ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (9) ตอนที่หนึ่ง
ครั้งก่อนที่พวกเรามาชุมนุมกัน พวกเราได้สามัคคีธรรมกันเรื่องส่วนที่สองของสิ่งที่จำเป็นต้องละวางในบริบทของ “ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร” กล่าวคือ การละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คนลง ในหัวเรื่องนี้ พวกเราได้ทำรายการไว้รวมสี่อย่าง ได้แก่ หนึ่ง ความสนใจและงานอดิเรก สอง การสมรส สาม ครอบครัว และสี่ อาชีพการงาน คราวก่อนเราได้สามัคคีธรรมกันเรื่องความสนใจและงานอดิเรกไปแล้ว องค์ประกอบหนึ่งในการละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน คือการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน อันเป็นผลลัพธ์จากความสนใจและงานอดิเรก เมื่อได้ฟังสามัคคีธรรมของเราแล้ว ทุกคนมีท่าทีและมุมมองที่ถูกต้องต่อความสนใจและงานอดิเรกหรือไม่? (มี) ประเด็นที่เรามาสามัคคีธรรมกันก็เพื่อละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเป็นผลลัพธ์จากความสนใจและงานอดิเรก แต่หากจะละวางสิ่งเหล่านี้ เจ้าต้องเข้าใจก่อนว่าความสนใจและงานอดิเรกคืออะไร จากนั้นก็ต้องเข้าใจว่าควรปฏิบัติกับสองสิ่งนี้อย่างไร และจะละวางสิ่งเหล่านี้ที่เป็นผลลัพธ์จากความสนใจและงานอดิเรกได้อย่างไร ไม่สำคัญเลยว่าพวกเราสามัคคีธรรมกันว่าด้วยสิ่งที่เป็นบวกหรือเป็นลบ กล่าวโดยสั้น เป้าหมายคือการทำให้ผู้คนสามารถจับใจความได้ว่าความสนใจและงานอดิเรกคืออะไร และจากนั้นก็ปฏิบัติกับมันและประยุกต์ใช้สองสิ่งนี้ ได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้สองสิ่งนี้มีพื้นที่หรือคุณค่าที่เหมาะควรสำหรับการดำรงอยู่ และในขณะเดียวกัน ก็เพื่อทำให้ผู้คนสามารถละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะควร ซึ่งพวกเขาไม่ควรมีไว้ ทั้งยังส่งอิทธิพลต่อความเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของพวกเขา คนคนหนึ่งกล่าวได้ว่าการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเกิดจากความสนใจและงานอดิเรกของเจ้านั้น จะส่งอิทธิพลต่อชีวิตของเจ้า ความอยู่รอดของเจ้า และทัศนะเรื่องความอยู่รอดของเจ้า แน่ล่ะ การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความปรารถนาอยากได้อยากมีเหล่านั้นจะส่งอิทธิพลยิ่งกว่านี้อีกต่อเส้นทางที่เจ้าเดิน รวมถึงหน้าที่และภารกิจของเจ้าในชีวิตนี้ ดังนั้น จากมุมมองแบบนิ่งเฉย การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่ความสนใจและงานอดิเรกนำพามาสู่ผู้คนนั้น ไม่ใช่เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า ทั้งยังไม่ใช่ทิศทางที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้า และยิ่งไม่ใช่ทัศนะต่อชีวิตและค่านิยมที่พวกเขาควรที่จะสถาปนาในช่วงชีวิตนี้ เราบอกผู้คนว่าจะรู้จักและปฏิบัติกับสิ่งเหล่านี้อย่างไรให้ถูกต้องด้วยการสามัคคีธรรมว่าความสนใจและงานอดิเรกคืออะไร และจากนั้นก็ทำให้พวกเขารู้ว่า การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขานั้นถูกต้องหรือไม่ โดยการมองผ่านอิทธิผลของความสนใจและงานอดิเรก กล่าวได้ว่า เราใช้ทั้งด้านบวกและด้านลบเพื่อเปิดให้ผู้คนได้เห็นอย่างชัดเจนถึงวิธีปฏิบัติต่อความสนใจและงานอดิเรกอย่างถูกต้อง เหตุผลหนึ่งคือ หากบางคนมีความรู้ที่ถูกต้องและความเข้าใจที่แม่นยำในเรื่องความสนใจและงานอดิเรก และสามารถปฏิบัติต่อสองสิ่งนี้ได้อย่างแม่นยำ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็กำลังละวางอุดมคติและความอยากได้อยากมีที่เกิดจากความสนใจและงานอดิเรกได้อย่างแท้จริง ครั้นเจ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อความสนใจและงานอดิเรกแล้ว วิธีการและหนทางที่เจ้าใช้ปฏิบัติกับสองสิ่งนี้ก็จะถูกต้อง ทั้งยังค่อนข้างเป็นไปตามหลักธรรมและข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ ในหนทางด้วยวิธีนี้ จะทำให้เจ้าสามารถละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเกิดจากความสนใจและงานอดิเรกได้ในหนทางที่เป็นบวก นอกจากนี้ สามัคคีธรรมนี้ยังเปิดโอกาสให้เจ้าได้เห็นชัดเจนถึงอิทธิผลด้านเสียสารพัดที่การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเกิดจากความสนใจและงานอดิเรกพามา หรืออิทธิพลด้านลบเป็นเชิงต่อต้านที่สองสิ่งนี้สร้างขึ้น โดยการนี้เปิดโอกาสให้เจ้าละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่ไม่เหมาะควรเหล่านี้อย่างแข็งขัน หลังสามัคคีธรรมกันว่าด้วยเรื่องทั้งหลายนี้แล้ว มีหรือที่บางคนจะไม่กล่าวว่า “ผู้คนสารพัดประเภทในโลกนี้ล้วนมีความสนใจและงานอดิเรกที่แตกต่างกันออกไป และความสนใจและงานอดิเรกของแต่ละบุคคลนี้เองที่ทำให้เกิดการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีทั้งหลาย สมมุติว่าพวกเราดำเนินไปตามหนทางที่กำลังพูดกันอยู่นี้ และผู้คนไม่ได้ออกไปไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติและความอยากได้อยากมีของตัวเอง—โลกนี้จะพัฒนาขึ้นอย่างที่เป็นหรือ? สาขาทั้งหลาย อย่างเช่น เทคโนโลยี วัฒนธรรม และการศึกษาของมวลมนุษย์ ซึ่งข้องเกี่ยว กับความอยู่รอดและชีวิตของมวลมนุษย์ จะยังพัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร? มวลมนุษย์จะยังสามารถชื่นชมวิถีชีวิตแบบปัจจุบันได้หรือไม่? โลกจะพัฒนาจนมีสภาวะอย่างในปัจจุบันหรือไม่? โลกจะไม่เป็นเหมือนสังคมบุพกาลหรือ? พวกเราจะมีวิถีชีวิตแบบมนุษย์สมัยใหม่อย่างทุกวันนี้หรือ?” เรื่องนี้เป็นประเด็นปัญหาหรือ? เป็นไปได้ที่ไม่สำคัญว่าพวกเราสามัคคีธรรมกันด้วยหัวข้ออะไร พวกเจ้าก็ล้วนแต่ยอมรับหัวข้อนั้นจากมุมมองที่ว่า “พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ควรเป็นที่ยอมรับและนบนอบ” ดังนั้นโดยส่วนใหญ่แล้ว พวกเจ้าไม่มีความเห็นต่างที่จะนำมาหักล้างพระวจนะที่เราสามัคคีธรรมแก่เจ้า แต่นี่ไม่ใช่อย่างเดียวกับการไม่มีใครสักคน—หรือไม่มีบุคคลที่สาม—หยิบยกข้อกังขาเหล่านี้ขึ้นมาใช่ไหมเล่า? หากมีบางคนหยิบยกคำถามเช่นนี้ขึ้นมาจริง พวกเจ้าจะตอบว่าอย่างไร? (ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามุมมองที่แสดงในคำถามนี้นั้นผิด เพราะความสนใจและงานอดิเรกของผู้คนไม่ได้ควบคุมพัฒนาการของเทคโนโลยี และไม่ได้ควบคุมความก้าวหน้าของยุคทั้งหลาย พัฒนาการของเทคโนโลยีและความก้าวหน้าของยุคสมัยทั้งหลาย ล้วนอยู่ใต้อธิปไตยของพระเจ้า ท่านไม่อาจพูดได้ว่า ใครบางคนที่มีความสนใจหรืองานอดิเรกสักอย่าง สามารถผลักดันพัฒนาการของโลกให้ไปข้างหน้าได้ หรือพูดว่าพวกเขาเปลี่ยนโลกได้) เจ้ากำลังพูดในระดับมหภาค มีวิธีมองเรื่องนี้แบบอื่นอีกหรือไม่? นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเข้าใจความจริงจริงหรือไม่ พวกเจ้าคิดว่าหลังได้ยินพระวจนะแห่งการสามัคคีธรรมเหล่านี้แล้ว ผู้ไม่มีความเชื่อจะหยิบยกคำถามแบบนี้ขึ้นมาหรือไม่? (อาจจะ) เช่นนั้น ถ้าพวกเขาหยิบยกคำถามนี้ขึ้นมา เจ้าจะตอบด้วยความจริงโดยสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ไร้อคติ—ได้อย่างไร? หากเจ้าตอบไม่ได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะบอกว่าเจ้าถูกชักพาให้หลงผิดเสียแล้ว การที่เจ้าไม่สามารถตอบเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงสักข้อเป็นอย่างน้อย ก็คือการที่เจ้าไม่เข้าใจแง่มุมนี้ของความจริง พวกเจ้าไม่สามารถตอบได้ใช่หรือไม่? (พวกข้าพเจ้าไม่สามารถตอบได้) เช่นนั้นแล้ว พวกเราก็พูดกันเรื่องนี้เถิด
บางคนกล่าวว่า “หากมวลมนุษย์ไม่ได้ไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติของตน เช่นนั้นแล้ว โลกจะได้พัฒนามาจนถึงภาวะปัจจุบันหรือไม่?” คำตอบคือ “ใช่” มันไม่เรียบง่ายหรือ? (เรียบง่าย) คำอธิบายที่เรียบง่ายที่สุด ตรงทื่อที่สุดสำหรับคำว่า “ใช่” นี้คืออะไรหรือ? คำอธิบายนั้นคือ ไม่ว่ามวลมนุษย์จะไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติของตัวเองหรือไม่ ก็ไม่ได้ส่งอิทธิพลใดต่อโลกนี้ เพราะพัฒนาการของโลกจวบจนปัจจุบันไม่ได้ถูกผลักดันไปข้างหน้าและนำทางโดยอุดมคติของมวลมนุษย์ หากแต่พระผู้สร้างทรงนำมวลมนุษย์มาสู่ปัจจุบัน มาสู่วันนี้ แม้ปราศจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขา มวลมนุษย์ก็จะมาถึงทุกวันนี้ได้ไม่ต่างกัน แต่หากปราศจากภาวะผู้นำและอธิปไตยของพระผู้สร้าง มวลมนุษย์จะมาไม่ถึง คำอธิบายเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่? (เหมาะสม) เหมาะสมตรงไหน? นั่นตอบคำถามนั้นหรือไม่? นั่นอธิบายแก่นแท้ของคำถามนั้นหรือไม่? นั่นไม่อธิบายแก่นแท้ เพียงแต่ตอบคำถามนั้นในเชิงทฤษฎี ในแบบที่เรียกได้ว่าเป็นคำจำกัดความของวิสัยทัศน์หนึ่ง แต่มีคำอธิบายที่ลงรายละเอียดและเป็นแก่นแท้กว่านี้ ซึ่งยังไม่ถูกเปล่งออกมา คำอธิบายลงรายละเอียดนั้นคืออะไร? ขอพวกเราคุยกันอย่างเรียบง่ายก่อน ในบรรดามวลมนุษย์ ผู้คนติดตามคนประเภทเดียวกับตัวเอง โดยคนแต่ละประเภทก็มีภารกิจของตัวเอง ภารกิจของคนที่เชื่อในพระเจ้าคือการเป็นพยานยืนยันอธิปไตยของพระผู้สร้าง การเป็นพยานยืนยันกิจการของพระองค์ การทำสิ่งที่พระองค์ทรงไว้วางพระทัยมอบหมายแก่พวกเขาให้ครบบริบูรณ์ การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี และการได้รับการช่วยให้รอดที่ปลายทาง นี่คือภารกิจของพวกเขา ถ้าพูดลงรายละเอียดกว่านี้ก็คือการเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ และจากนั้นก็ขว้างทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนและได้รับการช่วยให้รอดโดยการยอมรับภาวะผู้นำของพระองค์และการรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าทรงเลือกสรรคนประเภทนี้ พวกเขาเป็นบุคคลประเภทที่ให้ความร่วมมือกับพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำในพระราชกิจบริหารจัดการ ภารกิจของบุคคลประเภทนี้คือการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีและทำสิ่งที่พระองค์ทรงไว้วางพระทัยมอบหมายแก่พวกเขาให้ครบบริบูรณ์ คนคนหนึ่งกล่าวได้ว่า คนเช่นนี้เป็นกลุ่มที่มีเอกลักษณ์ในบรรดาหมู่มวลมนุษย์ คนกลุ่มที่มีเอกลักษณ์นี้แบกรับภารกิจหนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์ในพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า—ในแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์ พวกเขามีหน้าที่หนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์และความรับผิดชอบหนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์ ดังนั้น เมื่อเราบอกให้ละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเกิดจากความสนใจและงานอดิเรก เรากำลังพึงประสงค์ให้คนเหล่านี้—ซึ่งเราหมายถึงพวกเจ้าทุกคน—ละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีส่วนตัว เพราะภารกิจของพวกเจ้า หน้าที่ของพวกเจ้า และความรับผิดชอบของพวกเจ้านั้น อยู่ที่พระนิเวศของพระเจ้าและที่คริสตจักร ไม่ใช่บนแผ่นดินโลกนี้ นี่คือการกล่าวว่า พวกเจ้าทั้งผองไม่ได้มีส่วนอะไรกับพัฒนาการและความรุดหน้าของโลกนี้หรือแนวโน้มใดของโลกนี้ คนคนหนึ่งกล่าวได้ว่า พระเจ้าไม่ได้จัดเตรียมภารกิจใดเกี่ยวกับพัฒนาการและความรุดหน้าของโลกนี้แก่พวกเจ้าเลย นี่คือการทรงสถาปนาของพระองค์ ภารกิจใดเล่าที่พระเจ้าได้ประทานแก่ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรร ผู้ที่พระองค์จะช่วยให้รอด? ภารกิจนั้นคือการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีในพระนิเวศของพระเจ้าและได้รับการช่วยให้รอด หนึ่งในสิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนทำเพื่อได้รับการช่วยให้รอด คือการไล่ตามเสาะหาความจริง และหนึ่งในหนทางที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนทำเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง คือการละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน ดังนั้นพระวจนะและข้อทรงพึงประสงค์เหล่านี้จึงไม่ได้มุ่งไปที่บรรดามวลมนุษย์ หากแต่ให้มุ่งไปที่พวกเจ้า ไปยังประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรซึ่งพระองค์ได้คัดสรรแล้ว และไปยังทุกคนที่ต้องการได้รับการช่วยให้รอด—และแน่นอนพระวจนะและข้อทรงพึงประสงค์เหล่านี้ถูกให้มุ่งไปยังทุกคนที่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองในพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมวลมนุษย์ อะไรคือบทบาทที่พวกเจ้าสามารถเล่นได้ในพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า? พวกเจ้าคือผู้ที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด ดังนั้น เมื่อเป็นเรื่องของคนที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด “การช่วยให้รอด” นี้หมายรวมถึงอะไรบ้าง? นั่นหมายรวมถึงการยอมรับพระวจนะของพระเจ้า การทรงตีสอนและการทรงพิพากษาของพระองค์ การทรงสถาปนาของพระองค์ อธิปไตยและการทรงจัดการเตรียมการของพระองค์ นบนอบต่อพระวจนะทั้งมวลของพระองค์ เดินตามหนทางของพระองค์ และท้ายที่สุดก็คือการนมัสการพระองค์และการหลบเลี่ยงความชั่ว ด้วยการทำเช่นนี้ เจ้าจะถูกช่วยให้รอด และเข้าไปสู่ยุคต่อไป นี่คือบทบาทที่พวกเจ้าเล่นในบรรดาหมู่มวลมนุษย์ และเป็นภารกิจที่มีเอกลักษณ์ซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่พวกเจ้าท่ามกลางผู้คนทั้งมวล แน่นอนว่าหากพูดจากมุมมองของพวกเจ้า นี่เป็นความรับผิดชอบและหน้าที่ประเภทพิเศษที่พวกเจ้ามีท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์ นี่คือการพูดถึงประเด็นปัญหานี้จากมุมมองของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรซึ่งพระองค์ได้ทรงคัดสรรแล้ว รองลงมาคือ ท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์ พระเจ้าได้ทรงมอบภารกิจหนึ่งที่มีเอกลักษณ์แก่คนกลุ่มที่มีเอกลักษณ์นี้ พระองค์ไม่ได้ทรงจำเป็นต้องให้พวกเขามีภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบใดในเรื่องการพัฒนา ความรุดหน้า หรือสิ่งอื่นใดที่เกี่ยวกับโลกนี้ นอกเหนือจากคนกลุ่มที่มีเอกลักษณ์นี้ พระเจ้ายังได้ประทานภารกิจสารพันแก่คนทุกประเภทที่เหลือซึ่งพระองค์ไม่ได้ทรงเลือกสรร ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะมีแก่นแท้ธรรมชาติอย่างไร ภารกิจทั้งหลายของพวกเขาเป็นเหตุให้พวกเขาเล่นบทบาทนานาสารพันในต่างช่วงเวลา ต่างสภาพแวดล้อมทางสังคม และต่างเชื้อชาติของมวลมนุษย์ เติมเต็มทุกชนชั้นอาชีพ เนื่องด้วยบทบาทหลากหลายที่พระเจ้าทรงสถาปนาให้พวกเขาเล่น พวกเขาแต่ละคนจึงมีความสนใจและงานอดิเรกของตัวเอง ภายใต้เงื่อนไขเบื้องต้นแห่งความสนใจและงานอดิเรกเหล่านี้ การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีทุกประเภทจึงเกิดขึ้นในพวกเขา เนื่องจากพวกเขามีการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีทุกประเภท โลกนี้จึงสร้างสิ่งใหม่และอุตสาหกรรมใหม่นานาประเภทขึ้นในต่างยุคและต่างสภาพแวดล้อมทางสังคม—ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยี การแพทย์ ธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ และการศึกษา หรืออุตสาหกรรมเบาอย่างสิ่งทอและงานหัตถกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมการบินและการเดินเรือ และอื่นๆ ดังนั้น บุคคลสำคัญแถวหน้า ปัจเจกบุคคลที่โดดเด่น และคนมักใหญ่ใฝ่สูงที่มีเอกลักษณ์ซึ่งเกิดขึ้นในทุกสาขาอันเป็นผลลัพธ์ของการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันหลากหลายของพวกเขา จึงมีภารกิจของตัวเองในช่วงเวลาที่ต่างกัน และในสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ต่างกันไป ในเวลาเดียวกันนั้น พวกเขาก็ทำภารกิจของตัวเองให้ลุล่วงอย่างต่อเนื่องในสภาพแวดล้อมทางสังคมเฉพาะของตัวเอง ในหนทางนี้ สังคมจึงพัฒนาและรุดหน้าอย่างต่อเนื่องในต่างช่วงเวลาและสภาพแวดล้อมทางสังคมของมวลมนุษย์ โดยเป็นผลลัพธ์ของการทำให้การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของปัจเจกบุคคลอันมีเอกลักษณ์เหล่านี้เป็นจริงขึ้นมา และแน่นอนว่า การนั้นนำพาคุณสมบัติทั้งหลายของชีวิตฝ่ายวัตถุมาสู่มวลมนุษย์ ตัวอย่างเช่น เมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อนยังไม่มีไฟฟ้า ผู้คนจึงใช้ตะเกียงน้ำมัน ในรูปการณ์แวดล้อมอันมีเอกลักษณ์เหล่านี้ บุคคลหนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์ก็มาปรากฏและประดิษฐ์ไฟฟ้า และมวลมนุษย์ก็เริ่มใช้ไฟฟ้าเพื่อให้แสงสว่าง อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ในหนึ่งสภาพแวดล้อมเฉพาะทางสังคม บุคคลผู้มีเอกลักษณ์อีกคนได้ปรากฏขึ้น เขาเห็นว่าการเขียนหนังสือบนแผ่นไม้ไผ่นั้นยุ่งยากเกินไป และเขาหวังว่าวันที่คนเราสามารถเขียนบนพื้นผิวที่บางและเรียบซึ่งทั้งสะดวกและอ่านง่ายจะมาถึง แล้วเขาก็เริ่มค้นคว้าเทคนิคการผลิตกระดาษ และเขาก็ประดิษฐ์กระดาษขึ้นในที่สุดผ่านการค้นคว้า สำรวจ และทดลองอย่างต่อเนื่องของเขา จากนั้นก็มีการประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำด้วย ในช่วงเวลาหนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์ บุคคลหนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์ก็มาปรากฏ เขาคิดว่าการใช้มือทำงานเหนื่อยยากเกินไป สิ้นเปลืองพลังงานของมนุษย์มากเกินไป และไร้ประสิทธิภาพเกินไป หากมีจักรกลหรือวิธีอื่นใดสามารถแทนที่แรงงานมนุษย์ได้ เช่นนั้นแล้ว ผู้คนก็จะประหยัดเวลาได้มากโขและสามารถทำสิ่งอื่นได้ ดังนั้นเครื่องจักรไอน้ำจึงถูกประดิษฐ์ขึ้นด้วยการค้นคว้าและสำรวจ และจากนั้นเครื่องกลไกสารพัดประเภทก็ถูกประดิษฐ์ขึ้นอย่างแล้วอย่างเล่า โดยใช้หลักการการขับเคลื่อนของเครื่องจักรไอน้ำ นั่นไม่ได้เป็นแบบนั้นหรือ? (เป็นแบบนั้น) ดังนั้น ในช่างเวลาที่ต่างกันไป การพิสูจน์ยืนยันและการทำให้การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของบุคคลหนึ่งอันเป็นเอกลักษณ์หรือคนกลุ่มหนึ่งอันเป็นเอกลักษณ์เป็นจริงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จึงค่อยๆ พัฒนาและขับเคลื่อนทั้งอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมเบาไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้คุณภาพชีวิตและภาวะการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง บัดนี้อุตสาหกรรมเบาอย่างสิ่งทอและงานหัตถกรรม กำลังพัฒนาคุณภาพ ความประณีต และความเที่ยงตรงไปในระดับที่สูงขึ้น และความชื่นชมยินดีของมวลมนุษย์ที่มีต่อสิ่งนี้ก็มากขึ้น ส่วนอุตสาหกรรมหนักอย่างการคมนาคมสารพัดประเภท อาทิ รถยนต์ รถไฟ เรือกลไฟ และเครื่องบิน ก็ช่วยให้ชีวิตผู้คนง่ายขึ้นมาก ทำให้ผู้คนเดินทางได้ง่ายและสะดวก นี่คือกระบวนการที่แท้จริงและการสำแดงแบบละเอียดแห่งพัฒนาการของมนุษยชาติ กล่าวโดยสั้นก็คือ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเบาหรืออุตสาหกรรมหนัก ไม่ว่าจะในแง่มุมไหน ความสนใจและงานอดิเรกของบุคคลที่มีเอกลักษณ์คนหนึ่งหรือกลุ่มคนที่มีเอกลักษณ์นี่เอง ที่ริเริ่มและผลิตทุกสิ่ง เนื่องด้วยความสนใจและงานอดิเรกอันมีเอกลักษณ์ของพวกเขา พวกเขาจึงมีการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของตัวเอง พร้อมกันนั้น เนื่องด้วยการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาในต่างช่วงเวลาของมวลมนุษย์และในสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เขาใช้ชีวิตอยู่ สาขาวิชาอันหลากหลายในหมู่พวกเขาจึงทำให้เกิดสิ่งทั้งหลายที่รุดหน้าสารพัด เป็นสิ่งที่สะดวกขึ้น รวมถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์มากขึ้นต่อการฟูมฟักคุณภาพชีวิตท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งผอง เรื่องนี้ช่วยผ่อนหนักให้มวลมนุษย์และฟูมฟักคุณภาพชีวิตของพวกเขา พวกเราจะไม่พูดเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด พวกเราจะพูดกันถึงจุดกำเนิดของปัจเจกชนที่มีเอกลักษณ์เหล่านี้แทน ปัจเจกชนที่มีเอกลักษณ์เหล่านี้ในช่วงเวลาที่ต่างกันนั้นมาจากไหนเล่า? พวกเขาไม่ได้มาจากการทรงสถาปนาของพระเจ้าหรือ? (พวกเขามาจากการทรงสถาปนา) ประเด็นนี้แน่นอนเกินกว่าจะสงสัย และไม่มีใครไม่ยอมรับได้ เมื่อมองว่าพวกเขาได้รับการทรงสถาปนาจากพระเจ้า ภารกิจของพวกเขาก็เกี่ยวข้องกับการทรงสถาปนาของพระเจ้าด้วย ที่ว่า “เกี่ยวข้องกับการทรงสถาปนาของพระเจ้านั้น” หมายความว่าอย่างไร? นั่นหมายความว่าพระเจ้าได้ประทานภารกิจอันมีเอกลักษณ์แก่ปัจเจกบุคคลที่มีเอกลักษณ์เหล่านี้ เป็นเหตุให้พวกเขามาปรากฏในเวลาที่เฉพาะ เพื่อทำสิ่งที่พวกเขาต้องการในเวลาที่เฉพาะ และจากนั้นก็กระตุ้นมนุษยชาติในต่างช่วงเวลา ผ่านสิ่งอันมีเอกลักษณ์ที่ปัจเจกชนเหล่านั้นทำ เนื่องด้วยปัจเจกชนที่มีเอกลักษณ์เหล่านี้เอง โลกนี้จึงกำลังเจอความเปลี่ยนแปลงและการสร้างขึ้นใหม่อันแยบคายอย่างต่อเนื่อง นี่คือวิธีที่มนุษยชาติพัฒนา
อะไรคือความแตกต่างระหว่างพวกที่มีความสนใจและงานอดิเรกอันเป็นเอกลักษณ์กับบรรดาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรซึ่งพระองค์ได้ทรงคัดสรรแล้ว? ความแตกต่างนั้นคือ ถึงแม้พระเจ้าจะทรงลิขิตภารกิจอันเป็นเอกลักษณ์แก่ผู้คนเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่ใช่คนที่พระองค์ทรงลิขิตไว้สำหรับการช่วยให้รอด ดังนั้นข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาก็เพียงแค่พวกเขาต้องทำบางสิ่งอันเป็นเอกลักษณ์ ในยุคที่เป็นเอกลักษณ์ และช่วงเวลาอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา พวกเขาทำภารกิจของตนเสร็จสิ้น และเมื่อถึงเวลาอันเป็นเอกลักษณ์ พวกเขาก็จากไป ในขณะที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก พระเจ้าย่อมไม่ทรงพระราชกิจแห่งการช่วยให้รอดในตัวพวกเขา พวกเขามีเพียงภารกิจเพื่อการพัฒนาและความก้าวหน้าของสังคมนี้และมวลมนุษย์ หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงภาวะการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์ในช่วงเวลาที่ต่างกันไปเท่านั้น พวกเขาไม่เกี่ยวอะไรกับพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาทำภารกิจประเภทใดเสร็จสิ้น ไม่ว่าพวกเขามีคุณูปการต่อมวลมนุษย์มากเพียงใด หรือมีอิทธิพลต่อมวลมนุษย์ลุ่มลึกเพียงใด พวกเขาก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าเลย พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ ของกระแสนิยม ของการพัฒนา รวมถึงของทุกๆ สาขาวิชาและอุตสาหกรรมของโลกใบนี้ พวกเขาไม่เกี่ยวอะไรกับพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าเลย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เกี่ยวอะไรกับพระวจนะแต่ละคำที่พระองค์ตรัส พระวจนะแต่ละคำที่พระองค์ทรงจัดเตรียมแก่มวลมนุษย์ ความจริงและชีวิตที่พระองค์ทรงแสดง หรือข้อพึงประสงค์หลากหลายที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์เลย นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าถ้อยดำรัสที่พระเจ้าตรัสต่อมวลมนุษย์ทั้งปวง ต่อทั้งจักรวาล ไปจนถึงข้อพึงประสงค์และหลักธรรมเฉพาะที่พระองค์ตรัสถึงนั้นไม่ได้มุ่งไปที่ผู้คนทั้งหมด แน่นอนว่ายิ่งไม่ได้มุ่งไปยังผู้คนที่มีเอกลักษณ์ซึ่งรับบทบาทสำคัญในการพัฒนาสังคมมนุษย์ พระวจนะของพระเจ้า—ความจริง หนทาง และชีวิต—มุ่งตรงไปยังประชากรที่ได้รับการเลือกสรรซึ่งพระเจ้าทรงคัดสรรแล้วเท่านั้น ประเด็นนี้อธิบายได้อย่างง่ายดาย กล่าวคือพระวจนะของพระเจ้ามุ่งตรงไปยังใครก็ตามที่พระองค์ทรงเลือกสรร ใครก็ตามที่พระองค์ทรงต้องการช่วยให้รอด ใครก็ตามที่พระองค์ทรงต้องการให้พวกเขาได้รับการช่วยให้รอด หากใครบางคนไม่ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า และหากว่าพระองค์ไม่ทรงวางแผนที่จะช่วยพวกเขาให้รอด เช่นนั้นแล้วพระวจนะแห่งชีวิตเหล่านี้ก็จะไม่ถูกตรัสกับพวกเขา—พวกเขาจึงไม่มีส่วนร่วมในพระวจนะเหล่านั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) ปัจเจกชนที่มีเอกลักษณ์เหล่านี้มีความสนใจและงานอดิเรกอันเป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงมีการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่แตกต่างและสูงกว่าคนทั่วไป เพราะพวกเขามีการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเป็นเอกลักษณ์เหล่านี้ และเพราะพวกเขามีความสนใจและงานอดิเรกที่มีความแตกต่างหรือเป็นเอกลักษณ์ พวกเขาจึงรับบทบาทสำคัญระหว่างการพัฒนาสังคมมนุษย์ และแน่นอนว่าพวกเขาทำภารกิจที่สำคัญของตนเองเสร็จสิ้นในช่วงเวลาอื่น ไม่ว่าท้ายที่สุดพวกเขาได้ทำภารกิจของตนเองให้เสร็จสิ้นตามมาตรฐานที่ยอมรับได้หรือไม่ ก็มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่เกิดขึ้นจากความสนใจและงานอดิเรกเหล่านี้ เนื่องด้วยบุคคลเหล่านี้มีภารกิจอันเป็นเอกลักษณ์ พวกเขาจึงต้องทำให้การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของตนเป็นจริงขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่งและภายใต้รูปการณ์แวดล้อมทางสังคมรูปแบบหนึ่ง นี่เป็นภารกิจที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา เป็นภารกิจที่พระองค์ทรงเพิ่มให้พวกเขา นี่คือความรับผิดชอบของพวกเขา และเป็นวิธีที่พวกเขาต้องปฏิบัติตน ไม่ว่าเนื้อหนัง หัวใจ หรือโลกทางความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาแบกรับความเคร่งเครียดมากแค่ไหน หรือพวกเขาต้องยอมลำบากมากเพียงใด เพื่อไล่ตามไขว่คว้าการทำให้อุดมคติและความอยากได้อยากมีของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมานั้น พวกเขาทุกคนจะ—หรือต้อง—ทำภารกิจที่ตนเองควรทำให้เสร็จสิ้น เพราะนี่คือการลิขิตของพระเจ้า ไม่มีผู้ใดสามารถหนีพ้นจากการลิขิตของพระเจ้าได้ และไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอดไปจากอธิปไตยหรือการจัดการเตรียมการของพระองค์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เกี่ยวอะไรโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่พวกเรากำลังพูดถึงในเรื่องของการละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน การบอกว่าสองสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกันหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าพระวจนะที่ว่าด้วยการละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คนเหล่านี้ ไม่ได้มุ่งตรงไปยังพวกเขา ไม่ว่าช่วงเวลาใด ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมทางสังคมเป็นอย่างไร และไม่ว่ามวลมนุษย์พัฒนาไปถึงจุดไหน พระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา พระวจนะเหล่านี้ไม่ได้มุ่งตรงไปยังพวกเขา ดังนั้นพระวจนะเหล่านี้จึงไม่ใช่ข้อพึงประสงค์ที่มีต่อพวกเขา พวกเขาต้องทำภารกิจที่ควรทำให้เสร็จสิ้นภายใต้การลิขิต อธิปไตย และการจัดการเตรียมการของพระเจ้า พวกเขาต้องทำสิ่งที่พวกเขาพึงกระทำในช่วงเวลาที่ต่างกัน ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมทางสังคมที่ต่างกันของมวลมนุษย์ที่ชั่วและเสื่อมทราม ทำภาระผูกพันของตนให้ลุล่วง อีกทั้งทำภารกิจที่พวกเขาควรจะทำให้เสร็จสิ้น เช่นนั้นพวกเขากำลังมีบทบาทอยู่ในส่วนของคนปรนนิบัติหรือตัวประกอบเสริมความเด่น? ไม่ว่าเจ้าพูดเช่นไรก็ย่อมได้ทั้งนั้น โดยสรุปแล้วพวกเขาไม่ใช่บรรดาคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และไม่ใช่คนที่พระองค์ทรงต้องการช่วยให้รอด—แค่นั้นเอง ดังนั้นไม่ว่าผู้เชื่อละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอย่างไร ก็จะไม่ทำให้การพัฒนาของโลกใบนี้หรือของมวลมนุษย์ล่าช้า และแน่นอนว่าจะไม่ทำให้การพัฒนาของสาขาวิชาและอุตสาหกรรมหลากหลายในช่วงเวลาที่ต่างกัน และในรูปการณ์แวดล้อมทางสังคมที่ต่างกันล่าช้า เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่? (ใช่) เหตุผลคืออะไร? เหตุผลคือการพัฒนาของมวลมนุษย์และอุตสาหกรรมทั้งหลายในสังคมไม่เกี่ยวข้องกับผู้เชื่อหรือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ดังนั้นเจ้าจึงไม่ต้องกังวลว่า "หากพวกเราทำตามที่พระองค์ตรัสและละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมี แล้วสังคมนี้กับมวลมนุษย์จะพัฒนาต่อไปหรือไม่?” เหตุใดเจ้าจึงวิตกกังวลเล่า? เจ้าไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเลย พระเจ้าทรงมีแผนการและการจัดการเตรียมการ—เจ้าเข้าใจเรื่องนั้นใช่หรือไม่? (ใช่) ความวิตกกังวลของเจ้าเกินความจำเป็น ซึ่งเกิดจากการที่เจ้าไม่ได้มองเห็นสิ่งทั้งหลายอย่างชัดเจน และจากการที่เจ้าไม่เข้าใจความจริง
สิ่งใดคือการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่ผู้เชื่อในพระเจ้าพึงมี? เจ้าต้องทำหน้าที่ของตนให้ดี ให้ถึงตามมาตรฐานที่ยอมรับได้ ทำสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้าให้เสร็จสิ้น ไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงในกระบวนการแห่งการทำหน้าที่ของเจ้า สัมฤทธิ์การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง โดยการมีทัศนะต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมถึงการวางตัวของตนเองและการปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ ด้วยการมีความจริงเป็นเกณฑ์ของเจ้า สิ่งเหล่านี้คือการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่เจ้าพึงมี การไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีทางโลกที่เกิดขึ้นจากความสนใจและงานอดิเรกนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าควรจะละวางไปเสีย เหตุใดเจ้าจึงจำเป็นต้องละวางสิ่งเหล่านั้น? เจ้าแตกต่างจากผู้คนภายนอกคริสตจักร พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรเจ้า ส่วนเจ้าได้เลือกที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าได้ตัดสินใจแล้วที่จะติดตามเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง ดังนั้นเป้าหมายและทิศทางชีวิตของเจ้าจึงควรมีประสบการณ์การเปลี่ยนแปลง และเจ้าควรละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเกิดขึ้นจากความสนใจและงานอดิเรกโดยครบถ้วนและสมบูรณ์ เหตุใดเจ้าจึงต้องละวางสิ่งเหล่านั้น? เพราะนั่นไม่ใช่ทางที่เจ้าควรเดิน นั่นคือถนนของผู้ไม่มีความเชื่อ ของพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้า หากเจ้าไล่ตามไขว่คว้าที่จะเดินไปบนถนนสายนั้น เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ใช่หนึ่งในบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร หากเจ้าไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากได้อยากมีเช่นเดียวกับผู้ไม่มีความเชื่อ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าย่อมไม่สามารถสัมฤทธิ์การถูกช่วยให้รอดได้ พูดให้เจาะจงยิ่งขึ้นก็คือหากเจ้าไม่สามารถละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของเจ้าได้ และยิ่งกว่านั้นก็คือเจ้าต้องการทำให้สิ่งเหล่านั้นเป็นจริงขึ้นมา เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมไม่สามารถนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้า หรือยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ และเจ้าจะไม่มีวันได้รับการช่วยให้รอด การนี้หมายความว่าอย่างไร? การไม่สามารถละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของเจ้า และซ้ำร้ายยังอยากให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงด้วย เทียบเท่ากับการที่เจ้าละทิ้งการไล่ตามเสาะหาความจริง การละทิ้งความรอด และการไม่ต้องการนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? (ใช่) ดังนั้นสุดท้ายก็ย่อมเป็นอย่างที่เราพูด นั่นคือ หากเจ้าต้องการไล่ตามเสาะหาความจริง ก่อนอื่นเจ้าควรละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีอันเกิดจากความสนใจและงานอดิเรกเสียก่อน เจ้าต้องละวางสิ่งเหล่านี้ให้ได้ เพราะการไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากได้อยากมีทางโลกไม่เกี่ยวอะไรกับบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและความรอดเลย นั่นไม่ใช่ถนนที่เจ้าควรเดิน อีกทั้งไม่ใช่เป้าหมายและทิศทางที่เจ้าควรกำหนดและมีในชีวิตของเจ้า หากเจ้ามักจะวางแผนและคิดคำนวณเรื่องนี้อยู่ในใจ เค้นสมองเพื่อใคร่ครวญและพิจารณาถึงการนี้อยู่บ่อยครั้ง เช่นนั้นเจ้าก็ควรละวางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เจ้าไม่อาจเหยียบเรือสองแคมโดยต้องการไล่ตามเสาะหาความจริงและสัมฤทธิ์ความรอด ในขณะเดียวกันก็อยากไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทางโลก พร้อมทำให้อุดมคติและความอยากได้อยากมีของตนเองเป็นจริงได้ ในหนทางนี้ ไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่สามารถสัมฤทธิ์หรือทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นจริงได้เท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น—และเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด—สิ่งนั้นจะส่งผลกระทบต่อความรอดของเจ้าด้วย ท้ายที่สุดเจ้าจะพลาดพระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า ปล่อยให้โอกาสที่ดีที่สุดสำหรับความรอดของมวลมนุษย์ของพระเจ้าหลุดมือไป และเสียโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด สุดท้ายเจ้าจะร่วงลงสู่ความวิบัติ ตีอกชกตัวกระทืบเท้า และจะเสียใจก็สายเกินไปแล้ว—นี่ย่อมจะเป็นชะตากรรมอันน่าเศร้าของเจ้า หากเจ้าเป็นคนฉลาดหลักแหลม และตัดสินใจแล้วว่าจะไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นเจ้าก็ควรละวางอุดมคติและความอยากได้อยากมีที่เจ้าเคยมีหรือยังคงไล่ตามไขว่คว้าอยู่ พวกคนเขลา พวกโง่เง่า คนที่ไร้ปัญญา และผู้คนที่สับสนเลอะเลือน—ผู้คนเหล่านี้ต้องการที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับการช่วยให้รอด แต่พวกเขาไม่ต้องการละวางการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีทางโลก พวกเขาต้องการที่จะได้ทั้งสองทาง พวกเขาคิดว่าการปฏิบัติตนในหนทางนี้เป็นการได้เปรียบ เป็นสิ่งที่ฉลาดหลักแหลม ขณะที่ในข้อเท็จจริงแล้ว นี่เป็นครรลองที่โง่เง่าที่สุดในการปฏิบัติตนทั้งหมด ผู้คนที่ฉลาดหลักแหลมย่อมจะละทิ้งการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีทางโลกของพวกเขาไปโดยสิ้นเชิง เลือกที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับการช่วยให้รอด ไม่ว่าโลกนี้พัฒนาไปถึงระดับไหน และไม่ว่าสภาวะของกิจการหรือการพัฒนาของสาขาวิชาและอุตสาหกรรมที่หลากหลายจะเป็นเช่นไร ก็ไม่มีสิ่งใดที่เกี่ยวกับเจ้าเลย จงปล่อยให้พวกที่เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ ปล่อยให้พวกมารที่ใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกทำในสิ่งที่พวกเขาพึงกระทำ สิ่งที่พวกเราจะทำนั้น ในทางหนึ่งก็เพื่อทำหน้าที่ที่พวกเราควรทำให้เสร็จสิ้น และอีกทางหนึ่งก็เพื่อชื่นชมผลจากน้ำพักน้ำแรงของพวกเขา ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้! ตัวอย่างเช่น คอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ที่พวกเขาคิดค้นขึ้นมาเป็นประโยชน์ต่อการทำหน้าที่และการทำงานของเจ้าอย่างยิ่ง เจ้ารับและใช้สิ่งนั้น ทำให้สิ่งนั้นรับใช้เจ้า เจ้าทำให้สิ่งนั้นช่วยเหลือเจ้าเวลาที่เจ้าลุล่วงหน้าที่ของเจ้า ช่วยให้เจ้าทำงานของตนให้เสร็จสิ้นได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ของเจ้า และทำให้ผลลัพธ์ของหน้าที่ดังกล่าวดียิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการประหยัดเวลาได้มากขึ้นด้วย ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน! เจ้าไม่จำเป็นต้องเค้นสมองของเจ้าในการค้นคว้าว่า “ซอฟต์แวร์ตัวนี้ถูกคิดค้นขึ้นมาได้อย่างไร? มันมาจากใคร? ฉันควรทุ่มเทความพยายามให้กับซอฟต์แวร์ตัวนี้ในทางเทคนิคนี่ได้อย่างไร?” การที่เจ้าเค้นสมองเช่นนี้นั้นไร้ประโยชน์ ความคิดและเรี่ยวแรงของเจ้าไม่ได้มีไว้เพื่อสิ่งนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้เรี่ยวแรงหรือเซลล์สมองของเจ้าเพื่อมีส่วนช่วยในเรื่องนี้ ปล่อยให้ผู้คนทางโลกที่ควรทำการนี้มีส่วนช่วยเถิด หลังจากที่พวกเขามีส่วนช่วยแล้วพวกเราค่อยนำมาใช้ ช่างวิเศษเหลือเกิน! ทุกสิ่งถูกทำไว้ให้พร้อมใช้แล้ว พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นที่จะต้องไล่ตามไขว่คว้าสิ่งนี้ อีกทั้งเจ้าไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลหรือทุ่มเทความพยายามให้กับเรื่องเหล่านี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องรับอะไรมาทำเสียเอง และไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงหรือกังวลใจในเรื่องใด ทั้งหมดที่เจ้าจำเป็นต้องทำคือทำหน้าที่ของตนให้ดี ไล่ตามเสาะหาความจริง สัมฤทธิ์การเข้าใจความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง นี่เป็นเส้นทางที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตมิใช่หรือ? (ใช่)
พวกเจ้าเข้าใจประเด็นปัญหาของการไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติและความอยากได้อยากมีหรือไม่? คนบางคนกล่าวว่า “หากผู้คนไม่ไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติของพวกเขา เช่นนั้นโลกนี้จะยังมีการพัฒนาไปข้างหน้าอยู่หรือไม่?” เราตอบว่ายังจะมี พวกเจ้าจับใจความจากคำตอบนี้ได้หรือไม่? พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) เช่นนั้นพวกเจ้าก็มองเห็นแก่นแท้ของประเด็นปัญหาที่พวกเรากำลังพูดถึงอยู่ได้อย่างชัดเจนด้วยใช่หรือไม่? อันที่จริงก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? (ใช่) เมื่อเป็นเรื่องของคำพูดสุดท้าย—นั่นคือการพัฒนา ความก้าวหน้า และกิจธุระทั้งหลายบนโลก—ปล่อยให้พวกมารผู้อยู่บนโลก หรือที่เรียกว่า “มนุษย์” ผู้เป็นส่วนหนึ่งของโลกจัดการเรื่องนี้เถิด การนี้ไม่เกี่ยวกับบรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าเลย ภารกิจและความรับผิดชอบของบรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าเหล่านั้นคืออะไร? (คือการทำหน้าที่ของพวกเขาให้ดี ไล่ตามเสาะหาความจริง และสัมฤทธิ์ความรอด) ถูกต้อง สิ่งนี้เฉพาะเจาะจงและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก นี่ไม่เรียบง่ายหรอกหรือ? (เรียบง่าย) บรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าพึงต้องไล่ตามเสาะหาความจริงและเดินตามหนทางของพระองค์เท่านั้น และท้ายที่สุดพวกเขาย่อมจะได้รับการช่วยให้รอด นี่คือภารกิจของเจ้า อีกทั้งเป็นความคาดหวังและความหวังสูงสุดที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเจ้า พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการเรื่องที่เหลือ ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นที่จะต้องกระวนกระวายหรือกังวลใจ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะได้ชื่นชมทุกสิ่งที่เจ้าควรได้ชื่นชม ได้กินทุกอย่างที่เจ้าควรได้กิน และได้ใช้ทุกอย่างที่เจ้าควรได้ใช้ ทุกสิ่งจะมากเกินกว่าที่เจ้าจินตนาการและคาดหวัง อีกทั้งจะอุดมสมบูรณ์ พระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้เจ้าขาดพร่องและขัดสน มีบรรทัดหนึ่งในพระคัมภีร์ที่กล่าวว่าพระภาระขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเบา ต้นฉบับกล่าวว่าอย่างไร? (“ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” (มัทธิว 11:30)) นั่นคือความหมายมิใช่หรือ? (ใช่) การพึงให้เจ้าปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของตัวเจ้าเองไม่ได้มุ่งหมายที่จะทำให้เจ้าเป็นคนธรรมดาๆ ทำให้เจ้าเป็นคนขี้เกียจ ไร้ซึ่งการไล่ตามเสาะหา และไม่ได้ทำให้เจ้าเป็นซากศพเดินได้ เป็นคนที่ไร้วิญญาณ ในทางกลับกัน การนี้มุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางและเป้าหมายที่ไม่ถูกต้องในการไล่ตามเสาะหาของเจ้า เจ้าควรที่จะปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่เจ้าไม่ควรมี และกำหนดการไล่ตามเสาะหา อุดมคติ และความอยากได้อยากมีที่ถูกต้อง เจ้าสามารถเดินบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องได้ด้วยหนทางนี้เท่านั้น เช่นนั้นปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้วใช่หรือไม่? หากผู้คนไม่ไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติของพวกเขา โลกนี้จะยังพัฒนาต่อไปหรือไม่? คำตอบคือ “ใช่” เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? (เพราะพระเจ้าได้ทรงลิขิตภารกิจให้แก่พวกที่อยู่บนโลก กล่าวคือ พวกเขาจะทำงานนี้) ถูกต้อง นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงมีการลิขิตและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องร้อนใจ โลกจะพัฒนาไป และผู้เชื่อในพระเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเสนอตัวทำภารกิจนี้ ไม่ต้องลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันนี้ พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสิ่งทั้งหลายไว้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการผู้ใด การที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง เดินตามหนทางของพระเจ้า และสัมฤทธิ์ความรอดย่อมเพียงพอแล้ว เจ้าจำเป็นต้องกังวลในเรื่องอื่นใดอีกหรือไม่? (ไม่) ไม่จำเป็น เพราะฉะนั้นการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คนจึงเป็นเส้นทางที่เจ้าพึงปฏิบัติ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลว่าหลังจากที่เจ้าปล่อยมือจากอุดมคติและความอยากได้อยากมีของเจ้าแล้ว โลกหรือมวลมนุษย์จะกลายเป็นเช่นไร นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องกังวล การนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสิ่งทั้งหลายเอาไว้แล้ว ง่ายเช่นนั้นทีเดียว เจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) ด้วยการสามัคคีธรรมในหนทางนี้ เรามิได้แก้ไขปัญหาที่รากเหง้าหรอกหรือ? (พระองค์ทรงแก้ไขที่รากเหง้าแล้ว) หากมีใครบางคนถามพวกเจ้าอีกครั้ง พวกเจ้าจะมองและอธิบายปัญหานี้อย่างไร? หากมีคนบางคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้ามาถามว่า “พวกคุณพูดเรื่องการไม่ไล่ตามไขว่คว้าอุดมคติ การปล่อยมือจากอุดมคติและความอยากได้อยากมีอยู่ตลอดเวลา ถ้าทุกคนปฏิบัติตามพวกคุณ แล้วโลกนี้จะยังดำรงอยู่หรือไม่? มนุษยชาติจะพัฒนาต่อไปหรือไม่?” เช่นนั้นเจ้าก็สามารถตอบคำถามนี้ได้โดยกล่าวว่า “แต่ละคนมีความมุ่งมาดปรารถนาของตัวเอง คุณไม่สามารถบังคับพวกเขาได้” นี่คือคำกล่าวยอดนิยมบนโลก เจ้าควรกล่าวว่า “พระเจ้าทรงประสงค์ให้ผู้คนปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของพวกเขา นั่นเป็นความจริง หากคุณเต็มใจที่จะยอมรับ เช่นนั้นคุณก็สามารถปล่อยมือจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ หากคุณไม่เต็มใจที่จะยอมรับ เช่นนั้นคุณก็สามารถเลือกที่จะไม่ปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้เช่นกัน พระเจ้าจะไม่ทรงบังคับใคร การปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของคุณเป็นความสมัครใจในส่วนของคุณ อีกทั้งเป็นสิทธิ์ของคุณ การไม่ปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ก็เป็นความสมัครใจ และเป็นสิทธิ์ของคุณเช่นกัน ทุกๆ คนมีภารกิจจำเพาะของตัวเอง ในหมู่มวลมนุษย์ทั้งปวง แต่ละคนมีภารกิจของตนเอง มีบทบาทของตนเองที่ควรแสดง ทางเลือกของผู้คนแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเส้นทางที่พวกเขาเดินจึงต่างกัน คุณเลือกที่จะไล่ตามไขว่คว้าทางโลก ทำอุดมคติและความอยากได้อยากมีของคุณบนโลกให้เป็นจริง และแสดงคุณค่าของคุณให้เห็น ในขณะที่ฉันเลือกที่จะปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของฉันเพื่อติดตามพระเจ้า เพื่อฟังพระวจนะของพระองค์ เพื่อเดินตามหนทางของพระองค์ และเพื่อทำให้พระองค์พอพระทัย ท้ายที่สุดฉันก็จะสามารถบรรลุความรอด การที่คุณไม่ไล่ตามเสาะหาเส้นทางนี้ก็เป็นเสรีภาพของคุณที่จะทำ ไม่มีใครสามารถบังคับคุณได้” คำตอบนี้เป็นอย่างไร? (เป็นคำตอบที่ดี) หากเจ้าสามารถยอมรับแนวคิดของการ “ปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของผู้คน” เช่นนั้นแล้ว พระวจนะเหล่านี้ก็มุ่งตรงไปสู่เจ้า หากเจ้าไม่สามารถยอมรับแนวคิดนี้ เช่นนั้นก็ไม่มีการบ่งชี้ว่าเจ้าต้องฟังและยอมรับพระวจนะเหล่านี้ เจ้าสามารถเลือกที่จะไม่ฟัง เจ้าสามารถเลือกที่จะสูญเสียพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ และละทิ้งโอกาสในความรอดของเจ้า นี่เป็นสิทธิ์ของเจ้า เจ้าสามารถไม่ปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของเจ้า อีกทั้งออกไปสู่โลก และทำให้สิ่งเหล่านั้นเป็นจริงด้วยความกล้าหาญและเชื่อมั่นในตนเองได้เช่นกัน จะไม่มีใครบังคับเจ้า และจะไม่มีใครกล่าวโทษเจ้า นี่เป็นสิทธิ์ของเจ้า ทางเลือกของเจ้าเป็นภารกิจของเจ้าด้วย และภารกิจของเจ้าก็เป็นบทบาทที่พระเจ้าได้ทรงลิขิตให้เจ้าแสดงท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย แค่นั้นเอง นี่คือสภาวะที่แท้จริงของข้อเท็จจริงทั้งหลาย ไม่ว่าเจ้าเลือกสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมเป็นประเภทของถนนที่เจ้าจะเดิน ไม่ว่าเจ้าเดินบนถนนแบบใด นั่นก็เป็นบทบาทที่เจ้าจะแสดงในหมู่มนุษย์ ง่ายเช่นนั้นเอง นี่คือสภาวะที่แท้จริงของข้อเท็จจริงทั้งหลาย ดังนั้นจึงยังคงเป็นคำพูดจากก่อนหน้านี้ว่า “แต่ละคนมีความมุ่งมาดปรารถนาของตัวเอง คุณไม่สามารถบังคับพวกเขาได้” ทว่าความมุ่งมาดปรารถนานั้นมาจากไหน? โดยต้นกำเนิดแล้ว นี่คือสิ่งที่ถูกลิขิตโดยพระเจ้า หากเจ้าไม่เลือกที่จะยอมรับความจริงและทำหน้าที่ของตนให้ดี เช่นนั้นแล้ว นี่ก็หมายความว่าพระเจ้าไม่ทรงเลือกสรรเจ้า และเจ้าไม่มีโอกาสได้รับความรอด พูดง่ายๆ ก็คือ เจ้าไม่มีพรข้อนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตเอาไว้ หากเจ้าไม่สนใจการเชื่อในพระเจ้าหรือการไล่ตามเสาะหาความจริง—หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาแง่มุมนี้—เช่นนั้นเจ้าย่อมปราศจากพรข้อนี้ บรรดาผู้ที่ได้รับการลิขิตให้เข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าเต็มใจที่จะทำหน้าที่ของพวกเขาที่นั่น ไม่ว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใด พวกเขาก็ฟัง หากพระองค์ต้องประสงค์ให้พวกเขาปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของตน พวกเขาย่อมทำเช่นนั้น หากพวกเขาไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้ พวกเขาก็จะเค้นสมองใคร่ครวญหาวิธีที่จะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้น คนบางคนที่เป็นเช่นนี้เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความรอด นี่คือความต้องการและความประสงค์ที่อยู่ลึกที่สุดในดวงจิตของพวกเขา ซึ่งถูกลิขิตโดยพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงมีพรนี้ ซึ่งถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขา บทบาทที่พระเจ้าทรงลิขิตให้แก่เจ้าคือบทบาทที่เจ้าควรแสดง นั่นคือต้นกำเนิด พวกที่ไม่ได้รับพรย่อมไล่ตามไขว่คว้าทางโลก ขณะที่บรรดาผู้ที่ได้รับพรไล่ตามเสาะหาความจริง—นั่นมิใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ? (ใช่) ดังนั้นหากใครบางคนถามพวกเจ้าอีกครั้ง พวกเจ้าจะสามารถตอบได้หรือไม่? (ได้) คำตอบที่ง่ายที่สุดคืออะไร? (แต่ละคนมีความมุ่งมาดปรารถนาของตัวเอง คุณไม่สามารถบังคับพวกเขาได้) แต่ละคนมีความมุ่งมาดปรารถนาของตัวเอง คุณไม่สามารถบังคับพวกเขาได้ การพึงให้เจ้าปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีของตนนั้นเพียงหมายมั่นที่จะมอบเส้นทางแห่งการปฏิบัติให้แก่เจ้า เจ้าสามารถเลือกที่จะปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้น และเจ้าก็สามารถเลือกที่จะไม่ปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้น แต่ละคนมีความมุ่งมาดปรารถนาของตัวเอง คุณไม่สามารถบังคับพวกเขาได้ หากเจ้ายอมรับ เช่นนั้นพระวจนะเหล่านี้ก็มุ่งตรงไปสู่เจ้า หากเจ้าไม่ยอมรับ เช่นนั้นแล้วพระวจนะเหล่านี้ก็ไม่ได้มุ่งตรงไปสู่เจ้า และการปล่อยมือจากการไล่ตามไขว่คว้า อุดมคติ และความอยากได้อยากมีก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้ามีอิสระ ประเด็นปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้วใช่หรือไม่? (ใช่) เรื่องนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว ดังนั้นจะไม่มีผู้ใดเอาแต่พูดพร่ำในเรื่องนี้อีกใช่หรือไม่? (ใช่)
Scripture quotations are from The Holy Bible-Thai Standard Version, copyright © 2014 by Thailand Bible Society. Used by permission. All rights reserved.
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ