วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์
ตอนที่หนึ่ง
ก่อนอื่น พวกเราจงมาขับร้องเพลงสรรเสริญกันเถิด: เพลงเฉลิมราชอาณาจักร (1) ราชอาณาจักรเคลื่อนลงสถิตบนพิภพ
เสียงร้องคลอตาม: มหาชนแซ่ซ้องเรา มหาชนสรรเสริญเรา ทุกปากทั้งปวงขนานพระนามพระเจ้าแท้จริงเพียงหนึ่งเดียว ราชอาณาจักรเคลื่อนลงสถิตบนพิภพแห่งมวลมนุษย์
1. มหาชนแซ่ซ้องเรา มหาชนสรรเสริญเรา ทุกปากทั้งปวงขนานพระนามพระเจ้าแท้จริงเพียงหนึ่งเดียว ผู้คนทั้งผองแหงนจ้องมองกิจการของเรา ราชอาณาจักรเคลื่อนลงสถิตบนพิภพแห่งมวลมนุษย์ บุคคลของเรานั้นมั่งมีและเอื้ออารี ใครเล่าจะไม่ปีติยินดีกับการนี้? ใครเล่าจะไม่เริงระบำเพื่อความชื่นชมยินดี? โอ้ ศิโยน! ชูธงประจำชัยของเจ้าเพื่อสมโภชเรา! ขับร้องเพลงฉลองชัยแห่งชัยชนะของเจ้าเพื่อเผยแผ่นามศักดิ์สิทธิ์ของเรา!
2. ทุกสิ่งสร้างกระทั่งสุดปลายพิภพ! จงเร่งชำระตัวเจ้าให้สะอาดเพื่อเจ้าอาจได้เป็นเครื่องบูชาแด่เรา! หมู่ดาราในท้องนภาเบื้องบน! จงเร่งกลับไปยังตำแหน่งแห่งหนของพวกเจ้าเพื่อแสดงฤทธานุภาพอันทรงอิทธิฤทธิ์ของเราในพื้นฟ้า! เราสดับซาบซึ้งในน้ำเสียงทั้งหลายของผู้คนบนแผ่นดินโลก ผู้หลั่งรินความรักและความเคารพตราบอสงไขยของพวกเขาให้แก่เรามาในบทเพลง! ในวันนี้ เมื่อทุกสิ่งสร้างกลับคืนสู่ชีวิต เราจึงลงมายังพิภพแห่งมวลมนุษย์ ณ ช่วงเวลานี้ ณ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ มวลบุปผาระดมผลิดอกบานสะพรั่งอย่างโกลาหล มวลหมู่สกุณาขับขานพร้อมเพรียงประดุจเสียงเดียว สรรพสิ่งล้วนระริกรัวด้วยความชื่นชมยินดี! ในเสียงประโคมคารวะแห่งราชอาณาจักร อาณาจักรซาตานพลันโค่นสลาย มีอันบรรลัยไปในเสียงก้องกัมปนาทของเพลงเฉลิมราชอาณาจักร ไม่มีวันผงาดขึ้นมาได้อีกเลย!
3. ใครเล่าบนแผ่นดินโลกกล้าลุกขึ้นมาต้านทาน? ขณะที่เราลงมายังแผ่นดินโลก เรานำมาซึ่งการเผาผลาญ นำมาซึ่งความพิโรธ นำมาซึ่งทุกเภทแห่งมหันตภัย อาณาจักรทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลก ณ บัดนี้คืออาณาจักรของเรา! สูงขึ้นไปในนภดล หมู่เมฆอวนระคนและวนป่วนเป็นมวนคลื่น เบื้องล่างนภดลนั้นเล่า ทะเลสาบและลำน้ำพากันถั่งโถมกระเพื่อมพล่านเป็นท่วงทำนองปลุกเร้าอย่างเริงร่ายินดี เหล่าสัตว์ซึ่งกำลังพักผ่อนทะยานพรวดออกจากคูหาของพวกมัน และเราปลุกผู้คนทั้งผองให้ตื่นจากความหลับใหล วันซึ่งผู้คนมหาศาลเฝ้ารอคอยได้มาถึงแล้วในที่สุด! พวกเขาถวายบทเพลงอันไพเราะที่สุดทั้งหลายให้กับเรา!
พวกเจ้าคิดเรื่องอะไรทุกครั้งที่พวกเจ้าขับร้องเพลงนี้? (พวกเรารู้สึกตื่นเต้นและเร้าใจมาก และพวกเราคิดเรื่องที่ว่าความงามของราชอาณาจักรนั้นรุ่งโรจน์เพียงใด มวลมนุษย์และพระเจ้าจะอยู่ร่วมกันตลอดกาลได้อย่างไร) ผู้ใดบ้างได้คิดเรื่องรูปแบบที่มนุษย์ต้องนำมาใช้เพื่อที่จะได้อยู่ร่วมกับพระเจ้า? ในการจินตนาการของพวกเจ้า ผู้คนต้องเป็นอย่างไรเพื่อเข้าร่วมกับพระเจ้าและชื่นชมชีวิตอันรุ่งโรจน์ที่จะตามมาในราชอาณาจักร? (อุปนิสัยของพวกเขาควรถูกเปลี่ยนแปลง) อุปนิสัยของพวกเขาควรถูกเปลี่ยนแปลง แต่ในขอบข่ายใดเล่า? พวกเขาจะเป็นเหมือนอะไรหลังจากที่อุปนิสัยของพวกเขาได้ถูกเปลี่ยนแปลงแล้ว? (พวกเขาจะกลายเป็นบริสุทธิ์) เกณฑ์สำหรับความบริสุทธิ์คืออะไร? (ความคิดและการพิจารณาทั้งหมดของคนเราต้องเข้ากันได้กับพระคริสต์) ความเข้ากันได้เช่นนี้สำแดงออกอย่างไร? (คนเราไม่ต้านทานหรือทรยศพระเจ้า สามารถนบนอบต่อพระองค์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ และคนเรามีความเคารพแบบยำเกรงต่อพระองค์ในหัวใจของคนเรา) บางคำตอบของเจ้านั้นมาถูกทางแล้ว จงเปิดหัวใจของพวกเจ้า พวกเจ้าทั้งหมด และเปล่งเสียงในสิ่งที่เจ้าปรารถนาที่จะพูด (ผู้คนที่อาศัยอยู่กับพระเจ้าในราชอาณาจักรควรจะสามารถทำหน้าที่ของพวกเขาได้—ด้วยความจงรักภักดี—โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ถูกฉุดรั้งโดยบุคคล เหตุการณ์ หรือวัตถุใด เช่นนั้นแล้วจึงกลายเป็นว่า เป็นไปได้สำหรับพวกเขาที่จะหลุดรอดจากอิทธิพลของความมืด ที่จะปรับหัวใจของพวกเขาให้เข้ากับพระเจ้า และยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว) (มุมมองของพวกเราที่มีต่อสิ่งทั้งหลายสามารถปรับให้เข้ากับพระเจ้าได้ และพวกเราสามารถหลุดรอดจากอิทธิพลของความมืดได้ อย่างน้อยที่สุด พวกเราสามารถไปยังที่ที่เราไม่ถูกซาตานหาประโยชน์อีกต่อไป และที่ที่พวกเราปลดทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดๆ ไป และนบนอบต่อพระเจ้า พวกเราเชื่อว่ามันจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้คนหลุดรอดจากอิทธิพลของความมืด ผู้คนที่ไม่สามารถหลุดรอดจากอิทธิพลของความมืดและหนีพ้นข้อผูกมัดของซาตานนั้นยังไม่ได้บรรลุความรอดของพระเจ้า) (เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสำหรับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า ผู้คนต้องมีหัวใจและจิตใจเดียวกันกับพระองค์ และไม่ต้านทานพระองค์อีกต่อไป พวกเขาต้องมีความสามารถที่จะรู้จักตัวเอง นำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ บรรลุความเข้าใจในพระเจ้า รักพระเจ้า และกลายเป็นเข้ากับพระเจ้าได้ นั่นคือทั้งหมดที่ต้องมี)
บทอวสานของผู้คนมีความหนักหน่วงเพียงใดในหัวใจของพวกเขา
ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะมีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับหนทางที่พวกเจ้าควรยึดปฏิบัติตาม และพวกเจ้าได้พัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับมันหรือความซาบซึ้งต่อมันบ้างแล้ว อย่างไรก็ตาม การที่คำพูดทั้งหมดที่พวกเจ้าได้เปล่งออกมาจะกลับกลายว่าเป็นจริงหรือกลวงเป็นโพรงนั้นขึ้นอยู่กับการมุ่งเน้นของพวกเจ้าในการฝึกฝนปฏิบัติวันต่อวันของพวกเจ้า หลายปีที่ผ่านมา พวกเจ้าทั้งหมดได้เก็บเกี่ยวดอกผลเฉพาะบางอย่างจากแต่ละแง่มุมของความจริง ทั้งในแง่ของคำสอนและในแง่ของเนื้อหาจริงแท้ของความจริง นี่พิสูจน์ว่าทุกวันนี้ ผู้คนให้การเน้นย้ำมากมายกับการเพียรพยายามเพื่อความจริง และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ แต่ละแง่มุมและรายการของความจริงนั้นได้หยั่งรากลงในหัวใจของผู้คนบางคนแล้วอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม อะไรเล่าคือสิ่งที่เรากลัวที่สุด? มันก็คือเรื่องที่ว่า แม้จะมีข้อเท็จจริงว่าหัวเรื่องเหล่านี้ของความจริงและทฤษฎีเหล่านี้ได้หยั่งรากในหัวใจของพวกเจ้าแล้ว แต่เนื้อหาจริงแท้ของหัวเรื่องเหล่านี้มีสาระอยู่เพียงเล็กน้อยในหัวใจพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าประสบปัญหาและเผชิญหน้ากับการทดสอบและตัวเลือกทั้งหลาย ความเป็นจริงของความจริงเหล่านี้จะมีประโยชน์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงต่อพวกเจ้ามากเพียงใดเล่า? มันสามารถช่วยให้พวกเจ้าข้ามผ่านความลำบากยากเย็นและโผล่พ้นจากการทดสอบของพวกเจ้าได้ โดยได้สร้างความพึงพอใจให้กับน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้วหรือไม่? เจ้าจะตั้งมั่นท่ามกลางการทดสอบของเจ้าและเป็นคำพยานอันกึกก้องต่อพระเจ้าหรือไม่? เจ้าได้เคยเอาตัวเองไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้หรือไม่? เราถามพวกเจ้าว่า ในหัวใจของพวกเจ้า และในความคิดและการใคร่ครวญประจำวันของพวกเจ้า อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเจ้า? พวกเจ้าเคยได้มาถึงข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่? เจ้าเชื่อว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับพวกเจ้า? ผู้คนบางคนพูดว่า “คือการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติอย่างแน่นอน” ในขณะที่คนอื่นๆ พูดว่า “แน่นอนว่าคือการอ่านพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน” ผู้คนบางคนพูดว่า “คือการมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานต่อพระองค์ทุกวันอย่างแน่นอน” และนอกจากนี้ยังมีพวกที่พูดว่า “แน่นอนเลยว่าคือการทำหน้าที่ของข้าพระองค์อย่างถูกต้องเหมาะสมทุกวัน” แล้วก็ยังมีแม้กระทั่งบางคนที่พูดว่าพวกเขาเคยคิดเพียงว่าจะทำอย่างไรให้พระเจ้าทรงพึงพอพระทัย จะเชื่อฟังพระองค์ในทุกสิ่งทุกอย่างอย่างไร และจะปฏิบัติตัวอย่างไรให้กลมกลืนกับน้ำพระทัยของพระองค์ นั่นถูกต้องหรือไม่? นี่คือทั้งหมดที่มีอยู่ใช่หรือไม่? ตัวอย่างเช่นบางคนพูดว่า “ข้าพระองค์ต้องการเพียงนบนอบต่อพระเจ้า แต่เมื่อใดก็ตามที่ข้าพระองค์ประสบปัญหา ข้าพระองค์ก็ไม่มีความสามารถที่จะทำได้” คนอื่นๆ พูดว่า “ข้าพระองค์ต้องการเพียงทำให้พระเจ้าทรงพึงพอพระทัยเท่านั้น และต่อให้ข้าพระองค์สามารถทำให้พระองค์ทรงพึงพอพระทัยเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น มันก็คงจะดีแล้ว—แต่ข้าพระองค์ก็ไม่มีวันสามารถทำให้พระองค์ทรงพึงพอพระทัยได้เลย” บางคนพูดว่า “ข้าพระองค์ต้องการเพียงนบนอบต่อพระเจ้า ในเวลาของการทดสอบ ข้าพระองค์ต้องการเพียงนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียง ต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ โดยปราศจากการร้องทุกข์หรือการร้องขออันใด แต่ถึงกระนั้น ข้าพระองค์ก็ล้มเหลวในการนบนอบแทบทุกครั้ง” ยังมีคนอื่นๆ อีกที่พูดว่า “เมื่อข้าพระองค์เผชิญหน้ากับการตัดสินใจ ข้าพระองค์ไม่มีวันสามารถเลือกที่จะนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติได้ ข้าพระองค์มักต้องการสร้างความพึงพอใจให้กับเนื้อหนังและต้องการลุล่วงความอยากได้อยากมีส่วนตัวแบบเห็นแก่ตัวของตัวเอง” อะไรเล่าคือเหตุผลสำหรับการนี้? ก่อนที่การทดสอบของพระเจ้าจะมา พวกเจ้าย่อมจะได้ท้าทายตัวเองหลายครั้งแล้ว โดยการลองพยายามและทดสอบตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าใช่หรือไม่? จงดูว่าเจ้าสามารถนบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงและทำให้พระองค์ทรงพึงพอพระทัยอย่างแท้จริงหรือไม่ และเจ้าสามารถรับประกันได้หรือไม่ว่าเจ้าจะไม่ทรยศพระองค์ จงดูว่าเจ้าสามารถเลี่ยงจากการทำให้ตนเองพึงพอใจและการทำให้ความอยากได้อยากมีแบบเห็นแก่ตัวของเจ้าลุล่วง และเพียงทำให้พระเจ้าทรงพึงพอพระทัยเท่านั้นแทน โดยปราศจากการสร้างตัวเลือกส่วนบุคคลอันใดได้หรือไม่ มีใครบ้างหรือไม่ที่ทำเช่นนี้? อันที่จริง มีเพียงข้อเท็จจริงหนึ่งเดียวที่ได้ถูกวางไว้ต่อหน้าต่อตาพวกเจ้า และมันคือสิ่งที่พวกเจ้าทุกคนสนใจมากที่สุดและสิ่งที่เจ้าปรารถนาที่จะรู้มากที่สุด—เรื่องของบทอวสานและบั้นปลายของทุกคน พวกเจ้าอาจไม่ตระหนัก แต่นี่เป็นบางสิ่งที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ เมื่อพูดถึงความจริงของบทอวสานของผู้คน พระสัญญาของพระเจ้าต่อมนุษยชาติ และบั้นปลายประเภทใดที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยจะนำผู้คนเข้าไป เรารู้ว่ามีบางคนที่ได้ศึกษาพระวจนะของพระเจ้าในหัวเรื่องเหล่านี้หลายครั้งแล้ว แล้วยังมีพวกที่กำลังมองหาคำตอบและครุ่นคิดเรื่องนี้ในจิตใจของพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ได้อะไรขึ้นมา หรือบางที ก็จบลงตรงบทสรุปที่กำกวมบทใดบทหนึ่ง ในท้ายที่สุด พวกเขายังคงไม่แน่ใจว่าบทอวสานประเภทใดที่รอพวกเขาอยู่ เมื่อปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา ผู้คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะต้องการรู้คำตอบที่เด็ดขาดของคำถามต่อไปนี้: “บทอวสานของข้าพระองค์จะเป็นอะไร? ข้าพระองค์สามารถเดินตามเส้นทางนี้ไปจนถึงปลายทางของมันได้หรือไม่? พระเจ้าทรงมีท่าทีอะไรต่อมนุษยชาติ?” บางคนถึงกับวิตกกังวลดังนี้ “ในอดีต ข้าพระองค์ได้ทำบางสิ่ง และข้าพระองค์ได้พูดบางสิ่ง ข้าพระองค์ได้ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ข้าพระองค์ได้ดำเนินการกระทำที่ได้ทรยศต่อพระเจ้า และในบางกรณี ข้าพระองค์ได้ล้มเหลวในการทำให้พระเจ้าทรงพึงพอพระทัย ข้าพระองค์ได้ทำร้ายความรู้สึกของพระองค์ และข้าพระองค์ทำให้พระองค์ทรงผิดหวังและทำให้พระองค์ทรงเกลียดชังข้าพระองค์และทรงเกลียดข้าพระองค์ เพราะฉะนั้น บางที อาจไม่มีใครรู้บทอวสานของข้าพระองค์เลย” คงจะสมเหตุสมผลที่จะพูดว่าผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับบทอวสานของตัวเอง ไม่มีใครกล้าพูดว่า “ข้าพระองค์รู้สึกด้วยความแน่ใจเต็มร้อยว่าข้าพระองค์จะเป็นผู้อยู่รอด ข้าพระองค์แน่ใจเต็มร้อยว่าข้าพระองค์สามารถทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ ข้าพระองค์เป็นบุคคลหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับพระทัยของพระเจ้า ข้าพระองค์เป็นบุคคลหนึ่งที่พระเจ้าทรงสรรเสริญ” ผู้คนบางคนคิดว่ามันลำบากยากเย็นเป็นพิเศษที่จะติดตามทางของพระเจ้า และคิดว่าการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติเป็นสิ่งที่ยากลำบากที่สุดในบรรดาทั้งหมด ผลที่ตามมาก็คือ ผู้คนเช่นนี้จึงถูกทำให้เชื่อว่าพวกเขาอยู่เกินเลยการช่วยเหลือแล้ว และไม่กล้าที่จะยกชูความหวังของพวกเขาเกี่ยวกับการบรรลุบทอวสานที่ดี หรือบางที พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาไม่สามารถทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ และดังนั้นจึงไม่สามารถกลายเป็นผู้อยู่รอดได้ เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงอ้างว่าพวกเขาไม่มีบทอวสานและไม่สามารถบรรลุบั้นปลายที่ดีได้ ไม่ว่าผู้คนจะคิดอย่างไรแน่ก็ตาม พวกเขาทั้งหมดก็ได้ประหลาดใจเกี่ยวกับบทอวสานของพวกเขาหลายครั้ง สำหรับคำถามเกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาและเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาจะได้ในทันทีที่พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้น พวกเขากำลังคำนวณและวางแผนอย่างต่อเนื่อง บางคนจ่ายราคาเป็นสองเท่า บางคนทอดทิ้งครอบครัวของพวกเขาและอาชีพการงานของพวกเขา บางคนยอมเลิกล้มการสมรสของพวกเขา บางคนลาออกจากงานเพื่อสละตัวเองเพื่อประโยชน์ของพระเจ้า บางคนออกจากบ้านของพวกเขาเพื่อทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วง บางคนเลือกความยากลำบาก และเริ่มรับทำกิจที่ขมขื่นและเหนื่อยล้าที่สุด บ้างก็เลือกที่จะทุ่มเทอุทิศความอุดมโภคทรัพย์ของพวกเขาและอุทิศทั้งหมดของพวกเขา และยังมีคนอื่นทั้งหลายที่เลือกไล่ตามเสาะหาความจริงและเพียรพยายามรู้จักพระเจ้า ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าจะเลือกฝึกฝนปฏิบัติอย่างไร ลักษณะที่พวกเจ้าใช้ฝึกฝนปฏิบัตินั้นสำคัญหรือไม่? (ไม่ มันไม่สำคัญ) เช่นนั้นแล้วเราจะอธิบาย “ความไม่สำคัญ” นี้อย่างไร? หากวิธีการฝึกฝนปฏิบัติไม่สำคัญ เช่นนั้นแล้วอะไรเล่าที่สำคัญ? (พฤติกรรมที่ดีภายนอกไม่ได้เป็นตัวแทนของการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ) (ความคิดทั้งหลายของแต่ละปัจเจกบุคคลนั้นไม่สำคัญ กุญแจตรงนี้ก็คือพวกเราได้นำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติหรือไม่ และพวกเรารักพระเจ้าหรือไม่) (ความล่มสลายของศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จช่วยให้พวกเราเข้าใจว่าพฤติกรรมภายนอกไม่ใช่สิ่งสำคัญยิ่งชีพที่สุด โดยผิวเผินแล้ว พวกเขาดูเหมือนจะได้ละทิ้งไปมากมายและดูเหมือนจะเต็มใจจ่ายราคา แต่เมื่อได้ตรวจสอบอย่างใกล้ชิดขึ้น พวกเราสามารถเห็นได้ว่าพวกเขาเพียงแค่ไม่เคารพพระเจ้า แต่พวกเขากลับต่อต้านพระองค์ด้วยประการทั้งปวงแทน ณ ชั่วขณะที่สำคัญยิ่งยวด พวกเขามักจะเข้าข้างซาตานและแทรกแซงพระราชกิจของพระเจ้าเสมอ ดังนั้น ข้อพิจารณาหลักตรงนี้ก็คือพวกเรายืนอยู่ข้างไหนเมื่อถึงเวลา และทัศนคติของพวกเราต่อสิ่งทั้งหลายคืออะไร) พวกเจ้าทั้งหมดพูดดี และพวกเจ้าดูเหมือนครองความเข้าใจพื้นฐานและมาตรฐานสำหรับดำเนินชีวิตตามอยู่แล้วเมื่อพูดถึงการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ เจตนารมณ์ของพระเจ้า และสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากมนุษยชาติ การที่พวกเจ้าสามารถพูดเช่นนี้ได้นั้นดลใจมาก แม้ว่าบางสิ่งที่พวกเจ้าพูดจะไม่ถูกต้องแม่นยำมากนัก แต่เจ้าก็ได้เข้าใกล้การมีคำอธิบายที่ถูกต้องเหมาะสมเกี่ยวกับความจริงแล้ว—และนี่ก็พิสูจน์ว่าพวกเจ้าได้พัฒนาความเข้าใจที่จริงแท้ของพวกเจ้าเองเกี่ยวกับผู้คน เหตุการณ์ และวัตถุทั้งหลายรอบตัวพวกเจ้า เกี่ยวกับสิ่งรอบตัวเจ้าทั้งหมดตามที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้ และเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าสามารถมองเห็นได้ นี่คือความเข้าใจอย่างหนึ่งซึ่งใกล้เคียงกับความจริง แม้ว่าสิ่งที่พวกเจ้าได้พูดจะไม่ใช่เป็นการจับใจความได้ครอบคลุมทั้งหมด และคำพูดของเจ้าบางคำไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แต่การจับใจความของพวกเจ้าก็กำลังเข้าใกล้ความเป็นจริงของความจริงแล้ว การได้ยินพวกเจ้าพูดแบบนี้ทำให้เรารู้สึกดีมาก
ความเชื่อของผู้คนไม่สามารถแทนที่ความจริงได้
ผู้คนบางคนสามารถทนความยากลำบากได้ สามารถจ่ายราคาได้ ภายนอกมีความประพฤติดีมาก ค่อนข้างเป็นที่นับถือดี และชื่นชมกับการเลื่อมใสของผู้อื่น พวกเจ้าจะพูดว่าพฤติกรรมภายนอกประเภทนี้สามารถถือได้ว่าเป็นการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติหรือไม่? คนเราจะสามารถกำหนดพิจารณาได้หรือไม่ว่าผู้คนเช่นนี้กำลังทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า? เหตุใดหรือจึงเป็นว่า ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผู้คนเห็นปัจเจกบุคคลเช่นนี้และคิดว่าพวกเขากำลังทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย กำลังเดินตามเส้นทางของการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ และกำลังเดินตามทางของพระเจ้า? เหตุใดผู้คนบางคนจึงคิดเช่นนี้? มีคำอธิบายเพียงคำเดียวเท่านั้น คำอธิบายนั้นคืออะไรเล่า? คำอธิบายก็คือว่า สำหรับผู้คนจำนวนมหาศาล คำถามบางคำถาม—อาทิ การนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติหมายความว่าอะไร การทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยหมายความว่าอะไร และการครองความเป็นจริงของความจริงอย่างแท้จริงหมายความว่าอะไร—ไม่ชัดเจนอย่างมาก ดังนั้น จึงมีผู้คนบางคนที่มักถูกหลอกลวงโดยพวกที่ภายนอกดูเหมือนจะเป็นฝ่ายจิตวิญญาณ สูงศักดิ์ สูงส่ง และยิ่งใหญ่ ในส่วนของผู้คนที่สามารถพูดถึงตัวอักษรและคำสอนได้อย่างมีวาทศิลป์ และวาทะและการกระทำของพวกเขาดูเหมือนจะมีค่าคู่ควรกับการเลื่อมใส พวกที่ถูกพวกนั้นหลอกลวงไม่เคยได้มองที่แก่นแท้ของการกระทำของพวกเขา หลักการทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของพวกเขา หรืออะไรคือเป้าหมายของพวกเขา ยิ่งกว่านั้น พวกเขาไม่เคยมองว่าผู้คนเหล่านี้นบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ และพวกเขาไม่เคยกำหนดพิจารณาว่าผู้คนเหล่านี้ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างแท้จริงหรือไม่ พวกเขาไม่เคยหยั่งรู้แก่นแท้ของสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คนเหล่านี้ ตรงกันข้าม เริ่มต้นด้วยขั้นตอนแรกของการทำความคุ้นเคยกับพวกเขา พวกเขาได้มาเลื่อมใสและเคารพผู้คนเหล่านี้ทีละเล็กทีละน้อย และในที่สุด ผู้คนเหล่านี้ก็กลายเป็นรูปเคารพของพวกเขา นอกจากนี้ ในจิตใจของผู้คนบางคน รูปเคารพที่พวกเขานมัสการ—และผู้ที่พวกเขาเชื่อว่าสามารถทอดทิ้งครอบครัวและอาชีพการงานของพวกเขาได้ และผู้ที่โดยผิวเผินแล้วดูเหมือนจะสามารถจ่ายราคาได้—เป็นพวกที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างแท้จริง และพวกที่สามารถบรรลุบทอวสานที่ดีและบั้นปลายที่ดีได้ ในจิตใจของพวกเขา รูปเคารพเหล่านี้คือพวกที่พระเจ้าทรงสรรเสริญ อะไรเล่าที่ทำให้พวกเขาเชื่อสิ่งเช่นนี้? อะไรคือแก่นแท้ของประเด็นปัญหานี้? อะไรคือผลที่ตามมาที่มันจะนำไปสู่? ก่อนอื่นพวกเรามาหารือเรื่องแก่นแท้ของมันกันเถิด
โดยแก่นแท้แล้ว ประเด็นปัญหาเหล่านี้ที่เกี่ยวกับทัศนคติของผู้คน วิธีการฝึกฝนปฏิบัติของพวกเขา หลักการของการฝึกฝนปฏิบัติใดที่พวกเขาเลือกที่จะนำมาใช้ และสิ่งที่พวกเขาแต่ละคนมักจะมุ่งเน้น ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าต่อมนุษยชาติเลย ไม่ว่าผู้คนจะมุ่งเน้นที่เรื่องตื้นๆ หรือประเด็นปัญหาที่ลุ่มลึก หรือบนตัวอักษรและคำสอนหรือความเป็นจริง พวกเขาก็ไม่ยึดติดในสิ่งที่พวกเขาควรยึดติดมากที่สุด และพวกเขาก็ไม่รู้จักสิ่งที่พวกเขาควรรู้จักมากที่สุด เหตุผลของเรื่องนี้คือผู้คนไม่ชอบความจริงเอาเสียเลย เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงไม่เต็มใจที่จะใส่เวลาและความพยายามลงไปในการแสวงหาและนำหลักการของการฝึกฝนปฏิบัติที่พบในถ้อยดำรัสของพระเจ้าไปฝึกฝนปฏิบัติ แต่พวกเขากลับเลือกชอบที่จะใช้ทางลัดแทน โดยสรุปว่าสิ่งที่พวกเขาเข้าใจและรู้นั้นเป็นการฝึกฝนปฏิบัติที่ดีและพฤติกรรมที่ดี เช่นนั้นแล้วบทสรุปนี้จึงกลายเป็นเป้าหมายของพวกเขาเองในการไล่ตามเสาะหา ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นความจริงที่จะได้รับการฝึกฝนปฏิบัติ ผลพวงโดยตรงของเรื่องนี้คือผู้คนใช้พฤติกรรมที่ดีของมนุษย์เป็นสิ่งแทนที่สำหรับการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ ซึ่งก็สนองความอยากของพวกเขาที่จะประจบประแจงพระเจ้าอีกด้วย นี่เป็นทุนให้แก่พวกเขาเพื่อใช้ในการขับเคี่ยวกับความจริง ซึ่งพวกเขายังใช้เพื่อเป็นเหตุผลและแข่งขันกับพระเจ้าอีกด้วย ในเวลาเดียวกัน ผู้คนก็กันพระเจ้าออกไปอย่างไม่มีหลักศีลธรรม แล้ววางรูปเคารพที่พวกเขาเลื่อมใสลงแทนที่พระองค์ มีเพียงสาเหตุที่แท้จริงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้ผู้คนมีการกระทำและทัศนคติที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เช่นนี้ หรือมีข้อคิดเห็นและการฝึกฝนปฏิบัติด้านเดียว—และวันนี้ เราจะบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้: เหตุผลก็คือว่า แม้ว่าผู้คนอาจติดตามพระเจ้า อธิษฐานต่อพระองค์ทุกวัน และอ่านถ้อยดำรัสของพระองค์ทุกวัน แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์อย่างจริงแท้ มีรากเหง้าของปัญหานอนอยู่ในที่นี้ หากใครบางคนเข้าใจพระทัยของพระเจ้าและรู้ว่าพระองค์ทรงชอบสิ่งใด พระองค์ทรงเกลียดสิ่งใด พระองค์ทรงต้องประสงค์สิ่งใด พระองค์ทรงปฏิเสธสิ่งใด พระองค์ทรงรักบุคคลชนิดใด พระองค์ไม่ทรงชอบบุคคลชนิดใด พระองค์ทรงใช้มาตรฐานชนิดใดเมื่อทำการเรียกร้องต่อผู้คน และพระองค์ทรงใช้การเข้าหาประเภทใดเพื่อทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อม เช่นนั้นแล้วบุคคลนั้นยังคงสามารถมีข้อคิดเห็นส่วนตัวของพวกเขาเองได้หรือไม่? ผู้คนเช่นนี้อาจสามารถไปนมัสการใครอื่นบางคนได้อย่างเรียบง่ายกระนั้นหรือ? มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งอาจสามารถกลายเป็นรูปเคารพของพวกเขาได้หรือไม่? ผู้คนที่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าจะครองทัศนคติที่สมเหตุสมผลมากกว่านั้นเล็กน้อย พวกเขาจะไม่เทิดทูนบุคคลที่เสื่อมทรามผู้หนึ่งโดยพลการ และในขณะที่กำลังเดินไปบนเส้นทางของการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัตินั้น พวกเขาก็จะไม่เชื่อว่าการยึดติดกับกฎเกณฑ์หรือหลักการเรียบง่ายไม่กี่ข้ออย่างมืดบอดนั้นเท่าเทียมกันกับการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ
มีข้อคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับมาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้กำหนดพิจารณาบทอวสานของผู้คน
พวกเรากลับมาที่หัวข้อนี้และหารือเรื่องของบทอวสานต่อกันเถิด
ในเมื่อสิ่งที่ทุกคนกังวลสนใจคือบทอวสานของพวกเขาเอง พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาบทอวสานนั้นอย่างไร? พระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาบทอวสานของบางคนในลักษณะใด? ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงใช้มาตรฐานแบบใดในการกำหนดพิจารณา? เมื่อบทอวสานของบุคคลหนึ่งยังคงไม่ได้ถูกกำหนดพิจารณา พระเจ้าทรงทำอะไรเพื่อเปิดเผยบทอวสานนั้น? มีใครรู้บ้างหรือไม่? ดังที่เราได้พูดไปเมื่อชั่วขณะที่แล้ว มีบางคนที่ได้ใช้เวลาวิจัยพระวจนะของพระเจ้านานมาก ในความพยายามที่จะค้นให้พบเบาะแสเกี่ยวกับบทอวสานของผู้คน เกี่ยวกับหมวดหมู่ที่บทอวสานเหล่านี้ถูกแบ่งออกไป และเกี่ยวกับบทอวสานอันหลากหลายที่รอผู้คนต่างประเภทอยู่ พวกเขายังหวังอีกด้วยว่าจะค้นพบว่าพระวจนะของพระเจ้าทรงสั่งการบทอวสานของผู้คนอย่างไร พระองค์ทรงใช้มาตรฐานแบบใด และพระองค์ทรงกำหนดพิจารณาบทอวสานของบุคคลหนึ่งอย่างไรกันแน่ อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด ผู้คนเหล่านี้ไม่มีวันบริหารจัดการจนได้พบคำตอบใดได้ โดยข้อเท็จจริงแล้ว มีการพูดถึงเรื่องนี้น้อยมากท่ามกลางถ้อยดำรัสของพระเจ้า เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? ตราบใดที่บทอวสานของผู้คนยังไม่ได้รับการเปิดเผย พระเจ้าก็ไม่ทรงปรารถนาที่จะบอกผู้ใดว่าอะไรจะเกิดขึ้นในท้ายที่สุด และพระองค์ก็ไม่ทรงต้องประสงค์แจ้งผู้ใดให้รู้บั้นปลายของพวกเขาก่อนเวลา—เพราะการกระทำเช่นนั้นจะไม่เกิดประโยชน์อันใดต่อมนุษยชาติ ที่นี่และตอนนี้เราเพียงต้องการบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับลักษณะที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อกำหนดพิจารณาบทอวสานของผู้คน เกี่ยวกับหลักการที่พระองค์ทรงใช้ในพระราชกิจของพระองค์เพื่อกำหนดพิจารณาและสำแดงบทอวสานเหล่านี้ และเกี่ยวกับมาตรฐานที่พระองค์ทรงใช้เพื่อกำหนดพิจารณาว่าบางคนสามารถอยู่รอดได้หรือไม่ ไม่ใช่คำถามเหล่านี้หรอกหรือที่พวกเจ้ากังวลสนใจมากที่สุด? ดังนั้น เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเชื่อว่าพระเจ้าทรงกำหนดพิจารณาบทอวสานของผู้คนอย่างไร? พวกเจ้าเพิ่งได้พาดพิงถึงส่วนหนึ่งของเรื่องนั้นไปเมื่อประเดี๋ยวนี้เอง นั่นคือ พวกเจ้าบางคนพูดว่ามันเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของตนอย่างสัตย์ซื่อและการสละเพื่อพระเจ้า บางคนพูดว่ามันเกี่ยวข้องกับการนบนอบต่อพระเจ้าและทำให้พระองค์พึงพอพระทัย บางคนพูดว่าปัจจัยหนึ่งคือการอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า และบางคนก็พูดว่ากุญแจสำคัญคือการไม่ทำตัวให้เป็นจุดสนใจ…เมื่อพวกเจ้านำความจริงเหล่านี้ไปฝึกฝนปฏิบัติ และเมื่อพวกเจ้าฝึกฝนปฏิบัติโดยสอดคล้องกับหลักการทั้งหลายที่เจ้าเชื่อว่าถูกต้อง พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าดำริสิ่งใด? พวกเจ้าเคยได้พิจารณาหรือไม่ว่าการไปต่อเช่นนี้คือการทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์หรือไม่? มันเป็นไปตามมาตรฐานของพระองค์หรือไม่? มันจัดสนองตามข้อเรียกร้องของพระองค์หรือไม่? เราเชื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ขบคิดคำถามเหล่านี้มากนัก พวกเขาก็แค่นำส่วนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้า หรือส่วนหนึ่งของคำเทศนา หรือมาตรฐานของบุคคลสำคัญฝ่ายจิตวิญญาณเฉพาะบางคนที่พวกเขาเทิดทูนมาประยุกต์ใช้ไปโดยอัตโนมัติ โดยบังคับให้ตัวพวกเขาเองทำเช่นนี้และเช่นนั้น พวกเขาเชื่อว่านี่เป็นหนทางที่ถูกต้อง ดังนั้นพวกเขาจึงยึดติดสิ่งนั้นและทำสิ่งนั้นต่อไปไม่สำคัญว่าอะไรจะเกิดขึ้นในที่สุด ผู้คนบางคนคิดว่า “ข้าพระองค์ได้มีความเชื่อมาหลายปีเหลือเกินแล้ว ข้าพระองค์ได้ฝึกฝนปฏิบัติด้วยวิธีนี้มาตลอด ข้าพระองค์รู้สึกเหมือนว่าข้าพระองค์ได้ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยแล้วจริงๆ และข้าพระองค์ยังรู้สึกเหมือนว่าข้าพระองค์ได้รับมากมายจากการทำเช่นนั้นด้วย นี่เป็นเพราะข้าพระองค์ได้มาเข้าใจความจริงมากมายในระหว่างเวลานี้ รวมถึงสิ่งต่างๆ มากมายที่ข้าพระองค์ไม่ได้เข้าใจมาก่อน โดยเฉพาะเจาะจงแล้ว แนวคิดและทรรศนะมากมายของข้าพระองค์ได้เปลี่ยนไป คุณค่าชีวิตของข้าพระองค์ได้เปลี่ยนไปอย่างมโหฬาร และบัดนี้ข้าพระองค์มีความเข้าใจดีทีเดียวเกี่ยวกับพิภพนี้” ผู้คนเช่นนี้เชื่อว่านี่เป็นการเก็บเกี่ยวพืชผล และเชื่อว่าเป็นผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายของพระราชกิจของพระเจ้าสำหรับมนุษยชาติ ในข้อคิดเห็นของพวกเจ้า ด้วยมาตรฐานเหล่านี้และการฝึกฝนปฏิบัติทั้งหมดของพวกเจ้าที่นำมารวมกัน พวกเจ้ากำลังทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่? พวกเจ้าบางคนจะพูดด้วยความแน่นอนเต็มที่ว่า “แน่นอน! พวกเรากำลังฝึกฝนปฏิบัติโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า พวกเรากำลังฝึกฝนปฏิบัติโดยสอดคล้องกับสิ่งที่เบื้องบนได้ประกาศและสื่อสาร พวกเรามักจะทำหน้าที่ของพวกเราเสมอและติดตามพระเจ้าตลอดเวลา และพวกเราไม่เคยไปจากพระองค์ ดังนั้นพวกเราสามารถพูดได้อย่างมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าพวกเรากำลังทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ไม่สำคัญว่าพวกเราจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์มากเพียงใด และไม่สำคัญว่าเราจะจับใจความพระวจนะของพระองค์มากเพียงใด พวกเราก็ได้อยู่บนเส้นทางแห่งการพยายามเข้ากันได้กับพระเจ้าเสมอมา ตราบใดที่เราปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง และฝึกฝนปฏิบัติอย่างถูกต้อง เช่นนั้นแล้วพวกเราก็จะต้องได้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง” เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับมุมมองนี้? มันถูกต้องหรือไม่? อาจมีบางคนอีกด้วยที่พูดว่า “ข้าพระองค์ไม่เคยคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้มาก่อน ข้าพระองค์แค่คิดว่าตราบใดที่ข้าพระองค์ยังคงทำให้หน้าที่ของข้าพระองค์ลุล่วงและปฏิบัติตัวให้เป็นไปตามข้อพึงประสงค์แห่งถ้อยดำรัสของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วข้าพระองค์ก็สามารถอยู่รอดได้ ข้าพระองค์ไม่เคยได้พิจารณาคำถามที่ว่าข้าพระองค์สามารถทำให้สมดังพระทัยของพระเจ้าได้หรือไม่ และข้าพระองค์ไม่เคยได้พิจารณาว่าข้าพระองค์กำลังตอบสนองมาตรฐานที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ให้หรือไม่ เนื่องจากพระเจ้าไม่เคยทรงบอกข้าพระองค์หรือจัดเตรียมคำอบรมสั่งสอนที่ชัดเจนอันใดแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงเชื่อว่าตราบใดที่ข้าพระองค์ยังคงทำงานและไม่หยุดยั้ง เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะพึงพอพระทัยและไม่น่าจะทรงทำการเรียกร้องอันใดเพิ่มเติมจากข้าพระองค์” ความเชื่อเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่? ในความคิดเห็นของเรา หนทางการฝึกฝนปฏิบัติเช่นนี้ หนทางการคิดเช่นนี้ และทัศนคติเหล่านี้ล้วนพ่วงมาด้วยความเพ้อฝันรวมทั้งความมืดบอดอีกเล็กน้อย บางทีคำพูดของเรานี้ทำให้พวกเจ้าบางคนรู้สึกท้อแท้ใจเล็กน้อย โดยคิดว่า “ความมืดบอดหรือ? หากนี่เป็นความมืดบอด เช่นนั้นแล้วความหวังในความรอดและการอยู่รอดของพวกเรานั้นมีน้อยและไม่แน่นอนอย่างมากใช่หรือไม่? โดยการกล่าวแบบนั้น พระองค์ไม่กำลังทรงทำให้พวกเราท้อใจหรอกหรือ?” ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าเชื่ออะไร แต่สิ่งทั้งหลายที่เราพูดและทำไม่ได้หมายที่จะทำให้พวกเจ้ารู้สึกว่าพวกเจ้ากำลังถูกทำให้หมดกำลังใจ ตรงกันข้าม สิ่งเหล่านั้นหมายที่จะปรับปรุงความเข้าใจของพวกเจ้าเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าให้ดีขึ้น และเพิ่มการจับความเข้าใจของพวกเจ้าต่อสิ่งที่พระองค์กำลังทรงดำริ สิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ทำให้สำเร็จลุล่วง ผู้คนประเภทที่พระองค์ทรงชอบ สิ่งที่พระองค์ทรงเกลียด สิ่งที่พระองค์ทรงดูหมิ่น บุคคลชนิดใดที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะได้รับ และบุคคลชนิดใดที่พระองค์ทรงปฏิเสธ สิ่งเหล่านั้นหมายที่จะให้ความชัดเจนแก่จิตใจของพวกเจ้า และให้ความเข้าใจที่ชัดเจนแก่พวกเจ้าว่าการกระทำและความคิดของพวกเจ้าแต่ละคนและทุกคนได้ไถลห่างไปไกลเพียงใดจากมาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ มันจำเป็นมากหรือไม่ที่จะหารือเกี่ยวกับหัวข้อเหล่านี้? เพราะเรารู้ว่าพวกเจ้าได้มีความเชื่อมานานแล้ว และได้ฟังการประกาศมามากมายแล้ว แต่เหล่านี้เป็นสิ่งที่เจ้าขาดมากที่สุดอย่างแน่นอน แม้ว่าพวกเจ้าได้บันทึกทุกความจริงไว้ในสมุดบันทึกของเจ้า และได้จดจำและจารึกบางสิ่งที่เจ้าเชื่อเป็นการส่วนตัวว่ามีความสำคัญไว้ในหัวใจของพวกเจ้า และแม้ว่าเจ้าวางแผนการที่จะใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในระหว่างการฝึกฝนปฏิบัติของพวกเจ้า เพื่อใช้สิ่งเหล่านั้นในยามที่พวกเจ้าพบว่าตัวเองกำลังต้องการ เพื่อใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อก้าวผ่านกาลเวลาอันลำบากยากเย็นที่อยู่ข้างหน้า หรือเพียงแค่ปล่อยให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ร่วมทางไปกับพวกเจ้า ในขณะที่พวกเจ้าใช้ชีวิตของพวกเจ้า ในความคิดเห็นของเรา ไม่ว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไรก็ตาม หากพวกเจ้าแค่กำลังทำอยู่แล้ว นี่ก็ย่อมไม่สำคัญนัก เช่นนั้นแล้วอะไรเล่าที่สำคัญมาก? นั่นก็คือ ในขณะที่เจ้ากำลังฝึกฝนปฏิบัติ เจ้าต้องรู้ลึกลงไปด้วยความแน่ใจอย่างสิ้นเชิงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ากำลังทำอยู่—ทุกๆ การกระทำ—สอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์หรือไม่ และการกระทำทั้งหมดของพวกเจ้า ความคิดทั้งหมดของพวกเจ้า และผลลัพธ์และเป้าหมายที่พวกเจ้าปรารถนาจะสัมฤทธิ์ผลนั้น จริงๆ แล้วทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าและจัดสนองต่อข้อเรียกร้องของพระองค์หรือไม่ ตลอดจนพระองค์ทรงเห็นชอบกับสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ เหล่านี้คือบรรดาสิ่งที่สำคัญมาก
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ