วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์

ตอนที่ห้า

โชคชะตาของผู้คนถูกตัดสินใจโดยท่าทีของพวกเขาต่อพระเจ้า

พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และเฉกเช่นเดียวกับที่ผู้คนประพฤติตนแตกต่างกันในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ท่าทีของพระองค์ต่อพฤติกรรมเหล่านี้ก็แตกต่างกันเพราะพระองค์ไม่ทรงเป็นทั้งหุ่นเชิดและอากาศว่างเปล่า การทำความรู้จักกับท่าทีของพระเจ้าคือการไล่ตามเสาะหาที่คุ้มค่าสำหรับมวลมนุษย์ โดยการรู้จักท่าทีของพระเจ้า ผู้คนควรจะได้เรียนรู้วิธีที่พวกเขาสามารถบรรลุความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า และมาเข้าใจพระทัยของพระองค์ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อเจ้าค่อยๆ มาเข้าใจพระทัยของพระเจ้า เจ้าก็จะไม่รู้สึกว่าการยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่วเป็นสิ่งยากยิ่งที่จะทำให้สำเร็จลุล่วง ยิ่งกว่านั้น เมื่อเจ้าเข้าใจพระเจ้าจริงๆ เจ้าก็จะไม่มีแนวโน้มที่จะสร้างบทสรุปทั้งหลายเกี่ยวกับพระองค์ ทันทีที่เจ้าหยุดสร้างข้อสรุปเกี่ยวกับพระเจ้า เจ้าก็จะมีแนวโน้มน้อยลงที่จะทำให้พระองค์ทรงขุ่นเคือง และโดยที่เจ้าไม่ตระหนักรู้ พระเจ้าจะทรงนำทางเจ้าให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับพระองค์ การนี้จะเติมเต็มหัวใจของเจ้าด้วยความเคารพต่อพระองค์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะหยุดนิยามพระเจ้าโดยผ่านทางคำสอน ความหมายตามตัวอักษร และทฤษฎีทั้งหลายที่เจ้าได้ศึกษาจนเชี่ยวชาญ แต่โดยการแสวงหาจนพบเจตนารมณ์ทั้งหลายของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่งอย่างสม่ำเสมอ เจ้าก็จะกลายเป็นบุคคลที่สมดังพระทัยของพระเจ้าโดยไม่รู้สึกตัว

พระราชกิจของพระเจ้านั้นพวกมนุษย์มองไม่เห็นและไม่สามารถแตะต้องได้ แต่ในความคิดเห็นของพระองค์ การกระทำของบุคคลทุกๆ คน—พร้อมกับท่าทีของพวกเขาต่อพระองค์—ไม่เพียงสามารถล่วงรู้ได้โดยพระเจ้า แต่ยังสามารถมองเห็นได้สำหรับพระองค์อีกด้วย นี่คือบางสิ่งที่ทุกคนควรระลึกและชัดเจนอย่างมาก เจ้าอาจกำลังถามตัวเองอยู่เสมอว่า “พระเจ้าทรงรู้หรือไม่ว่าข้าพระองค์กำลังทำอะไรอยู่ที่นี่? พระองค์ทรงรู้หรือไม่ว่าข้าพระองค์กำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้? บางทีพระองค์อาจทรงรู้ และบางทีพระองค์อาจไม่ทรงรู้” หากเจ้ายอมรับทัศนคติแบบนี้ ติดตามและเชื่อในพระเจ้า แต่ยังแคลงใจในพระราชกิจของพระองค์และการทรงดำรงอยู่ของพระองค์ เช่นนั้นแล้วไม่ช้าก็เร็ววันหนึ่งจะมาถึง เมื่อเจ้าจะปลุกเร้าพระพิโรธของพระองค์ เพราะเจ้ากำลังเดินโซเซอยู่บนขอบหน้าผาอันตราย เราได้เห็นผู้คนที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว แต่ยังคงไม่ได้รับความเป็นจริงจากความจริง นับประสาอะไรที่จะได้เข้าใจในน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ไม่สร้างความก้าวหน้าในชีวิตและวุฒิภาวะของพวกเขา โดยยึดติดกับคำสอนที่ตื้นเขินที่สุดเท่านั้น นี่เป็นเพราะผู้คนเช่นนี้ไม่เคยถือว่าพระวจนะของพระเจ้าคือชีวิตในตัวเอง และพวกเขาไม่เคยเผชิญหน้าและยอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระองค์ เจ้าคิดหรือไม่ว่าเมื่อทรงเห็นผู้คนเช่นนี้ พระเจ้าจะทรงเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี? พวกเขาปลอบพระทัยพระองค์หรือไม่? ด้วยเหตุนี้จึงเป็นวิธีที่ผู้คนเชื่อในพระเจ้านั่นเองที่ตัดสินโชคชะตาของพวกเขา ในส่วนของวิธีที่ผู้คนแสวงหา และวิธีที่ผู้คนเข้าหาพระเจ้า ท่าทีของผู้คนมีความสำคัญอันดับแรก จงไม่เพิกเฉยต่อพระเจ้าเหมือนพระองค์ทรงเป็นเพียงอากาศว่างเปล่าก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่รอบๆ ที่ด้านหลังของหัวเจ้า จงคิดถึงพระเจ้าที่เจ้าเชื่อในฐานะพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าที่เป็นจริงเสมอ พระองค์ไม่ได้กำลังประทับอยู่บนนั้นในสวรรค์ชั้นที่สามโดยไม่มีสิ่งใดให้ทรงทำ ตรงกันข้ามพระองค์กำลังทรงเฝ้ามองหัวใจของทุกคน ทรงสังเกตการณ์สิ่งที่เจ้าคิดจะทำ ทรงเฝ้ามองทุกคำพูดเล็กน้อยและทุกความประพฤติเล็กน้อยของพวกเจ้า ทรงเฝ้าดูว่าเจ้าประพฤติตนอย่างไร และทรงเห็นว่าอะไรคือท่าทีของเจ้าต่อพระองค์ อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจมอบตัวเองให้กับพระเจ้าหรือไม่ พฤติกรรมของเจ้าทั้งหมดและความคิดและแนวคิดข้างในสุดของเจ้าถูกแผ่วางเฉพาะพระพักตร์พระองค์และกำลังถูกพระองค์ทรงพินิจพิเคราะห์ เนื่องจากพฤติกรรมของเจ้า เนื่องจากความประพฤติของเจ้า และเนื่องจากท่าทีของเจ้าต่อพระองค์ ข้อคิดเห็นของพระเจ้าเกี่ยวกับเจ้า และท่าทีของพระองค์ต่อเจ้าจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราอยากจะให้คำแนะนำบางอย่างแก่ผู้คนบางคนว่า จงไม่วางตัวของเจ้าเองเหมือนเด็กทารกในพระหัตถ์ของพระเจ้า ราวกับว่าพระองค์ควรทรงหลงใหลเจ้า ราวกับว่าพระองค์ไม่มีวันทรงสามารถจากเจ้าไป และราวกับว่าท่าทีของพระองค์ต่อเจ้าได้ถูกกำหนดตายตัวแล้วและไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเราขอแนะนำให้เจ้าเลิกฝัน! พระเจ้าทรงชอบธรรมในการที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกๆ บุคคล และพระองค์ทรงจริงจังในวิธีการเข้าหาของพระองค์ในพระราชกิจแห่งการพิชิตและช่วยผู้คนให้รอด นี่คือการบริหารจัดการของพระองค์ พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกๆ คนอย่างจริงจัง และไม่ใช่เหมือนสัตว์เลี้ยงที่จะเล่นด้วย ความรักของพระเจ้าต่อพวกมนุษย์นั้นไม่ใช่แบบที่เอาใจหรือตามใจ อีกทั้งความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ก็ไม่ตามใจและไม่เพิกเฉย ในทางตรงกันข้าม ความรักของพระเจ้าต่อพวกมนุษย์นั้นเกี่ยวข้องกับการทะนุถนอม การสงสาร และการเคารพชีวิต ความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระองค์สื่อถึงความคาดหวังของพระองค์ต่อพวกเขา และเป็นสิ่งที่มนุษยชาติต้องการเพื่อที่จะอยู่รอด พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริง ท่าทีของพระองค์ต่อมวลมนุษย์นั้นมีหลักการ ไม่ใช่กฎกติกามากมายแต่อย่างใด และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เจตนารมณ์ของพระองค์ต่อมนุษยชาติกำลังค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและแปลงสภาพไปตามกาลเวลา ขึ้นอยู่กับรูปการณ์แวดล้อมขณะที่เกิดขึ้น และพร้อมกับท่าทีของทุกๆ บุคคล เพราะฉะนั้น เจ้าควรรู้ในหัวใจของเจ้าด้วยความชัดเจนอย่างแท้จริงว่าเนื้อแท้ของพระเจ้านั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ และพระอุปนิสัยของพระองค์จะปรากฏออกมาในเวลาที่ต่างกันและในบริบทที่แตกต่างกัน เจ้าอาจไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องจริงจัง และเจ้าอาจใช้มโนคติที่หลงผิดส่วนตัวของเจ้าเองเพื่อจินตนาการว่าพระเจ้าควรทรงทำสิ่งทั้งหลายอย่างไร อย่างไรก็ตาม มีบางครั้งที่ทัศนคติขั้วตรงข้ามของเจ้าเป็นจริง และด้วยการใช้มโนคติที่หลงผิดส่วนตัวของเจ้าเองเพื่อพยายามวัดพระเจ้า เจ้าก็ได้ทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธแล้ว นี่เป็นเพราะพระเจ้าไม่ทรงดำเนินการตามวิธีที่เจ้าคิดว่าพระองค์ทรงทำ อีกทั้งพระองค์จะไม่ทรงปฏิบัติต่อเรื่องนี้เหมือนที่เจ้าบอกว่าพระองค์จะทรงทำ ด้วยเหตุนี้ เราเตือนความจำเจ้าให้ระมัดระวังและรอบคอบในการเข้าหาทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเจ้า และเรียนรู้วิธีปฏิบัติตามหลักการแห่งการเดินในทางของพระเจ้าในสรรพสิ่ง ซึ่งก็คือการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว เจ้าต้องพัฒนาความเข้าใจที่มั่นคงโดยคำนึงถึงเรื่องทั้งหลายเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าและท่าทีของพระเจ้า เจ้าต้องหาผู้คนที่รู้แจ้งเพื่อสื่อสารเรื่องเหล่านี้กับเจ้า และเจ้าต้องแสวงหาอย่างจริงจัง จงไม่มองดูพระเจ้าแห่งการเชื่อของเจ้าในฐานะหุ่นเชิด—ตัดสินพระองค์ตามอำเภอใจ มาถึงข้อสรุปเกี่ยวกับพระองค์โดยพลการ และไม่ปฏิบัติต่อพระองค์ด้วยความเคารพที่พระองค์ทรงสมควรได้รับ ในขณะที่พระเจ้ากำลังทรงนำพาความรอดมาให้เจ้าและกำหนดพิจารณาบทอวสานของเจ้า พระองค์อาจประทานความกรุณา หรือความยอมผ่อนปรน หรือการพิพากษาและการตีสอนแก่เจ้า แต่ไม่ว่าในกรณีใด ท่าทีของพระองค์ต่อเจ้าจะไม่ตายตัว มันขึ้นอยู่กับท่าทีของเจ้าเองต่อพระองค์ ตลอดจนความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระองค์ จงไม่ปล่อยให้แง่มุมชั่วคราวอย่างหนึ่งในความรู้และความเข้าใจเรื่องพระเจ้าของเจ้านิยามพระองค์อย่างถาวร จงไม่เชื่อในพระเจ้าที่สิ้นพระชนม์แล้วองค์หนึ่ง จงเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียวผู้ทรงพระชนม์อยู่ จงจดจำเรื่องนี้ไว้! แม้ว่าเราได้หารือเกี่ยวกับความจริงบางอย่างที่นี่—ความจริงที่พวกเจ้าจำเป็นต้องฟัง—ในแง่ของสถานะปัจจุบันและวุฒิภาวะปัจจุบันของพวกเจ้า เราจะไม่ทำการเรียกร้องใดๆ ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นจากพวกเจ้าในตอนนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการลดทอนความกระตือรือร้นของพวกเจ้า การทำเช่นนั้นสามารถเติมเต็มหัวใจของพวกเจ้าด้วยความท้อแท้มากเกินไป และทำให้พวกเจ้ารู้สึกผิดหวังมากเกินไปต่อพระเจ้า แต่เราหวังว่าพวกเจ้าสามารถใช้ความรักต่อพระเจ้าที่พวกเจ้ามีอยู่ในหัวใจของพวกเจ้าและใช้ท่าทีที่เปี่ยมความเคารพกับพระเจ้าแทน เมื่อเดินตามเส้นทางที่ทอดตัวอยู่เบื้องหน้า จงไม่สับสนมึนงงโดยผ่านทางเรื่องนี้เกี่ยวกับวิธีเชื่อในพระเจ้า จงปฏิบัติต่อมันว่าเป็นหนึ่งในประเด็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่มีอยู่ จงวางมันไว้ในหัวใจของเจ้า นำไปฝึกฝนปฏิบัติ และเชื่อมต่อมันกับชีวิตจริง จงไม่เพียงปรนนิบัติเรื่องนี้แต่ปาก—เพราะนี่เป็นเรื่องของความเป็นและความตาย และเป็นเรื่องที่จะกำหนดพิจารณาชะตากรรมของเจ้า จงไม่ปฏิบัติต่อเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกหรือเรื่องเล่นของเด็ก! หลังจากแบ่งปันคำพูดเหล่านี้กับพวกเจ้าในวันนี้ เรากังขาว่าจิตใจของพวกเจ้าได้เก็บเกี่ยวความเข้าใจไปมากเพียงใดแล้ว มีคำถามอะไรอีกหรือไม่ที่พวกเจ้าปรารถนาที่จะถามเกี่ยวกับสิ่งที่เราได้พูดไปในวันนี้?

แม้ว่าหัวข้อเหล่านี้ค่อนข้างใหม่ และอยู่ห่างเล็กน้อยจากทรรศนะของพวกเจ้า จากการไล่ตามเสาะหาตามปกติของพวกเจ้า และสิ่งที่เจ้ามีแนวโน้มที่จะให้ความสนใจ เราคิดว่าทันทีที่สิ่งเหล่านั้นได้รับการสามัคคีธรรมจากพวกเจ้าช่วงระยะเวลาหนึ่ง พวกเจ้าก็จะพัฒนาความเข้าใจร่วมกันในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้พูดที่นี่ หัวข้อเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องใหม่ และเป็นหัวข้อที่พวกเจ้าไม่เคยได้พิจารณามาก่อน ดังนั้นเราจึงหวังว่าสิ่งเหล่านั้นจะไม่เพิ่มภาระให้กับพวกเจ้าไม่ว่าในทางใด เราไม่ได้กำลังพูดคำพูดเหล่านี้วันนี้เพื่อเขย่าขวัญพวกเจ้า อีกทั้งเราไม่ได้กำลังใช้คำพูดเหล่านี้เป็นวิธีที่จะจัดการกับพวกเจ้า ตรงกันข้าม จุดมุ่งหมายของเราคือการช่วยให้พวกเจ้าเข้าใจข้อเท็จจริงที่จริงแท้เกี่ยวกับความจริง เพราะมีความแตกต่างดำรงอยู่ระหว่างมวลมนุษย์กับพระเจ้า แม้ว่าผู้คนจะเชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาไม่เคยได้เข้าใจพระองค์หรือรู้จักท่าทีของพระองค์ พวกมนุษย์ไม่เคยกระตือรือร้นอย่างมากในความกังวลของพวกเขาต่อท่าทีของพระเจ้าอีกด้วย ตรงกันข้าม พวกเขาได้เชื่อและดำเนินการไปอย่างหูหนวกตาบอด และได้สะเพร่าในความรู้และความเข้าใจเรื่องพระเจ้าของพวกเขา เพราะฉะนั้นเราจึงรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ชำระประเด็นปัญหาเหล่านี้ให้พวกเจ้า และช่วยให้พวกเจ้าเข้าใจว่าพระเจ้าองค์นี้ที่เจ้าเชื่อทรงเป็นพระเจ้าแบบใด ตลอดจนสิ่งที่พระองค์กำลังทรงคิด อะไรคือท่าทีของพระองค์ในการปฏิบัติของพระองค์ต่อผู้คนหลากหลายแบบ พวกเจ้าอยู่ห่างเพียงใดจากการทำให้ข้อพึงประสงค์ของพระองค์ลุล่วง และความแตกต่างระหว่างการกระทำของเจ้ากับมาตรฐานที่พระองค์ทรงประสงค์นั้นใหญ่เพียงใด เป้าหมายในการแจ้งให้เจ้ารู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้คือการให้พวกเจ้ามีบรรทัดฐานเพื่อใช้วัดตัวเอง และเพื่อที่พวกเจ้าจะได้รู้ว่าถนนที่พวกเจ้ากำลังใช้เดินทางอยู่นั้นได้นำไปสู่การเก็บเกี่ยวชนิดใด สิ่งใดที่พวกเจ้าไม่ได้รับมาตามถนนสายนี้ และในพื้นที่ใดที่พวกเจ้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เลย ในขณะที่สื่อสารกันท่ามกลางพวกเจ้า พวกเจ้ามักจะพูดคุยในหัวข้อที่ถูกหารือทั่วไปสองสามเรื่องซึ่งมีขอบเขตที่แคบมากและมีเนื้อหาที่ตื้นเขิน มีระยะห่าง ช่องว่าง ระหว่างสิ่งที่เจ้าหารือกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า ตลอดจนช่องว่างระหว่างการหารือของเจ้าและขอบเขตและมาตรฐานของข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า เมื่อเวลาผ่านไป การดำเนินการเช่นนี้จะส่งผลให้เจ้าเบี่ยงเบนไปจากทางของพระเจ้าไกลขึ้นตลอด พวกเจ้าแค่กำลังนำถ้อยดำรัสปัจจุบันของพระเจ้ามาเปลี่ยนให้กลายเป็นวัตถุบูชา และเห็นว่าพระวาทะเหล่านั้นเป็นพิธีกรรมและข้อบังคับ นั่นคือทั้งหมดที่พวกเจ้ากำลังทำ! โดยข้อเท็จจริงแล้ว พระเจ้าไม่ทรงมีที่อยู่ในหัวใจของพวกเจ้าจริงๆ และพระองค์ไม่ทรงเคยได้รับหัวใจของพวกเจ้าอย่างแท้จริง ผู้คนบางคนคิดว่าการรู้จักพระเจ้านั้นยากมาก และนี่คือความจริง มันยาก! หากผู้คนได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ของพวกเขาและทำสิ่งทั้งหลายให้เสร็จสิ้นที่ภายนอก และทำงานหนัก เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะคิดว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นง่ายมาก เพราะสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดตั้งอยู่ภายในขอบเขตของความสามารถของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ทันทีที่หัวข้อนี้ย้ายที่ไปยังเจตนารมณ์ของพระเจ้าและท่าทีของพระองค์ต่อมนุษยชาติ เช่นนั้นแล้ว จากทัศนคติของทุกคน สิ่งทั้งหลายก็จะยากขึ้นเล็กน้อยจริงๆ นั่นเป็นเพราะการนี้เกี่ยวข้องกับความเข้าใจความจริงของผู้คนและการเข้าสู่ความเป็นจริงของพวกเขา ดังนั้นแน่นอนว่าจะมีความยากระดับหนึ่ง! กระนั้นก็ตาม ทันทีที่เจ้าก้าวผ่านประตูแรกและเริ่มบรรลุการเข้าสู่ สิ่งทั้งหลายก็ค่อยๆ ง่ายขึ้น

จุดเริ่มต้นสำหรับการยำเกรงพระเจ้าคือการปฏิบัติต่อพระองค์เยี่ยงพระเจ้า

เมื่อไม่นานมานี้ มีบางคนตั้งคำถามว่า เพราะเหตุใดพวกเราจึงยังคงไม่สามารถเคารพพระองค์ได้ ทั้งๆ ที่พวกเรารู้จักพระเจ้ามากกว่าโยบ? ก่อนหน้านี้พวกเราได้แตะต้องเรื่องนี้นิดหน่อยแล้วใช่หรือไม่? พวกเราได้หารือถึงสาระสำคัญของคำถามนี้มาก่อนแล้วจริงๆ เช่นกัน ซึ่งก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าแม้ว่าโยบไม่ได้รู้จักพระเจ้าในเวลานั้น เขาก็ยังคงปฏิบัติต่อพระองค์เยี่ยงพระเจ้า และคำนึงถึงพระองค์ว่าทรงเป็นองค์เจ้านายแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง โยบไม่ได้พิจารณาว่าพระเจ้าทรงเป็นศัตรู ตรงกันข้ามเขานมัสการพระองค์ในฐานะพระผู้สร้างแห่งทุกสรรพสิ่ง เหตุใดทุกวันนี้ผู้คนจึงต้านทานพระเจ้ามากเช่นนั้น? เหตุใดพวกเขาไร้ความสามารถที่จะเคารพพระองค์ได้? เหตุผลหนึ่งคือพวกเขาได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำ และด้วยธรรมชาติเยี่ยงซาตานที่ฝังลึกอยู่ภายในเช่นนี้ พวกเขาจึงได้กลายเป็นศัตรูของพระเจ้าแล้ว ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้าและยอมรับรู้พระเจ้า พวกเขาก็ยังคงสามารถต้านทานพระองค์และวางตัวเองอยู่ในฝ่ายตรงข้ามกับพระองค์ การนี้ถูกกำหนดพิจารณาโดยธรรมชาติของมนุษย์ เหตุผลอีกอย่างหนึ่งคือแม้ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้า ผู้คนก็ไม่ปฏิบัติต่อพระองค์ในฐานะพระเจ้าจริงๆ แต่พวกเขากลับพิจารณาว่าพระองค์อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับมนุษยชาติ โดยคำนึงถึงว่าพระองค์ทรงเป็นศัตรูของพวกเขา และรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถจะปรองดองกับพระเจ้าได้ มันเรียบง่ายอย่างนั้นเอง เรื่องนี้ไม่ได้ถูกนำขึ้นมาพูดคุยในการประชุมครั้งที่แล้วของพวกเราหรอกหรือ? ลองคิดดูว่า นั่นไม่ใช่เหตุผลหรือ? เจ้าอาจมีความรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับพระเจ้า แต่ความรู้นี้ส่งผลอะไร? นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนกำลังพูดถึงกันหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสบอกเจ้าหรอกหรือ? เจ้าเพียงคุ้นเคยกับแง่มุมทางทฤษฎีและคำสอนของสิ่งนั้น—แต่เจ้าเคยได้ซาบซึ้งกับพระพักตร์แท้จริงของพระเจ้าหรือไม่? เจ้ามีความรู้เชิงอัตวิสัยหรือไม่? เจ้ามีความรู้และประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่? หากพระเจ้าไม่ได้ตรัสบอกเจ้าแล้ว เจ้าจะสามารถรู้ได้หรือไม่? ความรู้เชิงทฤษฎีของเจ้าไม่ได้เป็นตัวแทนของความรู้จริง กล่าวโดยย่อ ไม่สำคัญว่าเจ้าจะรู้มากเท่าใด หรือว่าเจ้าจะได้มารู้สิ่งนั้นอย่างไร จนกว่าเจ้าจะบรรลุความเข้าใจพระเจ้าจริงๆ พระองค์จะทรงเป็นศัตรูของเจ้า และจนกว่าเจ้าจะเริ่มปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะพระเจ้าองค์หนึ่ง พระองค์ก็จะต่อต้านเจ้า เพราะเจ้าเป็นรูปจำแลงของซาตาน

เมื่อเจ้าอยู่ด้วยกันกับพระคริสต์บางทีเจ้าสามารถรับใช้พระองค์ด้วยอาหารสามมื้อต่อวัน หรืออาจจะรับใช้พระองค์ด้วยน้ำชาและช่วยดูแลสิ่งจำเป็นต่อชีวิตของพระองค์ เจ้าจะดูเหมือนว่าได้ปฏิบัติต่อพระคริสต์ในฐานะพระเจ้าแล้ว เมื่อใดก็ตามที่มีบางสิ่งเกิดขึ้น ทัศนคติของผู้คนจะวิ่งตรงกันข้ามกับทัศนคติของพระเจ้าเสมอ ผู้คนมักจะล้มเหลวในการเข้าใจและยอมรับทัศนคติของพระเจ้า แม้ว่าผู้คนอาจไปกันได้กับพระเจ้าในภายนอก แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้ากันได้กับพระองค์ ทันทีที่มีบางสิ่งเกิดขึ้น ความจริงของการไม่เชื่อฟังของมนุษยชาติก็โผล่ออกมา ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการยืนยันความเป็นปรปักษ์ที่มีอยู่ระหว่างพวกมนุษย์กับพระเจ้า ความเป็นปรปักษ์นี้ไม่ได้เป็นความเป็นปรปักษ์ที่พระเจ้าทรงต่อต้านพวกมนุษย์หรือที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์เป็นปรปักษ์กับพวกเขา อีกทั้งไม่ใช่การที่พระองค์ทรงวางพวกเขาในฝ่ายตรงข้ามกับพระองค์เอง แล้วก็ทรงปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นนั้น ตรงกันข้าม มันเป็นกรณีของแก่นแท้ที่ตรงกันข้ามนี้ต่อพระเจ้าซึ่งแอบแฝงอยู่ในความตั้งใจส่วนตัวของพวกมนุษย์และในจิตใต้สำนึกของพวกเขา เนื่องจากผู้คนคำนึงถึงทั้งหมดที่มาจากพระเจ้าว่าเป็นวัตถุสำหรับการวิจัยของพวกเขา การตอบโต้ของพวกเขาต่อสิ่งที่มาจากพระเจ้า และต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า เหนือสิ่งอื่นใด จึงเป็นการเดา การแคลงใจ แล้วก็เป็นการนำท่าทีที่ขัดแย้งและต่อต้านพระเจ้าไปใช้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็นำอารมณ์ด้านลบเข้าสู่ข้อพิพาทหรือการแข่งขันกับพระเจ้า โดยไปไกลถึงขนาดที่แคลงใจแม้แต่การที่พระเจ้าเช่นนี้ทรงมีคุณค่าต่อการติดตามหรือไม่ แม้จะมีข้อเท็จจริงที่ว่าความมีเหตุผลของพวกเขาบอกพวกเขาว่าพวกเขาไม่ควรดำเนินการไปในลักษณะนี้ พวกเขาก็จะยังคงเลือกที่จะทำเช่นนั้นทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ต้องการจะทำ จนถึงระดับที่พวกเขาจะทำต่อไปจนถึงที่สุดโดยไม่ลังเล ยกตัวอย่างเช่น อะไรคือปฏิกิริยาแรกที่ผู้คนบางคนมี เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวลือหรือคำพูดใส่ร้ายป้ายสีเกี่ยวกับพระเจ้า? ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาคือการสงสัยว่าข่าวลือเหล่านี้จริงหรือไม่ และว่าข่าวลือเหล่านี้มีอยู่หรือไม่ แล้วก็นำท่าทีรอดูไปก่อนมาใช้ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มคิดว่า “ไม่มีทางที่จะยืนยันความถูกต้องของการนี้ สิ่งนั้นเกิดขึ้นจริงหรือ? ข่าวลือนี้จริงหรือไม่?” ถึงแม้ว่าผู้คนเช่นนี้ไม่แสดงให้เห็นที่ภายนอก แต่ในหัวใจพวกเขา พวกเขาได้เริ่มแคลงใจแล้ว และได้เริ่มปฏิเสธพระเจ้าแล้ว อะไรคือแก่นแท้ของท่าทีประเภทนี้และของทัศนคติเช่นนี้? ไม่ไช่การทรยศหรอกหรือ? จนกว่าพวกเขาจะเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ เจ้าไม่สามารถมองเห็นได้ว่าอะไรคือทัศนคติของผู้คนเหล่านี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ขัดแย้งกับพระเจ้า และดูราวกับว่าพวกเขาไม่คำนึงถึงว่าพระองค์ทรงเป็นศัตรู อย่างไรก็ตามทันทีที่พวกเขาเผชิญหน้ากับปัญหา พวกเขาก็ยืนอยู่กับซาตานและต่อต้านพระเจ้าโดยทันที สิ่งนี้บ่งบอกอะไรเล่า? มันบ่งบอกว่าพวกมนุษย์และพระเจ้าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน! ไม่ใช่ว่าพระเจ้าทรงคำนึงถึงมนุษยชาติในฐานะศัตรู แต่ว่าแก่นแท้จริงๆ ของมนุษยชาตินั้นเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้า ไม่สำคัญว่าจะมีใครบางคนได้ติดตามพระองค์นานเพียงใด หรือพวกเขาได้จ่ายราคามากเพียงใด และโดยไม่คำนึงถึงวิธีที่พวกเขาสรรเสริญพระเจ้า วิธีที่พวกเขาอาจกันตัวเองจากการต้านทานพระองค์ และแม้แต่วิธีที่พวกเขารบเร้าตัวเองอย่างหนักหน่วงให้รักพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่มีวันสามารถปฏิบัติต่อพระเจ้าเสมือนพระเจ้าองค์หนึ่งได้สำเร็จ การนี้ไม่ได้ถูกกำหนดพิจารณาโดยแก่นแท้ของผู้คนหรอกหรือ? หากเจ้าปฏิบัติต่อพระองค์ในฐานะพระเจ้า และเชื่ออย่างแท้จริงว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เจ้าจะยังคงสามารถมีข้อแคลงใจใดๆ ต่อพระองค์ได้หรือไม่? หัวใจของเจ้าจะยังคงสามารถเก็บงำเครื่องหมายคำถามใดๆ เกี่ยวกับพระองค์ได้หรือไม่? ไม่สามารถอีกต่อไปใช่หรือไม่? แนวโน้มทั้งหลายของโลกนี้ช่างเลวร้ายนัก และเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้ก็เป็นเช่นกัน ดังนั้นเจ้าจะไม่สามารถมีมโนคติที่หลงผิดใดๆ เกี่ยวกับแนวโน้มเหล่านั้นได้อย่างไร? เจ้าเองก็ชั่วร้ายยิ่งนัก ดังนั้นจึงเป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าไม่มีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น? และกระนั้นก็ตาม เพียงข่าวลือไม่กี่ข่าวและการใส่ร้ายป้ายสีบางอย่างก็สามารถก่อให้เกิดมโนคติที่หลงผิดมหาศาลเช่นนี้เกี่ยวกับพระเจ้า และนำไปสู่การที่เจ้าจินตนาการสิ่งทั้งหลายมากมายยิ่งนัก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าวุฒิภาวะของเจ้ายังไม่เป็นผู้ใหญ่อยู่เพียงใด! แค่ “เสียงหึ่งๆ” ของยุงไม่กี่ตัวและแมลงวันน่ารังเกียจไม่กี่ตัว—นั่นคือทั้งหมดที่ต้องใช้เพื่อหลอกลวงเจ้าใช่หรือไม่? นี่เป็นบุคคลประเภทไหนกันเล่า? เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงคิดอะไรเกี่ยวกับผู้คนเหล่านี้? ท่าทีของพระเจ้านั้นจริงๆ แล้วชัดเจนมากเกี่ยวกับวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกเขา นั่นเป็นเพียงว่าการทรงปฏิบัติของพระเจ้าต่อผู้คนเหล่านี้คือการทรงแสดงอาการเย็นชาต่อพวกเขา—ท่าทีของพระองค์คือการไม่ให้ความสนใจใดๆ ต่อพวกเขา และการไม่ถือจริงจังกับผู้คนที่ไม่รู้เท่าทันเหล่านี้ เหตุใดจึงเป็นอย่างนั้น? เป็นเพราะในพระทัยของพระเจ้า พระองค์ไม่เคยทรงวางแผนที่จะได้รับคนเหล่านั้นที่ได้ให้คำมั่นว่าจะเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์จนถึงที่สุดและที่ไม่เคยวางแผนที่จะหาจนพบวิธีที่จะเข้ากันได้กับพระองค์ บางทีคำพูดเหล่านี้ที่เราได้พูดไปแล้วนั้น อาจทำร้ายผู้คนไม่กี่คน เอาละ พวกเจ้าเต็มใจที่จะให้เราทำร้ายพวกเจ้าเช่นนี้ตลอดเวลาหรือไม่? ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพูดคือความจริง! หากเราทำร้ายพวกเจ้าและตีแผ่แผลเป็นของพวกเจ้าเช่นนี้ตลอดเวลา มันจะส่งผลกระทบต่อพระฉายาอันสูงส่งของพระเจ้าที่เจ้าเก็บงำไว้ในหัวใจของพวกเจ้าหรือไม่? (มันจะไม่ส่งผลกระทบ) เราเห็นด้วยว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบ เพราะแท้จริงแล้วไม่มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเจ้า พระเจ้าผู้สูงส่งที่พำนักอยู่ในหัวใจของพวกเจ้า—พระเจ้าองค์ที่พวกเจ้าพิทักษ์และคุ้มครองปกป้องอย่างแข็งขัน—ไม่ใช่พระเจ้าจริงๆ ตรงกันข้ามเขาเป็นสิ่งที่กุขึ้นจากจินตนาการของมนุษย์ เขาไม่มีอยู่จริงอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าอย่างแน่แท้ที่เราตีแผ่คำตอบต่อปริศนานี้ การนี้ไม่ได้แผ่วางความจริงทั้งหมดหรอกหรือ? พระเจ้าที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จินตนาการว่าพระองค์ทรงเป็น เราหวังว่าพวกเจ้าทั้งหมดสามารถเผชิญหน้ากับความเป็นจริงนี้ได้ และมันจะช่วยในความรู้เรื่องพระเจ้าของพวกเจ้า

ผู้คนเหล่านั้นที่ไม่ได้รับการยอมรับรู้โดยพระเจ้า

มีผู้คนบางคนที่ความเชื่อของพวกเขาไม่เคยได้รับการยอมรับรู้ภายในพระทัยของพระเจ้า กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าไม่ทรงระลึกว่าพวกเขาเป็นผู้ติดตามพระองค์ เพราะพระองค์ไม่ทรงยกย่องการเชื่อของพวกเขา สำหรับผู้คนเหล่านี้ แนวคิดและทรรศนะของพวกเขาไม่เคยเปลี่ยน โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาได้ติดตามพระเจ้านานกี่ปีแล้ว พวกเขาเป็นเหมือนผู้ไม่เชื่อ โดยยึดติดกับหลักการและวิธีแห่งการทำสิ่งทั้งหลายของผู้ไม่เชื่อ และกฎแห่งการอยู่รอดและความเชื่อของผู้ไม่เชื่อ พวกเขาไม่เคยยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นชีวิตของพวกเขา ไม่เคยเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ไม่เคยตั้งใจที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้า และไม่เคยระลึกว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขา พวกเขาเห็นว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นงานอดิเรกสมัครเล่นบางอย่าง โดยปฏิบัติต่อพระองค์เหมือนเป็นเพียงความค้ำจุนทางจิตวิญญาณ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาไม่คิดว่ามันคุ้มค่าที่จะพยายามเข้าใจพระอุปนิสัยหรือเนื้อแท้ของพระเจ้า อาจกล่าวได้ว่าทั้งหมดที่สอดคล้องกับพระเจ้าเที่ยงแท้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับผู้คนเหล่านี้ พวกเขาไม่สนใจ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถถูกรบเร้าให้ใส่ใจได้ นี่เป็นเพราะลึกลงไปในหัวใจของพวกเขามีเสียงรุนแรงที่มักจะบอกพวกเขาเสมอว่า “พระเจ้าไม่ทรงปรากฏแก่ตาและไม่สามารถแตะต้องได้ และไม่ทรงดำรงอยู่” พวกเขาเชื่อว่าการพยายามเข้าใจพระเจ้าแบบนี้คงจะไม่คุ้มค่ากับความพยายามของพวกเขา และเชื่อว่าในการทำเช่นนั้น พวกเขาคงจะกำลังหลอกตัวเอง พวกเขาเชื่อว่าโดยเพียงแค่ยอมรับรู้พระวจนะของพระเจ้าโดยไม่ทำการยืนหยัดจริงๆ หรือลงทุนในการกระทำใดๆ จริงๆ ด้วยตัวเอง พวกเขาก็ค่อนข้างฉลาด พระเจ้าทรงพิจารณาผู้คนเช่นนี้อย่างไร? พระองค์ทรงมองว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ ผู้คนบางคนถามว่า “ผู้ไม่เชื่อสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่? พวกเขาสามารถทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วงได้หรือไม่? พวกเขาสามารถพูดคำว่า ‘ข้าพระองค์จะมีชีวิตเพื่อพระเจ้า’ ได้หรือไม่?” สิ่งที่พวกมนุษย์เห็นบ่อยๆ คือการแสดงที่ผู้คนจัดขึ้นที่ภายนอก พวกเขาไม่เห็นแก่นแท้ของผู้คน อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ทรงมองที่การแสดงผิวเผินเหล่านี้ พระองค์ทรงเห็นแก่นแท้ภายในของพวกเขาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ นี่จึงเป็นท่าทีและคำนิยามประเภทที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนเหล่านี้ ผู้คนเหล่านี้พูดว่า “เหตุใดพระเจ้าทรงทำการนี้? เหตุใดพระเจ้าทรงทำการนั้น? ข้าพระองค์ไม่สามารถเข้าใจการนี้ ข้าพระองค์ไม่สามารถเข้าใจการนั้น การนี้ไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พระองค์ต้องทรงอธิบายการนั้นให้ข้าพระองค์…” ในการตอบคำถามนี้ เราถามว่า จำเป็นจริงๆ หรือไม่ที่จะอธิบายเรื่องเหล่านี้แก่เจ้า? เรื่องเหล่านี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าจริงๆ บ้างหรือไม่? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? เจ้ามาจากที่ใด? เจ้ามีคุณสมบัติจริงๆ หรือที่จะให้คำแนะนำกับพระเจ้า? เจ้าเชื่อในพระองค์หรือไม่? พระองค์ทรงยอมรับรู้ความเชื่อของเจ้าหรือไม่? ในเมื่อความเชื่อของเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับพระเจ้า แล้วกิจการของพระองค์เป็นเรื่องอะไรของเจ้าหรือ? เจ้าไม่รู้ว่าเจ้ายืนอยู่ที่ใดในพระทัยของพระเจ้า ดังนั้นเจ้าจะสามารถมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมในการสนทนากับพระองค์ได้อย่างไร?

พระวจนะแห่งการเตือนสอน

พวกเจ้าไม่รู้สึกอึดอัดหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้หรอกหรือ? แม้ว่าพวกเจ้าอาจจะไม่เต็มใจที่จะฟังคำพูดเหล่านี้หรือไม่เต็มใจที่จะยอมรับคำพูดเหล่านี้ แต่ทั้งหมดนั้นคือข้อเท็จจริง เพราะพระราชกิจช่วงระยะนี้มีไว้ให้พระเจ้าทรงกระทำ หากเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์ ไม่มีความใส่ใจเกี่ยวกับท่าทีของพระองค์ และไม่เข้าใจเนื้อแท้และพระอุปนิสัยของพระองค์ เช่นนั้นแล้วในที่สุด เจ้าก็จะเป็นคนที่จะพ่ายแพ้ จงอย่าโทษวจนะของเราที่ฟังยาก และจงอย่าโทษวจนะเหล่านั้นที่ลดทอนความกระตือรือร้นของพวกเจ้า เราพูดความจริง ไม่ได้เป็นความตั้งใจของเราที่จะทำให้พวกเจ้าท้อใจ ไม่สำคัญว่าเราขอสิ่งใดจากพวกเจ้า และไม่สำคัญว่าพวกเจ้าพึงต้องทำสิ่งนั้นอย่างไร เราหวังว่าพวกเจ้าเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องและไปตามทางของพระเจ้า และหวังว่าพวกเจ้าจะไม่มีวันเบี่ยงเบนจากเส้นทางที่ถูกต้อง หากเจ้าไม่ดำเนินการโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า หรือไปตามทางของพระองค์ เช่นนั้นแล้วก็ไม่อาจมีความแคลงใจเลยว่าเจ้ากำลังกบฏต่อพระเจ้า และได้ไถลห่างจากเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว ด้วยเหตุนี้ เรารู้สึกว่ามีบางเรื่องที่เราต้องทำให้ชัดเจนต่อพวกเจ้า และรู้สึกว่าเราต้องทำให้พวกเจ้าเชื่ออย่างสนิทใจ อย่างชัดเจน และปราศจากความไม่แน่ใจแม้แต่น้อย และช่วยให้พวกเจ้ามีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับท่าทีของพระเจ้า เจตนารมณ์ของพระองค์ วิธีที่พระองค์ทรงทำให้พวกมนุษย์มีความเพียบพร้อม และในลักษณะใดที่พระองค์ทรงกำหนดพิจารณาบทอวสานของผู้คน หากมีสักวันหนึ่งมาถึงเมื่อเจ้าไร้ความสามารถที่จะเริ่มก้าวไปบนเส้นทางนี้ได้ เช่นนั้นแล้วเราก็ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ เพราะวจนะเหล่านี้ได้ถูกกล่าวกับเจ้าอย่างชัดเจนมากแล้ว ในส่วนของวิธีที่เจ้าจัดการกับบทอวสานของเจ้าเอง นี่เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเจ้าทั้งสิ้น เกี่ยวกับบทอวสานของผู้คนหลากหลายชนิดนั้น พระเจ้าทรงมีท่าทีที่แตกต่างกันไป พระองค์ทรงมีวิธีของพระองค์เองในการชั่งน้ำหนักพวกเขา รวมถึงมาตรฐานของพระองค์เองเกี่ยวกับข้อพึงประสงค์ที่มีต่อพวกเขา มาตรฐานของพระองค์ในการชั่งน้ำหนักบทอวสานของผู้คนเป็นมาตรฐานที่เป็นธรรมต่อทุกคน—ไม่มีความแคลงใจเลยเกี่ยวกับการนั้น! เพราะฉะนั้น ความกลัวของบางคนจึงไม่จำเป็น บัดนี้เจ้าโล่งใจแล้วหรือยัง? นั่นคือทั้งหมดสำหรับวันนี้ ลาก่อน!

17 ตุลาคม ค.ศ. 2013

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger