พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1
ตอนที่หนึ่ง
วันนี้พวกเรากำลังสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหัวข้อสำคัญหัวข้อหนึ่ง นี่คือหัวข้อที่ได้มีการเสวนากันมานับตั้งแต่การเริ่มต้นพระราชกิจของพระเจ้า และซึ่งมีนัยสำคัญมากอย่างยิ่งต่อทุกๆ บุคคล กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่เป็นประเด็นปัญหาที่ทุกคนจะเผชิญในครรลองแห่งการเชื่อในพระเจ้า เป็นประเด็นปัญหาที่ต้องเผชิญ เป็นประเด็นปัญหาสำคัญยิ่งยวดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งมวลมนุษย์ไม่สามารถเดินจากไปได้ เมื่อพูดถึงความสำคัญ อะไรเล่าคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคน? ผู้คนบางคนคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า บางคนเชื่อว่าการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้นสำคัญที่สุด บางคนรู้สึกว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้จักตนเอง คนอื่นๆ มีข้อคิดเห็นว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้วิธีค้นหาความรอดโดยผ่านทางพระเจ้า วิธีติดตามพระเจ้า และวิธีทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเราจะวางประเด็นปัญหาเหล่านี้ทั้งหมดไว้ก่อนสำหรับวันนี้ ถ้าเช่นนั้น พวกเรากำลังเสวนาเรื่องอะไรกันอยู่เล่า? หัวข้อคือพระเจ้า นี่เป็นหัวข้อสำคัญที่สุดสำหรับทุกคนหรือไม่? หัวข้อนี้พ่วงพาสิ่งใดมาบ้าง? แน่นอนว่ามันไม่สามารถแยกออกจากพระอุปนิสัยของพระเจ้า เนื้อแท้ของพระเจ้า และพระราชกิจของพระเจ้าได้ ดังนั้นวันนี้ พวกเรามาเสวนากันเรื่อง “พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง”
จากเวลาที่มนุษย์ได้เริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ได้เผชิญกับหัวข้อทั้งหลาย เช่น พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง เมื่อกล่าวถึงพระราชกิจของพระเจ้า ผู้คนบางคนจะพูดว่า “พระราชกิจของพระเจ้านั้นทำต่อพวกเรา พวกเราได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจทุกวัน ดังนั้นพวกเราจึงไม่รู้สึกไม่คุ้นเคยกับพระราชกิจ” เมื่อพูดถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า บางคนจะพูดว่า “พระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นหัวข้อที่พวกเราศึกษา สำรวจ และมุ่งเน้นตลอดทั้งชีวิตของพวกเรา ดังนั้นพวกเราก็น่าจะมีความคุ้นเคยกับหัวข้อนี้” สำหรับพระเจ้าพระองค์เอง บางคนจะพูดว่า “พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นผู้ที่พวกเราติดตาม ผู้ที่พวกเรามีความเชื่อ และองค์หนึ่งเดียวที่พวกเราไล่ตามเสาะหา และพวกเราก็ไม่ใช่จะไม่รู้เกี่ยวกับพระองค์” พระเจ้าไม่เคยได้ทรงหยุดพระราชกิจของพระองค์ตั้งแต่การทรงสร้าง ตลอดพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ได้ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ และใช้วิถีทางหลากหลายเพื่อแสดงออกถึงพระวจนะของพระองค์ต่อไป ในเวลาเดียวกัน พระองค์ไม่เคยได้ทรงหยุดแสดงออกถึงพระองค์เองและเนื้อแท้ของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ แสดงออกถึงน้ำพระทัยของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ และสิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์จากมนุษย์ ดังนั้น ในแง่ของความเป็นจริง ไม่มีใครเป็นคนแปลกหน้ากับหัวข้อเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้คนที่ติดตามพระเจ้าในวันนี้ พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง ทั้งหมดล้วนแปลกใหม่อย่างมากจริงๆ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? ในขณะที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาก็ได้มาติดต่อกับพระเจ้า ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่าพวกเขาเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า หรือมีความรู้อยู่บ้างว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นเหมือนอะไร เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงไม่คิดว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าต่อพระราชกิจของพระเจ้าหรือพระอุปนิสัยของพระเจ้า ตรงกันข้าม มนุษย์คิดว่าเขาคุ้นเคยมากกับพระเจ้า และเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้ามาก แต่เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ความเข้าใจเรื่องพระเจ้านี้ถูกจำกัดอยู่กับสิ่งที่พวกเขาได้อ่านในหนังสือ ถูกจำกัดอยู่กับประสบการณ์ส่วนตัว ถูกยับยั้งด้วยจินตนาการ และเหนืออื่นใด ถูกจำกัดขอบเขตอยู่กับข้อเท็จจริงที่พวกเขาสามารถเห็นได้ด้วยตาของพวกเขาเอง—ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ห่างไกลมากจากพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง แล้วคำว่า “ไกล” ในที่นี้คือไกลเท่าใดเล่า? บางทีมนุษย์เองก็อาจไม่แน่ใจ หรือบางทีมนุษย์อาจมีสำนึกรับรู้เล็กน้อย การระแคะระคาย—แต่เมื่อมาถึงเรื่องของพระเจ้าพระองค์เอง ความเข้าใจของมนุษย์เกี่ยวกับพระองค์นั้นอยู่ห่างไกลเกินไปมากจากแก่นแท้ของพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง นี่คือเหตุผลที่พวกเราจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมีส่วนร่วมในการสามัคคีธรรมในหนทางที่เป็นระบบและเป็นรูปธรรมสำหรับหัวข้อเช่น “พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง”
โดยข้อเท็จจริงแล้ว พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นเปิดกว้างต่อทุกคนและไม่ถูกซ่อนเร้น เพราะพระเจ้าไม่เคยได้ทรงหลีกเลี่ยงบุคคลอันใดโดยจงใจเจตนา และไม่เคยได้ทรงพยายามปกปิดพระองค์เองอย่างจงใจเจตนาที่จะกีดกันไม่ให้ผู้คนรู้จักพระองค์หรือเข้าใจพระองค์ พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นได้ทรงหมายให้เปิดกว้างและเผชิญหน้ากับแต่ละบุคคลอย่างสุจริตใจเสมอ ในการบริหารจัดการของพระเจ้านั้น พระเจ้าทรงทำพระราชกิจของพระองค์ โดยเผชิญหน้ากับทุกคน และพระราชกิจของพระองค์ทรงทำกับทุกๆ บุคคล ในขณะที่พระองค์ทรงทำพระราชกิจนี้ พระองค์ก็ทรงกำลังเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์อย่างต่อเนื่อง และทรงกำลังใช้แก่นแท้ของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงมีและสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นอย่างต่อเนื่อง เพื่อทรงนำและทรงจัดเตรียมสำหรับทุกๆ บุคคล ในทุกยุคและ ณ ทุกช่วงระยะ โดยไม่คำนึงถึงว่ารูปการณ์แวดล้อมจะดีหรือแย่ พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นก็เปิดกว้างต่อทุกปัจเจกบุคคลเสมอ และสิ่งทรงครองของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นเปิดกว้างต่อแต่ละปัจเจกบุคคลเสมอ เช่นเดียวกันกับที่พระชนม์ชีพของพระองค์ทรงกำลังจัดเตรียมและสนับสนุนมวลมนุษย์อย่างสม่ำเสมอและอย่างไม่หยุดหย่อน แม้จะมีทั้งหมดนี้ พระอุปนิสัยของพระเจ้ายังคงซ่อนเร้นอยู่สำหรับบางคน เพราะเหตุใดหรือ? เพราะถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้จะดำรงชีวิตอยู่ภายในพระราชกิจของพระเจ้าและติดตามพระเจ้า พวกเขาก็ไม่เคยพยายามเข้าใจพระเจ้าและไม่เคยต้องการทำความรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรกับการเข้าใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น สำหรับผู้คนเหล่านี้ การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นลางบอกเหตุว่าบทอวสานของพวกเขาใกล้มาถึงแล้ว มันหมายความว่าพวกเขากำลังจะถูกพิพากษาและกล่าวโทษโดยพระอุปนิสัยของพระเจ้า เพราะฉะนั้น พวกเขาไม่เคยอยากที่จะเข้าใจพระเจ้าหรือพระอุปนิสัยของพระองค์ และไม่เคยละโมบต่อความเข้าใจหรือความรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาไม่พยายามจับใจความน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยผ่านทางความร่วมมืออย่างมีสติ—พวกเขาก็แค่ชื่นชมไปตลอดกาลและไม่มีวันเบื่อในการทำสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาต้องการทำ เชื่อในพระเจ้าที่พวกเขาต้องการเชื่อ เชื่อในพระเจ้าที่ทรงดำรงอยู่ในจินตนาการของพวกเขาเท่านั้น พระเจ้าที่ทรงดำรงอยู่ในมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเท่านั้น และเชื่อในพระเจ้าที่ไม่อาจแยกจากพวกเขาได้ในชีวิตประจำวันของพวกเขา เมื่อพูดถึงพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง พวกเขาก็ไม่สนใจไยดีอย่างสิ้นเชิง และไม่มีความอยากที่จะเข้าใจพระองค์ หรือให้ความเอาใจใส่ต่อพระองค์ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงความปรารถนาที่จะเข้าใกล้ชิดพระองค์ยิ่งขึ้น พวกเขาเพียงกำลังใช้พระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงออกเพื่อประดับตัวเอง เพื่อห่อหุ้มตัวเอง สำหรับพวกเขานั้น การนี้ทำให้พวกเขาเป็นผู้เชื่อที่ประสบความสำเร็จ และเป็นผู้คนที่มีความเชื่อในพระเจ้าอยู่ภายในหัวใจของพวกเขาแล้ว ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาถูกนำโดยจินตนาการของพวกเขา มโนคติที่หลงผิดของพวกเขา และแม้แต่คำนิยามส่วนตัวของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้า ในอีกแง่หนึ่ง พระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เองนั้นไม่ทรงมีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะหากพวกเขาได้เข้าใจพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง เข้าใจพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้า และเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น ก็ย่อมจะหมายความว่าการกระทำของพวกเขา ความเชื่อของพวกเขา และการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาจะถูกกล่าวโทษ นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาลังเลที่จะเข้าใจแก่นแท้ของพระเจ้า และลังเลและไม่เต็มใจที่จะแสวงหาหรืออธิษฐานอย่างแข็งขันเพื่อให้เข้าใจพระเจ้าดีขึ้น รู้จักน้ำพระทัยของพระเจ้าดีขึ้น และเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าดีขึ้น พวกเขาอยากจะให้พระเจ้าทรงเป็นบางสิ่งที่ถูกทำขึ้นมา บางสิ่งที่กลวงเป็นโพรงและคลุมเครือเสียมากกว่า พวกเขาอยากจะให้พระเจ้าทรงเป็นใครบางคนที่ตรงพอดีกับที่พวกเขาได้จินตนาการพระองค์ไว้ เป็นใครบางคนที่พวกเขาสามารถกวักมือเรียกใช้ได้ตลอดเวลา ที่ทรงมีเสบียงที่ไม่มีวันหมดและทรงพร้อมให้ใช้งานเสมอ เมื่อพวกเขาต้องการชื่นชมพระคุณของพระเจ้า พวกเขาก็ทูลขอให้พระเจ้าทรงเป็นพระคุณนั้น เมื่อพวกเขาต้องการพระพรของพระเจ้า พวกเขาก็ทูลขอให้พระเจ้าทรงเป็นพระพรนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยาก พวกเขาทูลขอให้พระเจ้าทรงทำให้พวกเขามีความกล้า ทรงเป็นโล่กำบังหลังของพวกเขา ความรู้เรื่องพระเจ้าของผู้คนเหล่านี้ติดอยู่ภายในวงล้อมแห่งพระคุณและพระพร ความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง ก็ถูกหวงห้ามให้อยู่เพียงแค่กับจินตนาการ และความหมายตามตัวอักษร และคำสอนทั้งหลายของพวกเขาเท่านั้น แต่มีผู้คนบางคนที่กระตือรือร้นที่จะเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า ต้องการเห็นพระเจ้าพระองค์เองอย่างแท้จริง และเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นอย่างแท้จริง ผู้คนเหล่านี้กำลังไล่ตามเสาะหาความเป็นจริงแห่งความจริงและความรอดโดยพระเจ้า และพยายามรับการพิชิตชัย ความรอด และการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า พวกเขาใช้หัวใจของพวกเขาเพื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า ใช้หัวใจของพวกเขาเพื่อซาบซึ้งกับทุกสถานการณ์และทุกบุคคล เหตุการณ์สำคัญ และสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการให้กับพวกเขา และพวกเขาอธิษฐานและแสวงหาด้วยความจริงใจ สิ่งที่พวกเขาต้องการรู้มากที่สุดคือน้ำพระทัยของพระเจ้า และต้องการเข้าใจมากที่สุดคือพระอุปนิสัยที่แท้จริงและแก่นแท้ของพระเจ้า เพื่อที่พวกเขาจะไม่ทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคืองอีกต่อไป และโดยผ่านทางประสบการณ์ของพวกเขา จะเห็นความน่ารักชื่นชมของพระเจ้าและด้านที่แท้จริงของพระองค์มากขึ้น นอกจากนี้ยังเพื่อที่พระเจ้าผู้ทรงเป็นจริงอย่างถ่องแท้จริงจะทรงดำรงอยู่ข้างในหัวใจของพวกเขา และเพื่อที่พระเจ้าจะทรงมีที่สถิตในหัวใจของพวกเขาด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาย่อมจะไม่ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางจินตนาการ มโนคติที่หลงผิด หรือความคลุมเครืออีกต่อไป สำหรับผู้คนเหล่านี้ เหตุผลที่พวกเขามีความอยากเร่งด่วนที่จะเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าและแก่นแท้ของพระองค์นั้นก็เป็นเพราะว่า มวลมนุษย์จำเป็นต้องมีพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าในทุกชั่วขณะในครรลองแห่งประสบการณ์ของพวกเขา เป็นพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์นั่นเองที่จัดหาให้กับชีวิตตลอดชั่วชีวิตของคนเรา ทันทีที่พวกเขาเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า พวกเขาก็จะสามารถเคารพพระเจ้าได้ดีขึ้น ร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้าได้ดีขึ้น และเห็นแก่น้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้น และทำหน้าที่ของพวกเขาให้ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ เช่นนี้คือท่าทีต่อพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ผู้คนสองชนิดยึดถือ ประเภทแรกไม่ต้องการเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า แม้พวกเขาจะพูดว่าพวกเขาต้องการเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า ทำความรู้จักพระเจ้าพระองค์เอง มองเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างถ่องแท้ แต่ลึกลงไปนั้น พวกเขาอยากให้พระเจ้าไม่ทรงดำรงอยู่เสียจะดีกว่า เป็นเพราะผู้คนชนิดนี้ไม่เชื่อฟังและต้านทานพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง พวกเขาต่อสู้กับพระเจ้าเพื่อตำแหน่งในหัวใจของพวกเขาเอง และบ่อยครั้งที่กังขาหรือถึงขั้นปฏิเสธการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า พวกเขาไม่ต้องการปล่อยให้พระอุปนิสัยของพระเจ้า หรือพระเจ้าผู้ทรงเป็นจริงพระองค์เองยึดครองหัวใจของพวกเขา พวกเขาเพียงต้องการสนองความอยาก จินตนาการ และความทะเยอทะยานของพวกเขาเองเท่านั้น ดังนั้นผู้คนเหล่านี้อาจเชื่อในพระเจ้า ติดตามพระเจ้า และอาจยอมล้มเลิกครอบครัวและงานของพวกเขาเพื่อพระองค์อีกด้วย แต่พวกเขาไม่ระงับจากหนทางชั่วของพวกเขา บางคนถึงกับขโมยหรือผลาญพวกของถวาย หรือแอบสาปแช่งพระเจ้าอยู่ลับๆ ในขณะที่คนอื่นอาจใช้ตำแหน่งของพวกเขาให้คำพยานซ้ำๆ เกี่ยวกับตัวเอง คุยโวโอ้อวดตัวเองเกินจริง และแข่งขันกับพระเจ้าเพื่อผู้คนและสถานภาพ พวกเขาใช้วิธีการและมาตรการสารพัดเพื่อทำให้ผู้คนเคารพบูชาพวกเขา พยายามชนะใจผู้คนและควบคุมพวกเขาอยู่เป็นนิตย์ บางคนถึงกับเจตนาทำให้ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขาเป็นพระเจ้าเพื่อที่พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นพระเจ้า พวกเขาคงจะไม่มีวันบอกใครสักคนว่าพวกเขาได้ถูกทำให้เสื่อมทรามแล้ว—บอกว่าพวกเขาก็เสื่อมทรามและโอหังเช่นกัน อย่าเคารพบูชาพวกเขาเลย และบอกว่าไม่สำคัญว่าพวกเขาทำดีเพียงใดก็ล้วนเป็นเพราะการยกย่องของพระเจ้าทั้งนั้น และบอกว่า ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็กำลังทำสิ่งที่พวกเขาควรจะทำอยู่แล้ว เหตุใดพวกเขาจึงไม่พูดสิ่งเหล่านี้เล่า? เพราะพวกเขากลัวอย่างลึกล้ำที่จะสูญเสียที่ทางของพวกเขาในหัวใจของผู้คน นี่คือสาเหตุที่ผู้คนเช่นนี้ไม่มีวันยกย่องพระเจ้า และไม่มีวันเป็นพยานต่อพระเจ้า เพราะพวกเขาไม่เคยได้พยายามเข้าใจพระเจ้า พวกเขาสามารถรู้จักพระเจ้าโดยไม่เข้าใจพระองค์ได้หรือ? เป็นไปไม่ได้! ดังนั้น ในขณะที่พระวจนะในหัวข้อ “พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง” อาจเรียบง่าย แต่พระวจนะเหล่านั้นมีความหมายแตกต่างกันสำหรับแต่ละบุคคล สำหรับใครบางคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ต้านทานพระเจ้า และไม่เป็นมิตรต่อพระเจ้าบ่อยๆ พระวจนะเหล่านั้นเป็นลางบอกเหตุถึงการกล่าวโทษ ในขณะที่บางคนที่ไล่ตามเสาะหาความเป็นจริงแห่งความจริง และมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยครั้ง เพื่อแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า จะชอบพระวจนะเช่นนี้เหมือนปลารักน้ำ ดังนั้นจึงมีพวกที่อยู่ท่ามกลางพวกเจ้าที่เริ่มปวดหัว หัวใจของพวกเขาเกิดเต็มไปด้วยการต้านทาน และพวกเขากลายเป็นอึดอัดอย่างสุดขีด เมื่อพวกเขาได้ยินการพูดถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้า แต่ก็มีคนอื่นๆ ท่ามกลางพวกเจ้าที่คิดว่า หัวข้อนี้เป็นสิ่งที่ฉันต้องการจริงๆ เพราะหัวข้อนี้มีประโยชน์กับฉันเหลือเกิน เป็นบางสิ่งที่ไม่สามารถขาดหายไปได้จากประสบการณ์ชีวิตของฉัน เป็นประเด็นสำคัญของประเด็นสำคัญ เป็นรากฐานแห่งความเชื่อในพระเจ้า และเป็นบางสิ่งที่มวลมนุษย์ไม่สามารถทอดทิ้งได้ สำหรับพวกเจ้าทั้งหมด หัวข้อนี้อาจดูเหมือนทั้งใกล้และไกล ไม่รู้จักแต่ทว่าคุ้นเคย แต่ไม่สำคัญว่าจะเป็นอะไร นี่คือหัวข้อที่ทุกคนต้องฟัง ต้องรู้ และต้องเข้าใจ ไม่สำคัญว่าเจ้าจะจัดการกับหัวข้อนี้อย่างไร ไม่สำคัญว่าเจ้าจะมองหัวข้อนี้อย่างไร หรือเจ้าจะเข้าใจหัวข้อนี้อย่างไร แต่ความสำคัญของหัวข้อนี้ก็ไม่อาจเพิกเฉยได้เลย
พระเจ้าได้ทรงทำพระราชกิจของพระองค์นับตั้งแต่พระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ ในตอนเริ่มต้น มันเป็นพระราชกิจที่เรียบง่ายมาก แต่ถึงแม้ว่ามันจะมีความเรียบง่าย แต่ก็ได้บรรจุการแสดงออกทั้งหลายเกี่ยวกับแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้าเอาไว้ ในขณะที่พระราชกิจของพระเจ้าได้รับการยกระดับขึ้นแล้วตอนนี้ และพระราชกิจนี้กับบุคคลทุกคนที่ติดตามพระองค์ได้กลายเป็นยิ่งใหญ่อลังการและเป็นรูปธรรมด้วยการแสดงออกอันยิ่งใหญ่แห่งพระวจนะของพระองค์ สภาวะบุคคลทั้งหมดทั้งสิ้นของพระเจ้าได้ถูกซ่อนเร้นไว้จากมวลมนุษย์ แม้ว่าพระองค์ได้ทรงจุติเป็นมนุษย์สองครั้ง นับจากกาลเวลาแห่งเรื่องราวทั้งหลายในพระคัมภีร์จนถึงวันเวลาปัจจุบัน แต่มีใครบ้างที่ได้เคยเห็นสภาวะบุคคลจริงของพระเจ้า? บนพื้นฐานความเข้าใจของพวกเจ้า มีผู้ใดบ้างได้เคยเห็นสภาวะบุคคลจริงของพระเจ้า? ไม่ ไม่มีใครเคยได้เห็นสภาวะบุคคลจริงของพระเจ้า ซึ่งหมายความว่าไม่มีใครเคยได้เห็นพระองค์ที่แท้จริงของพระเจ้า นี่คือบางสิ่งที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน กล่าวคือสภาวะบุคคลจริงของพระเจ้า หรือพระวิญญาณของพระเจ้าได้รับการปกปิดจากมนุษยชาติทั้งปวง รวมถึงอาดัมและเอวาผู้ที่พระองค์ได้ทรงสร้าง และรวมถึงโยบผู้ชอบธรรมผู้ที่พระองค์ได้ทรงยอมรับ พวกเขาไม่มีสักคนได้เห็นสภาวะบุคคลจริงของพระเจ้า ว่าแต่เหตุใดหรือพระเจ้าจึงทรงจงใจเจตนาสวมหน้ากากปิดบังสภาวะบุคคลจริงของพระองค์? ผู้คนบางคนพูดว่า “พระเจ้าทรงกลัวที่จะทำให้ผู้คนตกใจกลัว” คนอื่นๆ พูดว่า “พระเจ้าทรงซ่อนสภาวะบุคคลจริงของพระองค์ เพราะมนุษย์นั้นเล็กเกินไป และพระเจ้ายิ่งใหญ่เกินไป มนุษย์ไม่อาจเห็นพระองค์ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะตาย” และยังมีพวกที่พูดว่า “พระเจ้ากำลังทรงยุ่งอยู่กับการบริหารจัดการพระราชกิจของพระองค์ทุกวัน และพระองค์อาจจะไม่ทรงมีเวลาปรากฏพระองค์เพื่อที่ผู้อื่นอาจมองเห็นพระองค์” ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าเชื่ออะไร เรามีบทสรุปปิดตัวอยู่ตรงนี้ บทสรุปปิดตัวนั้นคืออะไร? บทสรุปปิดตัวนั้นคือพระเจ้าเพียงไม่ทรงต้องการให้ผู้คนเห็นสภาวะบุคคลจริงของพระองค์ การที่ยังคงซ่อนตัวจากมนุษยชาติเป็นบางสิ่งที่พระเจ้าทรงทำโดยตั้งใจ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเป็นพระเจตนาของพระเจ้าที่ทรงไม่ให้ผู้คนเห็นสภาวะบุคคลจริงของพระองค์ ถึงตอนนี้ นี่ก็ควรชัดเจนแล้วสำหรับทุกคน หากพระเจ้าไม่เคยได้ทรงเปิดเผยสภาวะบุคคลจริงของพระองค์แก่ผู้ใด เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าคิดหรือว่าสภาวะบุคคลของพระเจ้าทรงมีอยู่จริง? (พระองค์ทรงมีอยู่จริง) แน่นอนพระองค์ทรงมีอยู่จริง การทรงดำรงอยู่ของสภาวะบุคคลของพระเจ้าอยู่เหนือความกังขาทั้งมวล แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับว่าสภาวะบุคคลของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่เพียงใดหรือพระองค์ทรงดูเหมือนอะไร มวลมนุษย์ควรเจาะลึกคำถามเหล่านี้หรือไม่? ไม่ควร คำตอบเป็นลบ หากสภาวะบุคคลของพระเจ้าไม่ใช่หัวข้อที่พวกเราควรท่องสำรวจ เช่นนั้นแล้วหัวข้อใดเล่าที่ใช่? (พระอุปนิสัยของพระเจ้า) (พระราชกิจของพระเจ้า) อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เราจะเริ่มต้นสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหัวข้อที่เป็นทางการ พวกเรามาย้อนกลับไปยังสิ่งที่เรากำลังเสวนากันเมื่อครู่ก่อน นั่นคือ เหตุใดหรือพระเจ้าจึงไม่เคยทรงเปิดเผยสภาวะบุคคลของพระองค์ต่อมวลมนุษย์เลย? เหตุใดพระเจ้าจึงทรงเจตนาซ่อนสภาวะบุคคลของพระองค์จากมวลมนุษย์? มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น นั่นคือ แม้ว่ามนุษย์ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น ได้มีประสบการณ์กับหลายพันปีแห่งพระราชกิจของพระองค์ แต่ก็ไม่มีบุคคลใดสักคนที่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และแก่นแท้ของพระเจ้า ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น ผู้คนเช่นนี้อยู่ตรงข้ามกับพระองค์ และพระเจ้าจะไม่ทรงแสดงพระองค์เองต่อผู้คนที่ไม่เป็นมิตรต่อพระองค์ นี่คือเหตุผลเดียวที่พระเจ้าไม่เคยได้ทรงเปิดเผยสภาวะบุคคลของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ และเหตุผลที่พระองค์ทรงจงใจกำบังสภาวะบุคคลของพระองค์เอาไว้จากมวลมนุษย์ บัดนี้ ความสำคัญของการรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชัดเจนสำหรับพวกเจ้าแล้วหรือไม่?
นับตั้งแต่การบริหารจัดการของพระเจ้าดำรงอยู่มา พระองค์ได้ทรงทุ่มเทอุทิศอย่างเต็มที่ในการดำเนินการพระราชกิจของพระองค์เสมอ แม้จะทรงปิดคลุมสภาวะบุคคลของพระองค์จากมนุษย์ แต่พระองค์ก็ได้ทรงอยู่เคียงข้างมนุษย์เสมอ ทรงทำพระราชกิจกับมนุษย์ ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ ทรงนำมนุษยชาติทั้งมวลด้วยแก่นแท้ของพระองค์ และทรงทำพระราชกิจของพระองค์กับผู้คนทุกๆ คนโดยผ่านทางพระอิทธิฤทธิ์ของพระองค์ พระปรีชาญาณของพระองค์ และสิทธิอำนาจของพระองค์ จึงนำมาสู่การเป็นยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคแห่งราชอาณาจักรของวันนี้ แม้ว่าพระเจ้าทรงปกปิดสภาวะบุคคลของพระองค์จากมนุษย์ แต่พระอุปนิสัยของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและสิ่งทรงครองทั้งหลายของพระองค์ และน้ำพระทัยของพระองค์ต่อมวลมนุษย์นั้นถูกเปิดเผยต่อมนุษย์อย่างไม่มีการสงวนเพื่อให้มนุษย์ได้เห็นและได้รับประสบการณ์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แม้ว่ามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นหรือแตะต้องพระเจ้าได้ พระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าที่มนุษยชาติได้เผชิญก็คือการแสดงออกอย่างสมบูรณ์ของพระเจ้าพระองค์เอง นั่นไม่ใช่ความจริงหรอกหรือ? โดยไม่คำนึงถึงหนทางหรือมุมของวิธีเข้าหาที่พระเจ้าทรงเลือกสำหรับพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนโดยผ่านทางพระอัตลักษณ์ที่แท้จริงของพระองค์ ทรงทำพระราชกิจซึ่งเป็นหน้าที่ของพระองค์ และตรัสพระวจนะที่พระองค์ต้องตรัสอย่างแน่นอนเสมอ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสจากตำแหน่งใด—พระองค์อาจทรงกำลังประทับยืนอยู่ในสวรรค์ชั้นที่สาม หรือกำลังประทับยืนอยู่ในเนื้อหนัง หรือแม้แต่ในฐานะบุคคลธรรมดา—พระองค์ตรัสกับมนุษย์อย่างสุดหัวใจของพระองค์และสุดจิตใจของพระองค์เสมอ โดยปราศจากการหลอกลวงหรือการปกปิดอันใด เมื่อพระองค์ทรงดำเนินการพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าทรงแสดงออกถึงพระวจนะของพระองค์และพระอุปนิสัยของพระองค์ และทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น โดยปราศจากการหวงแหนอันใด พระองค์ทรงนำทางมวลมนุษย์ด้วยพระชนม์ชีพของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและสิ่งทรงครองของพระองค์ นี่คือวิธีที่มนุษย์ได้ใช้ชีวิตโดยผ่านทางยุคธรรมบัญญัติ—ยุคกำเนิดของมนุษยชาติ—ภายใต้การทรงนำทางของพระเจ้า “ที่ไม่สามารถมองเห็นและไม่สามารถแตะต้องได้”
พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ครั้งแรกหลังยุคธรรมบัญญัติ—เป็นการจุติเป็นมนุษย์ที่ยาวนานถึงสามสิบสามปีครึ่ง สำหรับมนุษย์ สามสิบสามปีครึ่งเป็นเวลานานหรือไม่? (ไม่นาน) ในเมื่ออายุขัยของมนุษย์โดยปกติแล้วยาวนานกว่าสามสิบปีกว่าโดยประมาณมาก นี่จึงไม่ใช่เวลานานมากสำหรับมนุษย์ แต่สำหรับพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ เวลาสามสิบสามปีครึ่งนี้ยาวนานจริงๆ พระองค์ได้ทรงกลายเป็นบุคคลผู้หนึ่ง—บุคคลธรรมดาที่ต้องรับผิดชอบต่อพระราชกิจและพระบัญชาของพระเจ้า นี่หมายความว่าพระองค์ได้ทรงต้องยอมรับพระราชกิจที่คนธรรมดาไม่สามารถรับมือได้ ในขณะเดียวกันก็ทรงต้องทนฝ่าความทุกข์ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถทนทานได้อีกด้วย ปริมาณความทุกข์ที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทนฝ่าในระหว่างยุคพระคุณ จากการเริ่มต้นของพระราชกิจของพระองค์จนถึงเวลาที่พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน อาจไม่ใช่บางสิ่งที่ผู้คนในวันนี้จะสามารถรู้เห็นด้วยตัวเองได้ แต่อย่างน้อย พวกเจ้าไม่สามารถมีแนวคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เลยโดยผ่านทางเรื่องราวทั้งหลายในพระคัมภีร์หรอกหรือ? โดยไม่คำนึงถึงว่ามีรายละเอียดมากเพียงใดในข้อเท็จจริงที่บันทึกไว้เหล่านี้ รวมความแล้ว พระราชกิจของพระเจ้าในระหว่างช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยความยากลำบากและความทุกข์ สำหรับมนุษย์ที่เสื่อมทราม สามสิบสามปีครึ่งไม่ใช่เวลานาน ความทุกข์เล็กน้อยก็เป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ไร้ความด่างพร้อย ผู้ซึ่งทรงต้องแบกรับบาปทั้งหมดของมวลมนุษย์ และกิน นอน และมีชีวิตอยู่กับคนบาปทั้งหลาย ความเจ็บปวดนี้หนักหนาสาหัสอย่างไม่น่าเชื่อ พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง ผู้ทรงมีอำนาจสูงสุดของทุกสรรพสิ่ง และผู้ปกครองแห่งทุกสิ่งทุกอย่าง กระนั้นเมื่อพระองค์ได้เสด็จมาในโลก พระองค์ทรงต้องทนฝ่าการบีบบังคับและความทารุณของมนุษย์ที่เสื่อมทราม เพื่อที่จะทำให้พระราชกิจของพระองค์ครบบริบูรณ์ และช่วยกู้มนุษยชาติจากทะเลแห่งความระทมทุกข์ พระองค์ทรงต้องถูกมนุษย์กล่าวโทษ และแบกรับความบาปของมวลมนุษย์ทั้งปวง ขอบเขตแห่งความทุกข์ที่พระองค์ได้ทรงก้าวผ่านไม่สามารถหยั่งลึกและซาบซึ้งโดยผู้คนธรรมดาได้ ความทุกข์นี้เป็นตัวแทนของอะไร? มันเป็นตัวแทนของการที่พระเจ้าทรงอุทิศต่อมวลมนุษย์ มันหมายถึงการเหยียดหยามที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์และราคาที่พระองค์ได้ทรงจ่ายไปเพื่อความรอดของมนุษย์ เพื่อไถ่บาปของพวกเขา และเพื่อทำให้พระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระองค์ครบบริบูรณ์ มันยังหมายความอีกด้วยว่ามนุษย์จะได้รับการไถ่บาปจากกางเขนโดยพระเจ้า นี่คือราคาที่จ่ายไปด้วยโลหิต ด้วยชีวิต และเป็นราคาที่ไม่มีสิ่งทรงสร้างอันใดสามารถจ่ายไหว เป็นเพราะพระองค์ทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้า และทรงครองสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น พระองค์จึงทรงสามารถแบกรับความทุกข์แบบนี้และทรงทำพระราชกิจแบบนี้ได้ นี่คือบางสิ่งที่ไม่มีสิ่งที่ทรงสร้างโดยพระองค์สิ่งอันใดสามารถทำแทนพระองค์ได้ นี่คือพระราชกิจของพระเจ้าในระหว่างยุคพระคุณ และวิวรณ์แห่งพระอุปนิสัยของพระองค์ เรื่องนี้เปิดเผยสิ่งใดเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นหรือไม่? มันคุ้มค่าหรือไม่ที่มวลมนุษย์จะทำความรู้จัก?
ในยุคนั้น แม้ว่ามนุษย์ไม่ได้เห็นสภาวะบุคคลของพระเจ้า พวกเขาก็ได้รับเครื่องบูชาลบล้างบาปของพระเจ้า และได้รับการไถ่จากกางเขนโดยพระเจ้า มวลมนุษย์อาจไม่คุ้นเคยกับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในระหว่างยุคพระคุณ แต่มีผู้ใดบ้างที่คุ้นเคยกับพระอุปนิสัยและน้ำพระทัยที่พระเจ้าทรงแสดงออกในระหว่างช่วงเวลานี้? มนุษย์เพียงรู้เกี่ยวกับรายละเอียดของพระราชกิจของพระเจ้าในระหว่างยุคทั้งหลาย และโดยผ่านทางช่องทางทั้งหลาย หรือรู้เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าที่ได้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ทรงกำลังดำเนินการพระราชกิจของพระองค์ รายละเอียดและเรื่องราวเหล่านี้อย่างมากก็เป็นเพียงข่าวสารหรือตำนานเกี่ยวกับพระเจ้า และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้า ดังนั้น ไม่สำคัญว่าผู้คนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้ากี่เรื่อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเข้าใจและความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า หรือแก่นแท้ของพระองค์ เฉกเช่นในยุคธรรมบัญญัติ แม้ว่าผู้คนในยุคพระคุณได้มีประสบการณ์กับการเผชิญกับพระเจ้าในเนื้อหนังอย่างทันทีทันใดและใกล้ชิด แต่ความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่มีอยู่จริงโดยแท้
ในยุคแห่งราชอาณาจักร พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ด้วยวิธีเดียวกันกับที่พระองค์ได้ทรงทำในครั้งแรก ในระหว่างช่วงเวลานี้ของพระราชกิจ พระเจ้ายังคงทรงแสดงออกถึงพระวจนะของพระองค์อย่างไม่หวงแหน ทรงทำพระราชกิจที่พระองค์ทรงรับผิดชอบ และแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงทนฝ่าและยอมผ่อนปรนต่อการไม่เชื่อฟังและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์ต่อไป พระเจ้าไม่ทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ และแสดงออกถึงน้ำพระทัยของพระองค์ในระหว่างช่วงเวลาแห่งพระราชกิจนี้อย่างต่อเนื่องเช่นกันหรอกหรือ? เพราะฉะนั้น ตั้งแต่การทรงสร้างมนุษย์จนถึงบัดนี้ พระอุปนิสัยของพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และสิ่งทรงครองทั้งหลายของพระองค์ และน้ำพระทัยของพระองค์ จะได้เปิดกว้างต่อบุคคลทุกคนเสมอมา พระเจ้าไม่เคยได้ทรงจงใจซ่อนแก่นแท้ของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์ หรือน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นเพียงว่ามวลมนุษย์ไม่ใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงกำลังทำ สิ่งที่น้ำพระทัยของพระองค์ทรงเป็น—นั่นคือสาเหตุที่มนุษย์มีความเข้าใจที่น่าสมเพชเกี่ยวกับพระเจ้า กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในขณะที่พระเจ้าทรงปกปิดสภาวะบุคคลของพระองค์ พระองค์ก็กำลังประทับยืนเคียงข้างมนุษย์ทุกชั่วขณะ ทรงกำลังแสดงน้ำพระทัย พระอุปนิสัย และแก่นแท้ของพระองค์ออกมาอย่างเปิดเผยตลอดเวลา ในแง่มุมหนึ่ง สภาวะบุคคลของพระเจ้าก็เปิดกว้างแก่ผู้คนด้วยเช่นกัน แต่เพราะความมืดบอดและการไม่เชื่อฟังของมนุษย์ พวกเขาจึงไม่มีวันสามารถมองเห็นการทรงปรากฏของพระเจ้าได้ ดังนั้นหากเป็นเช่นนั้นจริง การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระเจ้าพระองค์เองไม่ควรเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคนหรอกหรือ? นั่นเป็นคำถามที่ตอบยากมากมิใช่หรือ? เจ้าสามารถพูดได้ว่ามันง่าย แต่ในขณะที่ผู้คนบางคนพยายามรู้จักพระเจ้า พวกเขาก็ไม่สามารถทำความรู้จักพระองค์ หรือทำความเข้าใจพระองค์ได้อย่างชัดเจนจริงๆ—มันพร่ามัวและคลุมเครือเสมอ แต่หากเจ้าพูดว่ามันไม่ง่าย นั่นก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน หลังจากได้เป็นประชากรแห่งพระราชกิจของพระเจ้ามานานเหลือเกิน ทุกคนควรได้มีการติดต่อที่แท้จริงกับพระเจ้า โดยผ่านทางประสบการณ์ของพวกเขา อย่างน้อยพวกเขาควรได้มีสำนึกรับรู้ถึงพระเจ้าในบางระดับในหัวใจของพวกเขา หรือได้มีการสัมผัสทางจิตวิญญาณกับพระเจ้า และอย่างน้อยพวกเขาควรมีความตระหนักรู้เชิงลึกเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า หรือได้รับความเข้าใจบ้างเกี่ยวกับพระองค์ ตั้งแต่เวลาที่มนุษย์เริ่มติดตามพระเจ้าจนถึงบัดนี้ มวลมนุษย์ได้รับมามากเกินไปแล้ว แต่ด้วยเหตุผลมากมายทุกชนิด—ขีดความสามารถที่ต่ำ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความเป็นกบฏ และเจตนาทั้งหลายของมนุษย์—มวลมนุษย์ก็ได้สูญเสียไปมากเกินไปเช่นกัน พระเจ้าไม่ได้ทรงให้มวลมนุษย์อย่างเพียงพอแล้วหรอกหรือ? แม้ว่าพระเจ้าจะทรงซ่อนสภาวะบุคคลของพระองค์จากมนุษยชาติ แต่พระองค์ก็ทรงหล่อเลี้ยงมนุษย์ด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และพระชนม์ชีพของพระองค์ ความรู้เรื่องพระเจ้าของมนุษยชาติไม่ควรจะเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้เท่านั้น นั่นคือเหตุผลที่เราคิดว่าจำเป็นต้องมีสามัคคีธรรมเพิ่มเติมกับพวกเจ้าเกี่ยวกับหัวข้อ พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง จุดประสงค์คือเพื่อให้หลายพันปีแห่งการดูแลและการพิจารณาที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้มนุษย์นั้นไม่อวสานลงอย่างไร้ประโยชน์ และเพื่อให้มวลมนุษย์สามารถเข้าใจและซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขาอย่างแท้จริง มันเป็นเพื่อให้ผู้คนสามารถก้าวไปสู่ขั้นตอนใหม่ในความรู้เรื่องพระเจ้าของพวกเขา มันยังจะคืนพระเจ้ากลับสู่ที่ที่แท้จริงของพระองค์ในหัวใจของผู้คนอีกด้วย นั่นคือ ทำความยุติธรรมให้พระองค์
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ