึ่งคน และหลังจากผ่านไป 2-3 ปีเธอก็คิดว่า “คนคนนี้มีข้อบกพร่องไม่น้อยทีเดียว เขาทั้งขี้เกียจและตะกละตะกลาม เขาชอบคุยโวและโอ้อวด แถมยังชอบคุยเรื่อยเปื่อย เขาไม่ลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเอง ไม่เอาเงินที่เขาหามาได้ให้ครอบครัว แถมยังดื่มเหล้าและเล่นการพนันตลอดทั้งวัน นี่ไม่ใช่คนที่ฉันต้องการจะรัก คนที่ฉันรักไม่ได้เป็นเช่นนี้ หย่ากันเถอะ!” เธอหย่าร้างอีกครั้ง พลางกระเตงลูกสองคนไปด้วย หลังจากหย่าร้างเธอก็เริ่มคิดใคร่ครวญว่าความรักแบบโรแมนติกคืออะไร? เธอไม่สามารถตอบได้ คนบางคนมีการแต่งงานที่ล้มเหลว 2-3 หน และท้ายที่สุดพวกเขาพูดว่าอย่างไร? “ฉันไม่เชื่อในความรักแบบโรแมนติก ฉันเชื่อในความเป็นมนุษย์” เจ้าจะเห็นว่า พวกเขากลับไปกลับมา และพวกเขาไม่รู้ว่าควรเชื่อในสิ่งใด พวกเขาไม่รู้ว่าการแต่งงานคืออะไร พวกเขายอมรับความคิดและทัศนคติที่คลาดเคลื่อนและใช้ความคิดและทัศนคติเหล่านี้เป็นมาตรฐานของตนเอง พวกเขานำความคิดและทัศนคติเหล่านี้มาปฏิบัติเป็นการส่วนตน และในขณะเดียวกันพวกเขาก็สร้างความเสียหายต่อการแต่งงานและต่อตัวเอง รวมถึงสร้างความเสียหายต่อผู้อื่นด้วย พวกเขาก่อความเสียหายต่อคนรุ่นถัดไปและต่อตัวเองทั้งทางกายภาพและทางวิญญาณในระดับที่ต่างกัน สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลทั้งปวงว่าเหตุใดผู้คนจึงรู้สึกเจ็บปวดและสิ้นหวังกับการแต่งงาน เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อการแต่งงาน เราเพิ่งสามัคคีธรรมเกี่ยวกับทัศนคติและคำจำกัดความต่างๆ นานาที่ผู้คนมีต่อการแต่งงาน รวมไปถึงสถานการณ์ของการแต่งงานของมนุษย์อันเป็นผลลัพธ์ของมุมมองที่ไม่ถูกต้องซึ่งคนสมัยใหม่มีต่อการแต่งงาน โดยสรุปแล้ว สถานการณ์การแต่งงานของมนุษย์ในสมัยใหม่นี้ดีหรือไม่ดี? (ไม่ดี) ไม่มีโอกาสในอนาคต ไม่ใช่การมองโลกในแง่ดี ทั้งยังกลับตาลปัตรมากกว่าที่เคย จากตะวันออกถึงตะวันตก จากใต้จรดเหนือ การแต่งงานของมนุษย์อยู่ในสภาวะที่เลวร้ายและย่ำแย่ ผู้คนในรุ่นปัจจุบัน—ผู้คนที่อยู่ในช่วงอายุ 40-50 ปี—ล้วนประจักษ์ถึงความโชคร้ายของการแต่งงานทั้งคนรุ่นก่อนและรุ่นถัดไป รวมถึงทัศนะที่คนในรุ่นเหล่านี้มีต่อการแต่งงาน และประสบการณ์การแต่งงานที่ล้มเหลวของพวกเขา แน่นอนว่า ผู้คนมากมายที่อายุต่ำกว่า 40 ปีต่างเป็นเหยื่อของการแต่งงานที่อับโชคทุกรูปแบบ บางคนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว บางคนก็เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว แม้แน่นอนว่าถ้าพูดตามจริงจะมีพ่อเลี้ยงเดี่ยวไม่มากนักก็ตาม บางคนเติบโตมากับแม่ผู้ให้กำเนิดและพ่อเลี้ยง บางคนเติบโตมากับพ่อผู้ให้กำเนิดและแม่เลี้ยง และคนอื่นๆ ก็เติบโตมากับพี่น้องต่างพ่อและต่างแม่ คนอื่นๆ มีพ่อแม่ที่หย่าร้างกันและแล้วไปแต่งงานใหม่ และทั้งพ่อและแม่ต่างไม่ต้องการพวกเขา พวกเขาจึงกลายเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่หลังจากจับแพะชนแกะอยู่ในสังคมมาหลายปี แล้วพวกเขาก็กลายเป็นพ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยง หรือไม่ก็กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือพ่อเลี้ยงเดี่ยว นี่คือสถานการณ์ของการแต่งงานสมัยใหม่ การจัดการเกี่ยวกับการแต่งงานของมวลมนุษย์มาถึงระดับนี้ได้มิได้เป็นผลของการทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามของซาตานหรอกหรือ? (เป็น) รูปแบบที่จำเป็นของการอยู่รอดและการเพิ่มจำนวนขั้นพื้นฐานที่สุดของมวลมนุษย์นี้ถูกทำให้เสียหายและถูกทำให้ยุ่งเหยิงโดยสิ้นเชิง เจ้าคิดว่ามวลมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร? การได้เห็นชีวิตของแต่ละครอบครัวช่างน่าลำบากใจ ย่ำแย่เกินกว่าจะมองดูด้วยซ้ำ พวกเราอย่าพูดเรื่องนี้กันอีกเลย ยิ่งพูดมากเท่าไร คนเราก็ยิ่งรู้สึกลำบากใจมากขึ้นเท่านั้น จริงหรือไม่?

เชิงอรรถ:

ก. ข้อความต้นฉบับไม่มีวลีดังต่อไปนี้ “สิ่งที่มนุษย์เรียกว่า ‘ความรักแบบโรแมนติก’ เป็นเพียงการรวมตัวกันของความรักและความหลงใหล”

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger