การเข้าสู่ชีวิตเริ่มต้นที่การปฏิบัติหน้าที่ (ตอนที่หนึ่ง)

หลังจากทำหน้าที่ของตน มีคนมากมายที่รู้สึกว่าตนบกพร่อง และรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริง พวกเขาจึงต้องให้ตนเองฟังคำเทศนาให้มากขึ้นอยู่เสมอ และเรียกร้องให้บรรดาผู้นำและคนทำงานจัดการชุมนุมมากขึ้น ราวกับว่ามีเพียงการทำเช่นนั้นเท่านั้นที่จะสามารถมอบการเข้าสู่ชีวิตและการเติบโตในชีวิตให้แก่พวกเขาได้ หากพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมหรือการเทศนาสักระยะหนึ่ง พวกเขาก็จะรู้สึกราวกับว่าหัวใจของตนว่างเปล่าและอ้างว้าง เหมือนพวกเขาไม่มีอะไรเลย ในหัวใจของพวกเขาเหมือนมีเพียงการชุมนุมและการเทศนาเป็นประจำทุกวันเท่านั้นที่จะมอบการเข้าสู่ชีวิตให้แก่พวกเขา หรือเปิดโอกาสให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ทางวิญญาณได้ แต่ในความเป็นจริง ความคิดแบบนี้ไม่ถูกต้องอย่างสิ้นเชิง ผู้ที่ติดตามและเชื่อในพระเจ้าต้องทำหน้าที่ของตน—เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถได้รับประสบการณ์ชีวิต หากเจ้าพูดว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้าด้วยความจริงใจ แต่เจ้าไม่ต้องการทำหน้าที่ของตนเอง เช่นนั้นแล้วความจริงใจในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ใด? ผู้ที่ทำหน้าที่ของตนด้วยความจริงใจก็คือผู้ที่มีความเชื่อ ผู้ที่มีความเชื่อเท่านั้นที่กล้าอุทิศชีวิตของตนให้พระเจ้า และเต็มใจที่จะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสละให้พระเจ้า ผู้คนเช่นนี้ย่อมมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปพร้อมกับการทำหน้าที่ของตน พวกเขาได้รับความรู้แจ้ง ได้รับการทรงนำ และได้รับการบ่มวินัยจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดประสบการณ์ชีวิต ดังนั้น การเข้าสู่ชีวิตจึงเริ่มด้วยการทำหน้าที่ของตนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ

หากผู้คนเฉื่อยชาในการทำหน้าที่ของตน หรือเลอะเลือนอยู่เสมอ เจ้าคิดว่านี่เป็นท่าทีแบบใด? นี่เป็นการทำแบบขอไปทีไม่ใช่หรือ? นี่คือท่าทีที่พวกเจ้ามีต่อหน้าที่ของตนเองกระนั้นหรือ? นี่เป็นปัญหาด้านขีดความสามารถหรืออุปนิสัย? พวกเจ้าทุกคนควรชัดเจนในเรื่องนี้ เหตุใดเวลาทำหน้าที่ของตน ผู้คนจึงเอาแต่ทำอย่างสุกเอาเผากิน? เหตุใดพวกเขาจึงไม่จงรักภักดีเวลาพวกเขาทำสิ่งต่างๆ เพื่อพระเจ้า? พวกเขามีเหตุผลหรือมโนธรรมบ้างหรือไม่? หากเจ้ามีมโนธรรมและเหตุผลอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้าทำสิ่งต่างๆ เจ้าย่อมจะใส่หัวใจของเจ้าลงไปในสิ่งเหล่านั้นมากขึ้นอีกเล็กน้อย รวมทั้งใส่ความใจดีมีเมตตา ความรับผิดชอบ และความเห็นอกเห็นใจมากขึ้นอีกเล็กน้อย และเจ้าจะสามารถทุ่มเทความพยายามได้มากขึ้น เมื่อเจ้าสามารถทุ่มเทความพยายามได้มากขึ้น ผลลัพธ์ของหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติก็จะดีขึ้น ผลลัพธ์ของเจ้าจะดีขึ้น และนี่ก็จะทำให้คนอื่นพอใจ ทั้งยังทำให้พระเจ้าพอพระทัย เจ้าต้องใส่ใจในการทำหน้าที่! เจ้าไม่อาจใจลอยราวกับว่าเจ้ากำลังทำงานในสังคมโลกและเพียงทำเงินตามเวลาที่เจ้าใช้ทำงาน หากเจ้ามีทัศนคติแบบนั้น เจ้าก็มีปัญหาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะทำหน้าที่ของตนเองได้ดี นี่คือสภาวะความเป็นมนุษย์แบบใดกัน? ผู้คนที่ไม่มีมโนธรรมมีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่? พวกเขาไม่มี หากเจ้าพูดว่าเจ้ามีสภาวะความเป็นมนุษย์ ต้องการนำความจริงไปปฏิบัติ และต้องการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรมีความอุตสาหะในหน้าที่ของเจ้าให้มากขึ้น และทุ่มเทหัวใจของเจ้าให้กับหน้าที่มากขึ้น เจ้าพูดว่าเจ้ามีมโนธรรม แต่เจ้าไม่เคยใส่ใจทำหน้าที่ของตัวเองเลย มโนธรรมของเจ้ากำลังให้ผลหรือไม่? เจ้าต้องทุ่มเทหัวใจของเจ้าให้ถูกที่ พวกเจ้าควรคิดถึงสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ—พวกเจ้าต้องเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ การเอาแต่ทำอย่างขอไปทีเวลาปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเป็นเรื่องที่ห้ามขาด หากเจ้าทำอย่างขอไปทีอยู่เสมอระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีทางปฏิบัติหน้าที่ของตนตามมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับได้ หากเจ้าต้องการปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดี ก่อนอื่นเจ้าต้องแก้ปัญหาเรื่องการทำอย่างขอไปทีของเจ้าก่อน เจ้าควรลงมือแก้ไขสถานการณ์ให้ถูกต้องทันทีที่เจ้าสังเกตเห็น หากเจ้าเลอะเลือน ไม่เคยสามารถสังเกตเห็นปัญหา สักแต่ทำอย่างขอไปทีอยู่เสมอ และทำสิ่งต่างๆ อย่างสุกเอาเผากิน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีทางทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีได้ ดังนั้น เจ้าต้องทุ่มเทหัวใจให้กับหน้าที่อยู่เสมอ โอกาสเช่นนี้ยากมากกว่าผู้คนจะได้มา! เมื่อพระเจ้าทรงให้โอกาสพวกเขา ทว่าพวกเขากลับไม่คว้าโอกาสนั้นไว้ เช่นนั้นแล้ว โอกาสนั้นก็สูญไป—และต่อให้ในเวลาต่อมาพวกเขาปรารถนาที่จะพบเจอโอกาสเช่นนั้น นั่นก็อาจจะไม่เกิดขึ้นอีก พระราชกิจของพระเจ้าไม่รอใครเลย อีกทั้งโอกาสทั้งหลายในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ของคนเราก็ไม่รอใครเช่นกัน ผู้คนบางคนพูดว่า “ฉันไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดีก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ฉันยังคงอยากปฏิบัติหน้าที่นั้น ฉันจึงควรกลับไปทำให้สำเร็จเป็นพอ” การมีความตั้งใจแน่วแน่เช่นนี้เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม แต่เจ้าต้องชัดเจนว่าเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้อย่างไร และเจ้าต้องเพียรพยายามที่จะบรรลุความจริง มีเพียงผู้ที่เข้าใจความจริงเท่านั้นที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้ดี ผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมไม่มีคุณสมบัติที่จะทำงานออกแรงด้วยซ้ำ ยิ่งเจ้าเข้าใจความจริงชัดเจนมากเท่าไร เจ้าก็ยิ่งมีประสิทธิผลในหน้าที่ของตนมากเท่านั้น หากเจ้าสามารถมองเห็นเรื่องนี้ตามที่เป็นจริงได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเพียรพยายามเพื่อบรรลุความจริง และเจ้าย่อมมีความหวังที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี ในปัจจุบันโอกาสที่จะปฏิบัติหน้าที่มีไม่มาก ดังนั้นเจ้าต้องคว้าโอกาสเหล่านี้ไว้ในยามที่เจ้าทำได้ เวลาเผชิญหน้าที่ก็คือเวลาที่เจ้าต้องทุ่มเทตนเองโดยแท้ นั่นคือเวลาที่เจ้าต้องมอบถวายตนเอง สละตนเองเพื่อพระเจ้าและเป็นเวลาที่เจ้าพึงต้องยอมลำบาก จงอย่าสงวนสิ่งใดไว้ อย่าเก็บงำกลอุบายใดๆ อย่าเหลือทางหนีทีไล่หรือหาทางออกให้ตนเอง หากเจ้าหาทางหนีทีไล่ เอาแต่คอยคำนวณ หรือหัวหมอและคิดคดทรยศ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่แคล้วที่จะทำได้แย่ สมมุติเจ้าพูดว่า “ไม่มีผู้ใดได้เห็นฉันปฏิบัติตนในลักษณะที่กะล่อน เยี่ยมจริงเลย!” นี่คือการคิดแบบไหนกัน? เจ้าคิดว่าเจ้าปิดหูปิดตาผู้คน และปิดพระเนตรพระกรรณพระเจ้าด้วยแล้วกระนั้นหรือ? แต่อันที่จริงแล้ว พระเจ้าทรงรู้สิ่งที่เจ้าได้ทำไปแล้วหรือไม่? พระองค์ทรงรู้ ในข้อเท็จจริงนั้น ผู้ใดก็ตามที่มีปฏิสัมพันธ์กับเจ้ามาระยะหนึ่งย่อมจะรู้ถึงความเสื่อมทรามและความต่ำช้าของเจ้า และแม้ว่าพวกเขาอาจไม่พูดออกมาตรงๆ แต่พวกเขาก็จะประเมินเจ้าในหัวใจของตนไว้แล้ว มีผู้คนมากมายที่ถูกเผยและถูกกำจัดออกไปเพราะมีผู้อื่นเป็นจำนวนมากมายเหลือเกินเข้าใจพวกเขา เมื่อทุกคนมองทะลุแก่นแท้ของพวกเขา ทุกคนก็เปิดโปงตัวตนของผู้คนเหล่านั้นว่าเป็นเช่นไรและไล่พวกเขาออกไป ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ ผู้คนก็ควรทำหน้าที่ของตนให้ดีอย่างสุดความสามารถของตน พวกเขาควรใช้มโนธรรมของตนทำสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง เจ้าอาจมีข้อบกพร่อง แต่หากเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างมีประสิทธิผล เจ้าก็จะไม่ถูกกำจัดออกไป หากเจ้าคิดอยู่เสมอว่าเจ้าดี เจ้าจะไม่ถูกกำจัดออกไปอย่างแน่นอน หากเจ้ายังคงไม่คิดทบทวนหรือพยายามรู้จักตนเอง และเจ้าเพิกเฉยต่อกิจที่ถูกต้องเหมาะสมของเจ้า หากเจ้าสุกเอาเผากินอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหมดความอดทนกับเจ้าแล้วจริงๆ พวกเขาก็จะเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงของเจ้า และเป็นไปได้มากว่าเจ้าจะถูกกำจัดออกไป นั่นเป็นเพราะทุกคนมองเห็นเจ้าอย่างทะลุปรุโปร่งและเจ้าสูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อตรงของตนไปแล้ว หากไม่มีผู้ใดเชื่อใจเจ้า พระเจ้าจะเชื่อพระทัยเจ้าได้หรือ? พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจส่วนลึกสุดของมนุษย์ว่า พระองค์เชื่อพระทัยบุคคลเช่นนี้ไม่ได้อย่างแน่นอนที่สุด หากใครคนหนึ่งเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจ จงอย่ามอบหมายงานให้พวกเขาไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สภาวะแวดล้อมใด หากเจ้าไม่รู้ว่าบุคคลคนหนึ่งเป็นเช่นไร หรือเพียงแค่ได้ยินคนอื่นพูดว่าบุคคลคนนี้ทำสิ่งที่พวกเขาทำได้ดี แต่ในหัวใจของเจ้า เจ้าไม่ได้แน่ใจเต็มร้อย เช่นนั้นแล้วทั้งหมดที่เจ้าทำได้ก็คือมอบหมายงานเล็กๆ ให้พวกเขาจัดการก่อน—งานที่ไม่สำคัญ หากพวกเขาทำงานเล็กๆ สองสามงานออกมาใช้ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถมอบงานปกติให้พวกเขาได้ และต่อเมื่อพวกเขาทำงานนั้นได้สำเร็จเท่านั้น เจ้าจึงจะให้พวกเขาไปจัดการงานสำคัญ หากพวกเขาทำงานปกติทั่วไปผิดพลาด เช่นนั้นแล้วบุคคลนี้ก็ไว้วางใจไม่ได้ ไม่ว่างานงานหนึ่งจะใหญ่หรือเล็กก็ไม่สามารถมอบหมายให้พวกเขาทำได้ หากเจ้าสังเกตเห็นบุคคลคนหนึ่งที่ใจดีและมีความรับผิดชอบ ไม่เคยทำงานแบบขอไปทีเท่านั้น ปฏิบัติต่องานต่างๆ ที่คนอื่นมอบหมายให้พวกเขาทำราวกับว่าเป็นงานของตนเอง พิจารณาทุกด้านของงาน คำนึงถึงความต้องการของเจ้า พิจารณาทุกแง่ทุกมุม เป็นคนละเอียดถี่ถ้วนและจัดการสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีการที่ถูกต้องเท่านั้น ทำให้เจ้าพอใจกับงานของพวกเขาเป็นพิเศษ—เช่นนั้นแล้ว นี่ก็คือบุคคลประเภทที่เชื่อถือได้ ผู้คนที่ไว้วางใจได้คือผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ และผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ย่อมมีมโนธรรมและเหตุผล และพวกเขาก็ควรจะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้ง่ายมากๆ เพราะพวกเขาถือว่าหน้าที่ของตนคือภาระผูกพันของตน ผู้คนที่ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลย่อมปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ไม่ดี และพวกเขาไม่มีสำนึกรับผิดชอบในหน้าที่ของตนไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ใด ผู้อื่นต้องเป็นกังวลถึงพวกเขา กำกับดูแลพวกเขาและเฝ้าถามถึงความก้าวหน้าของพวกเขาอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นแล้วสิ่งทั้งหลายอาจยุ่งเหยิงได้ในขณะที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ และสิ่งทั้งหลายอาจผิดพลาดขณะปฏิบัติกิจหนึ่งๆ ได้ ซึ่งย่อมมีปัญหามากจนไม่คุ้มค่า กล่าวสั้นๆ คือผู้คนจำเป็นต้องตรวจสอบตนเองอยู่เสมอเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตนว่า “ฉันลุล่วงหน้าที่นี้ดีพอแล้วหรือยัง? ฉันใส่หัวใจของฉันลงไปในหน้าที่แล้วหรือ? หรือฉันสักแต่ทำแค่พอเอาหน้ารอด?” หากเจ้าสุกเอาเผากินอยู่เสมอ เจ้าก็ตกอยู่ในอันตราย อย่างน้อยที่สุด นี่หมายความว่าเจ้าไม่มีความน่าเชื่อถือ และผู้คนจะไม่สามารถเชื่อใจเจ้าได้ ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือหากเจ้าแค่ทำหน้าที่ของเจ้าอย่างขอไปที และหากเจ้าหลอกลวงพระเจ้าอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ตกอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวง! อะไรคือผลสืบเนื่องของการเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ? ทุกคนมองออกว่าเจ้าเจตนาฝ่าฝืน ว่าเจ้าใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองเท่านั้น เจ้าเอาแต่สุกเอาเผากินเท่านั้น และเจ้าไม่ปฏิบัติความจริงแต่อย่างใด—ซึ่งหมายความว่าเจ้าไร้ซึ่งสภาวะความเป็นมนุษย์! หากนี่สำแดงอยู่ในตัวเจ้าโดยตลอด หากเจ้าหลีกเลี่ยงความผิดพลาดครั้งใหญ่ แต่ทำความผิดพลาดเล็กน้อยอย่างไม่หยุดหย่อน และไม่กลับใจตั้งแต่ต้นจนจบ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือคนชั่ว เป็นผู้ไม่เชื่อ และควรถูกเอาออกไป ผลสืบเนื่องเช่นนี้เลวร้ายนัก—เจ้าจะถูกเผยจนหมดสิ้นและถูกกำจัดออกไปในฐานะผู้ไม่เชื่อและคนชั่ว

หน้าที่ใดก็ตามที่เจ้าปฏิบัติย่อมเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิต ไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าจะค่อนข้างเป็นเวลาหรือเอาแน่เอานอนไม่ได้ จืดชืดน่าเบื่อหรือมีชีวิตชีวา เจ้าย่อมต้องบรรลุการเข้าสู่ชีวิตเสมอ หน้าที่ทั้งหลายที่ผู้คนบางคนปฏิบัตินั้นค่อนข้างจำเจ พวกเขาทำสิ่งเดิมทุกวัน อย่างไรก็ตาม ตอนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นอยู่ สภาวะที่ผู้คนเหล่านี้เปิดเผยออกมานั้นไม่ได้เป็นลักษณะเดียวกันทั้งหมด บางคราว เมื่ออยู่ในอารมณ์ที่ดี ผู้คนขยันกว่าเล็กน้อยและทำงานได้ดีกว่า ส่วนในเวลาอื่นๆ เนื่องจากอิทธิพลบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ อุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขาก็ปลุกปั่นความประสงค์ร้ายภายในตัวพวกเขาขึ้นมา เป็นเหตุให้พวกเขามีทรรศนะที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมและอยู่ในสภาวะที่แย่และอารมณ์ที่ไม่ดี นี่ส่งผลลัพธ์ในตัวพวกเขาให้ปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขาไปในลักษณะขอไปที สภาวะภายในของผู้คนนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ สภาวะเหล่านั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่สำคัญว่าสภาวะของเจ้าเปลี่ยนแปลงอย่างไร การปฏิบัติตนไปบนพื้นฐานของอารมณ์ของเจ้านั้นย่อมผิดเสมอ อย่างเช่น เจ้าทำได้ดีกว่าเล็กน้อยในยามที่เจ้าอยู่ในอารมณ์ที่ดี และแย่ลงเล็กน้อยเมื่อเจ้าอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดี—นี่เป็นหนทางที่มีหลักธรรมในการทำสิ่งทั้งหลายหรือ? นี่จะเปิดโอกาสให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ถึงมาตรฐานอันดีกระนั้นหรือ? ไม่ว่าอารมณ์ของพวกเขาจะเป็นเช่นไร ผู้คนต้องรู้จักอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหาความจริง มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถหลีกเลี่ยงการถูกตีกรอบและแกว่งไกวไปมาด้วยอารมณ์ทั้งหลายของพวกเขา ตอนที่กำลังทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เจ้าควรตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอเพื่อที่จะมองเห็นว่าเจ้ากำลังทำสิ่งทั้งหลายไปตามหลักธรรมหรือเปล่า ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้นได้มาตรฐานหรือเปล่า ว่าเจ้าแค่กำลังทำมันไปในลักษณะพอเป็นพิธีหรือไม่ ว่าเจ้าได้พยายามที่จะบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของเจ้าหรือไม่ และว่ามีปัญหาอันใดกับท่าทีของเจ้าและหนทางการคิดของเจ้าหรือไม่ ครั้นเจ้าได้มีการคิดทบทวนตัวเองแล้ว และสิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นชัดเจนต่อเจ้า เวลาที่เจ้ากำลังทำหน้าที่ให้ลุล่วงก็ย่อมจะง่ายดายขึ้น ไม่สำคัญว่าเจ้าเผชิญสิ่งใดในขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า—ความคิดลบ และความอ่อนแอ หรือการอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีหลังถูกตัดแต่ง—เจ้าควรปฏิบัติต่อมันอย่างถูกต้องเหมาะสม และเจ้าต้องแสวงหาความจริงและเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าด้วยเช่นกัน โดยการทำสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็จะมีเส้นทางไปสู่การฝึกฝนปฏิบัติ หากเจ้าปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี เช่นนั้นแล้วอารมณ์ของเจ้าต้องไม่มีผลต่อเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังรู้สึกคิดลบและอ่อนแอเพียงใด เจ้าควรฝึกฝนปฏิบัติความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ ด้วยความเคร่งครัดอย่างสมบูรณ์ และเกาะติดอยู่กับหลักธรรมทั้งหลาย หากเจ้าทำการนี้แล้วไซร้ ผู้คนอื่นๆ ไม่เพียงแต่จะเห็นชอบต่อตัวเจ้าเท่านั้น แต่พระเจ้าก็จะโปรดเจ้าด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะเป็นบุคคลหนึ่งที่รับผิดชอบและที่แบกรับภาระ เจ้าจะเป็นบุคคลที่ดีอย่างถ่องแท้ผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ตามมาตรฐานจริงๆ และผู้ซึ่งใช้ชีวิตที่เป็นสภาพเสมือนของบุคคลจริงแท้คนหนึ่งอย่างครบถ้วน ผู้คนเช่นนั้นได้รับการทำให้บริสุทธิ์และสัมฤทธิ์การแปลงสภาพจริงเวลาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และสามารถกล่าวได้ว่า พวกเขานั้นซื่อสัตย์ในสายพระเนตรของพระเจ้า เฉพาะผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถพากเพียรบากบั่นกับการฝึกฝนปฏิบัติความจริงและประสบความสำเร็จในการปฏิบัติตนตามหลักธรรม และสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ตามมาตรฐาน ผู้คนที่กระทำการตามหลักธรรมย่อมปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างพิถีพิถันเมื่อพวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่ดี พวกเขาไม่ได้ทำงานในลักษณะขอไปที พวกเขาไม่ใช่ไม่รู้เท่าทัน และพวกเขาไม่อวดโอ้ตัวเองเพื่อทำให้ผู้อื่นนึกถึงตัวพวกเขาอย่างสูงส่ง เมื่อพวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดี พวกเขาก็สามารถทำกิจประจำวันของพวกเขาเสร็จสิ้นไปอย่างจริงจังตั้งใจและมีความรับผิดชอบไม่ต่างกัน และต่อให้พวกเขาเผชิญบางสิ่งบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา หรือที่ทำให้เกิดแรงกดดันต่อพวกเขาเล็กน้อย หรือก่อให้เกิดการรบกวนระหว่างที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาก็ยังคงมีความสามารถที่จะทำหัวใจให้สงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน โดยกล่าวว่า “ไม่สำคัญว่าปัญหาที่ข้าพระองค์เผชิญนั้นใหญ่แค่ไหน—ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา—ตราบเท่าที่ข้าพระองค์ยังมีชีวิตอยู่ ข้าพระองค์มุ่งมั่นที่จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าพระองค์ทำได้ในการลุล่วงหน้าที่ของข้าพระองค์ ทุกวันที่ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่คือหนึ่งวันที่ข้าพระองค์ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี เพื่อให้ข้าพระองค์มีค่าคู่ควรต่อหน้าที่นี้ที่พระเจ้าประทานให้กับข้าพระองค์ รวมถึงลมหายใจนี้ที่พระองค์ทรงใส่เข้ามาในร่างกายของข้าพระองค์ โดยไม่คำนึงว่าข้าพระองค์อาจจะอยู่ในความลำบากยากเย็นมากเพียงใด ข้าพระองค์จะพักวางทั้งหมดลงไว้ก่อน เพราะการทำหน้าที่ของข้าพระองค์ให้ลุล่วงนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญสูงสุด!” บรรดาผู้ที่ไม่รู้สึกกระทบกระเทือนโดยบุคคลใด เหตุการณ์ใด สิ่งใด หรือสภาพแวดล้อมใด ไม่ถูกอารมณ์หรือสถานการณ์ภายนอกบีบคั้น และผู้ที่วางหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขาและพระบัญชาทั้งหลายที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่พวกเขาเป็นอันดับแรกสุดก่อนสิ่งอื่นใด—พวกเขาคือผู้คนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าและผู้ที่นบนอบต่อพระองค์อย่างถ่องแท้ ผู้คนเช่นนี้ได้บรรลุการเข้าสู่ชีวิตและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว นี่คือหนึ่งในการแสดงออกที่จริงแท้และสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดของการใช้ชีวิตตามความจริง การใช้ชีวิตในหนทางนี้จะทำให้บุคคลหนึ่งสบายใจหรือไม่? เจ้าจำเป็นที่จะต้องกังวลว่าพระเจ้าจะทรงมองเจ้าเช่นไรหรือไม่? พวกเจ้าคิดว่าตนเองจำเป็นต้องทำตัวอย่างไรจึงจะรู้สึกสบายใจ? (ไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกจำกัดโดยบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งใด และให้ความสำคัญกับหน้าที่ของตนก่อน นี่เป็นทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงการทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังได้) ถูกต้อง นี่คือเคล็ดลับที่จะทำให้สบายใจ พวกเจ้าทุกคนทำตามเคล็ดลับนี้ได้หรือยัง? หากใครคนหนึ่งพูดกับเจ้าด้วยท่าทีที่ไม่ดี และเจตนาที่จะมองข้ามเจ้าหรือจงใจจับผิดเจ้า เจ้าจะรู้สึกเป็นทุกข์เหมือนว่าเจ้ามีมีดบิดอยู่ภายใน เจ้าจะเบื่ออาหาร และย่อมจะส่งผลไปถึงการนอนของเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เจ้าย่อมจะอารมณ์ไม่ดี และหัวใจของเจ้าก็จะบอบช้ำ ณ จุดนี้ เจ้าจะทำอย่างไร? เจ้าอาจจะพูดว่า “วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นฉันจะงดเว้นการทำหน้าที่ไปสักสองวันแล้วกัน” หรือ “ฉันจะยังทำหน้าที่อยู่ แต่ถ้าฉันทำแบบไม่จริงจังและทำให้พอให้ผ่านๆ ไปย่อมไม่เป็นไร ทุกคนมีช่วงเวลาที่สิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่ตนเองต้องการ ดังนั้นถ้าฉันอารมณ์ไม่ดี พระเจ้าย่อมจะไม่ทรงเรียกร้องจากฉันมากเกินไปใช่หรือไม่? วันนี้ฉันจะงดเว้นการทำหน้าที่สักนิดก็แล้วกัน ไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้ฉันจะทำงานให้ดีเลย พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์มานานหกพันปี ดังนั้นถ้าฉันทำช้าไปสักหนึ่งวัน พระองค์จะสนพระทัยจริงหรือ?” คนประเภทใดที่ยอมให้สิ่งเล็กๆ ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของพวกเขา และจากนั้นก็ยังต้องปล่อยให้อารมณ์ส่งผลกระทบต่อหน้าที่ของพวกเขา? นี่คือพื้นอารมณ์ที่ไม่รู้จักโตและไม่มีอนาคตไม่ใช่หรือ? เวลามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็จะฮึดฮัด ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง ไม่ทำหน้าที่ของตนเอง ไม่มีความแน่วแน่ และลืมคำสาบานของตน นี่เป็นปัญหาประเภทใด? เป็นปัญหาของการดื้อรั้นเอาแต่ใจไม่ใช่หรือ? อาจมีบางคนที่ปกติไม่ทำตัวเช่นนี้ แต่เมื่อพวกเขาอารมณ์ไม่ดี พวกเขาก็จะละทิ้งความรับผิดชอบของตนเอง สิ่งต่างๆ เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยเกินไปแล้ว มีบางคนที่เมื่อพวกเขาอารมณ์ไม่ดี ก็จะรับอิทธิพลจากภายนอกเข้ามาบ้าง พวกเขาจึงไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำหน้าที่ของตน และไม่สามารถกลับมาจดจ่อกับงานตรงหน้าได้ ควรจะทำอย่างไรเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น? ปัญหาเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขกระนั้นหรือ? บางคนพูดว่า “ปัญหาเหล่านี้แก้ไขไม่ได้หรอก ตอนนี้ฉันยังไม่อยากทำสิ่งนี้ ฉันจะปล่อยไปตามสถานการณ์ก็แล้วกัน ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็อารมณ์ไม่ดีและฉันไม่อยากให้ใครมาคุยด้วยทั้งนั้น ปล่อยให้ฉันเป็นทุกข์สักนิดหนึ่งเถอะ” แม้ว่าพวกเขาจะยังอยู่ทำหน้าที่ของตนเองที่นี่ แต่ก็อยู่เพียงร่างกายเท่านั้น ไม่ใช่จิตใจ ไม่รู้แน่ว่าหัวใจของพวกเขาลอยไปอยู่ที่ใด พวกเขาไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง พวกเขาไม่มานะพยายาม และพวกเขาอ่อนแอ อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาอารมณ์ดีขึ้น พวกเขาก็เริ่มกระตือรือร้นอีกครั้ง พวกเขาสามารถทนความทุกข์ยากและทุกข์ทนกับความเหนื่อยล้าได้อีกครั้ง และพวกเขาก็ไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหารการกิน ทั้งหมดนี้ไม่ผิดปกติไปหน่อยหรือ? เหตุใดความรู้สึกและสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างหลากหลายเช่นนั้นจึงมีอิทธิพลเหนือผู้คน? พวกเจ้าเคยค้นหาเหตุผลดูหรือไม่? สิ่งเหล่านี้ก่อปัญหาให้พวกเจ้าอยู่บ่อยๆ มิใช่หรือ? พวกเจ้าไม่ได้ติดอยู่ในสภาวะเหล่านี้บ่อยๆ หรอกหรือ? นี่ไม่ใช่ปัญหาที่พวกเจ้าล้วนเผชิญหรอกหรือ? (ใช่แล้ว) ถ้าปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไข เช่นนั้นแล้วผู้คนก็จะไม่มีวันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาจะเป็นเด็กอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น หากใครบางคนพูดบางอย่างโดยไม่คิดถึงความรู้สึกของเจ้า บางอย่างที่มีบางส่วนพูดถึงเจ้าโดยตรง หรือหากพวกเขาพูดถึงเจ้าโดยอ้อม เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง หากเจ้าพูดกับใครบางคนและพวกเขาไม่สนใจเจ้า หรือว่าสีหน้าของพวกเขาไม่เป็นมิตร เจ้าย่อมจะไม่สบายใจ หากมีสักวันที่หน้าที่ของเจ้าไม่เป็นไปตามที่เจ้าต้องการ เจ้าย่อมจะไม่สบายใจ หากเจ้าฝันร้ายที่ดูเหมือนจะเป็นลางไม่ดี เจ้าก็จะไม่สบายใจ หากเจ้าได้ยินข่าวร้ายเกี่ยวกับครอบครัวของเจ้า เจ้าก็จะไม่สบายใจ เจ้าจะอารมณ์ไม่ดี และเจ้าจะไม่สามารถทำจิตใจให้ร่าเริงได้ หากเจ้าเห็นใครคนอื่นทำหน้าที่ของพวกเขาได้ดี และพวกเขาได้รับการชื่นชมและได้เลื่อนขั้นเป็นผู้นำ นั่นก็จะทำให้เจ้าไม่สบายใจ และส่งผลต่ออารมณ์ของเจ้าเช่นกัน... สิ่งที่สามารถมีอิทธิพลต่อเจ้าได้ทั้งใหญ่และเล็กนี้ ล้วนสามารถทำให้เจ้าติดอยู่ในความคิดที่เป็นลบ ทำให้เจ้าหดหู่ใจ และมีอิทธิพลต่อความสามารถในการทำหน้าที่ของเจ้า ผู้คนที่ประพฤติตนเช่นนี้มีปัญหาอันใด? (อุปนิสัยของพวกเขาไม่มั่นคง) อุปนิสัยที่ไม่มั่นคงเป็นด้านหนึ่งของปัญหา สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาขาดวุฒิภาวะและเหมือนเด็ก และพวกเขาไม่มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึก ในส่วนของการเข้าสู่ชีวิต พวกเขาทนทุกข์เสมอกับข้อจำกัดที่เกิดจากผู้คน เหตุการณ์ และสรรพสิ่งทุกประเภท ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่พวกเขาจะปฏิบัติความจริง หากพวกเขาไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ และหากพวกเขาไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่มีการเข้าสู่ชีวิต ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? อะไรทำให้พวกเขาถูกผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ตีกรอบ? เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริง เพราะพวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรจริงและอะไรเท็จ และเพราะพวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครถูกและใครผิด นี่ส่งผลให้พวกเขาไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร ไม่มีพื้นที่ให้เดินหน้าหรือถอยหลัง นั่นคือผลที่ตามมา ผู้เชื่อใหม่อยู่ในสภาวะนี้เป็นส่วนใหญ่ เมื่อพวกเขาเข้าใจความจริง สามารถเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน และสามารถแยกแยะผู้คนได้ ปัญหานี้ก็จะคลี่คลายไปเองตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่รักความจริงย่อมไม่แสวงหาความจริงเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา บุคคลประเภทนี้จะไม่สามารถหลุดพ้นจากข้อจำกัดทางด้านผู้คน เหตุการณ์ และสรรพสิ่งทุกประเภทได้ตลอดกาล ผู้คนที่มักจะทนทุกข์กับข้อจำกัดที่เกิดจากผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ สำแดงสภาวะเช่นไรให้เห็น? พวกเขาคิดลบได้ง่าย และเมื่อพวกเขาประสบภาวะชะงักงันหรือเผชิญความยากลำบาก พวกเขาย่อมสะดุด สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของพวกเขาและความสามารถที่จะทำหน้าที่ของพวกเขา ผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมถูกผู้คน เหตุการณ์ และสรรพสิ่งทุกประเภทบีบบังคับได้โดยง่าย การเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาเชื่องช้ามาก และไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อมากี่ปีแล้วก็ตาม พวกเขาก็ไม่มีความก้าวหน้าที่มองเห็นได้ พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย และเหมือนกับผู้ไม่มีความเชื่อไม่มากก็น้อย ทั้งหมดนี้คือผลจากการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นคือเหตุผล กล่าวคือ ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีก็ตาม ไม่ว่าขีดความสามารถหรืออายุของเจ้าจะเป็นเช่นไร ตราบใดที่เจ้าไม่รักความจริงหรือไม่แสวงหาความจริงในสรรพสิ่ง ตราบนั้นเจ้าก็จะถูกผู้คน เหตุการณ์ และสรรพสิ่งทุกประเภทบีบเอาได้โดยง่าย เจ้าจะไม่รู้ว่าควรลงมืออย่างไรจึงจะเหมาะสม อีกทั้งเจ้าจะไม่รู้ว่าจะปฏิบัติความจริงหรือทำตัวให้สอดคล้องกับหลักธรรมทั้งหลายได้อย่างไร ต่อให้เจ้ากระทำการตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์และไม่ได้ทำสิ่งที่ไม่ดี เจ้าก็จะไม่รู้อยู่ดีว่าเจ้าทำตัวสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าคนประเภทนี้จะเชื่อมากี่ปีแล้วก็ตาม พวกเขาก็จะไม่สามารถพูดถึงคำพยานจากประสบการณ์ของตนเองได้ เพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่าจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร อีกทั้งไม่เข้าใจความจริงแม้แต่น้อย ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามานานเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีคำพยานให้พูดถึง พวกเขามีวุฒิภาวะน้อยเกินไป และพวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริง

ตอนนี้ ผู้คนแข็งขันในการทำหน้าที่ของตน พวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่ของตน สละตนเองให้แก่พระเจ้า ละทิ้งสิ่งต่างๆ เพื่อพระองค์ และถวายตัวพวกเขาเองให้แก่พระองค์อีกด้วย ถึงกับมีบางคนที่สาบานไปหลายครั้งหลายหนแล้วว่าพวกเขาจะถวายทั้งชีวิตของตนให้แก่พระเจ้า และจะสละตนเพื่อพระองค์ พวกเขามีสิ่งทั้งหมดนี้ แต่ไม่มีการเข้าสู่ชีวิต หากบุคคลหนึ่งไม่มีการเข้าสู่ชีวิต เช่นนั้นแล้ว ด้วยผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ อันซับซ้อนทุกรูปแบบ ก็จะค่อนข้างยากที่พวกเขาจะวางตัวเป็นปกติหรือจัดการแก้ไขปัญหา พวกเขาไม่สามารถหาทิศทางได้พบ อีกทั้งไม่สามารถหาเส้นทางได้ และพวกเขามักจะรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถหลุดจากสภาวะที่คิดลบของตนเองได้ พวกเขาเข้าไปพัวพันกับผู้คน เหตุการณ์ และสรรพสิ่งทุกประเภท ถูกทั้งหมดนั้นบีบบังคับ ควบคุม และพันธนาการเอาไว้ และพวกเขาไม่รู้จักหนทางปฏิบัติที่ถูกต้องที่สุด ตอนนี้เราจะบอกพวกเจ้าถึงหลักธรรมข้อหนึ่งในการปฏิบัติว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบหรือบททดสอบ หรือว่าเจ้ากำลังถูกตัดแต่ง และไม่ว่าผู้คนจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร ก่อนอื่นเจ้าควรวางสิ่งเหล่านี้และมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างขะมักเขม้น แสวงหาความจริง และปรับเปลี่ยนสภาวะของเจ้า นี่ควรได้รับการแก้ไขเสียก่อน เจ้าควรพูดว่า “ไม่ว่าเรื่องนี้จะใหญ่โตเพียงใด ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ฉันก็ต้องทำหน้าที่ของตนให้ดี ตราบเท่าที่ฉันมีลมหายใจ ฉันจะไม่ล้มเลิกหน้าที่ของตนเอง” ดังนั้นเจ้าจะทำหน้าที่ของตนเองให้ดีได้อย่างไร? เจ้าจะทำแค่ขอไปที หรือทำแบบกายอยู่ แต่จิตใจล่องลอยไปไม่ได้—หัวใจและความรู้สึกนึกคิดของเจ้าต้องมุ่งไปที่หน้าที่ของเจ้า ไม่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าจะใหญ่โตขนาดไหน เจ้าก็ต้องละวางสิ่งเหล่านั้นลงก่อนและมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาวิธีทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี เพื่อที่ว่าการทำหน้าที่นั้นจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย เจ้าควรพยายามคิดว่า “กับสิ่งนี้ที่ฉันได้เผชิญในวันนี้ ฉันจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ ฉันลงมือทำอย่างฉาบฉวย ดังนั้นวันนี้ฉันต้องเปลี่ยนวิธีการของตัวเองและพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี จะได้ไม่มีอะไรให้ใครมาจับผิด กุญแจสำคัญก็คือฉันต้องไม่ทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง ฉันต้องทำให้พระเจ้าสบายพระทัย เพื่อที่ว่าเมื่อพระองค์ทรงเห็นฉันทำหน้าที่ของตนเอง พระองค์จะได้ทรงทราบว่าฉันไม่เพียงเชื่อฟังและนบนอบเท่านั้น แต่ยังจงรักภักดีอีกด้วย” หากเจ้านำสิ่งนี้ไปปฏิบัติและมานะพยายามไปในทิศทางนี้ เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรจะสามารถทำให้การทำหน้าที่ของเจ้าล่าช้า หรือส่งผลกระทบต่อประสิทธิผลในหน้าที่ของเจ้าได้ เมื่อเจ้าอธิษฐาน แสวงหาความจริง และพยายามทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง เจ้าก็จะสามารถเข้าใจและแก้ไขเรื่องอารมณ์ของเนื้อหนังได้ง่าย แต่บุคคลหนึ่งไม่สามารถทำเช่นนั้นได้นอกเสียจากว่าพวกเขาจะยอมรับความจริง ตราบใดที่เจ้าเข้าใจความจริง ปัญหาใดๆ ก็สามารถแก้ไขได้ ความหมองหม่น ความหดหู่ใจ ความวิตกกังวล ความแคลงใจ และความคิดลบในหัวใจของเจ้าล้วนสามารถได้รับการแก้ไขได้โดยสิ้นเชิง อารมณ์ของเจ้าจะดีขึ้นอย่างช้าๆ และเจ้าจะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระอย่างแท้จริง หากเจ้าประสบความยากลำบากอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริงและนบนอบ เมื่อบุคคลหนึ่งเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ ย่อมเป็นการทดสอบวุฒิภาวะของพวกเขาและเปิดเผยตัวตนของพวกเขา เพื่อดูว่าพวกเขาสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger