การทรมานในห้องสอบปากคำ
โดย เซี่ยวหมิ่น ประเทศจีน ใน ค.ศ. 2012 ฉันก็ได้ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมในระหว่างที่ฉันกำลังประกาศข่าวประเสริฐอยู่ ใกล้ค่ำของวันที่ 13...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
วันหนึ่งในเดือนตุลาคมปี 2018 ฉันกำลังขี่จักรยานไฟฟ้าไปชุมนุม จู่ๆ ก็มีรถลากท่อเหล็กโผล่มาข้างหลังฉัน และชนฉันจนรถล้มลงไปกับพื้น ฉันนอนหมดสติอยู่บนพื้น พอได้สติ ฉันก็เจ็บที่หน้าอกข้างซ้าย และหายใจไม่สะดวก คู่กรณีพาฉันไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล หมอบอกว่า ซี่โครงด้านซ้ายซี่ที่หกของฉันหัก แต่หมอกลับยิ้มแล้วพูดว่า “อุบัติเหตุนี่อาจจะดูเป็นเรื่องแย่ แต่ที่จริงแล้วโชคดีมาก” หมอบอกว่า “มีก้อนเนื้ออยู่ในปอดด้านซ้ายของคุณ ถ้าไม่ประสบอุบัติเหตุ ก็คงไม่พบ ผมแนะนำให้คุณไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลใหญ่ทันที ถ้ามัวรอ มะเร็งอาจจะลามและไม่ทันการณ์ได้” พอได้ยินฉันก็ตกใจ ทิ้งตัวบนเก้าอี้ รู้สึกหมดแรงไปเลย หมอเลยปลอบใจฉันว่า “ไม่เป็นไร มันอาจเป็นเนื้อดีก็ได้ สมัยนี้ ยามันก้าวหน้าพอจะรักษาสิ่งนี้ได้แล้ว” ฉันคิดว่า “แน่นอน ไม่ใช่เนื้อร้ายหรอก ฉันทำหน้าที่ตลอดหลายปีที่เชื่อมา พระเจ้าจะทรงเฝ้าดูฉัน” พอคิดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกสงบขึ้นนิดหน่อยค่ะ สามี ก็ปลอบฉันเหมือนกันว่า “อย่าวิตกไปเลย โรงพยาบาลนั้นไม่ได้มีเครื่องมือที่ดีที่สุด อาจจะวินิจฉัยผิดก็ได้ ไปตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่กันดีกว่า อาจจะไม่มีอะไร อีกอย่าง คุณไม่เชื่อในพระเจ้าเหรอ ถ้ามีอะไร พระเจ้าจะทรงดูแลคุณเอง” ตอนนั้นฉันคิดว่าหมออาจตรวจพลาด พระเจ้าไม่ทรงปล่อยให้ฉันเป็นมะเร็งหรอก
สองวันต่อมา น้องชายกับน้องสาวพาฉันไปที่โรงพยาบาลใหญ่ แต่ฉันก็ต้องตกใจที่รู้ว่า ผลการทดสอบยืนยันว่ามันคือเนื้อร้าย และอยู่ในระยะกลางแล้ว หมอแนะนำให้ฉัน นอนโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัด แล้วทำคีโม เขาบอกว่าถ้ามัวรอจนมันกลายเป็นระยะสุดท้าย เขาคงช่วยอะไรไม่ได้ ตอนนั้น ฉันรับข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้เลยค่ะ ฉันทำหน้าที่มาตลอดหลายปีที่เชื่อ ไม่เคยปล่อยให้อะไรมาทำให้หน้าที่ล่าช้า ไม่ว่าจะทนทุกข์แค่ไหน ฉันพร้อมจะช่วยเรื่องความยากลำบากของพี่น้องชายหญิงเสมอ ฉันทุ่มทั้งใจเพื่อพระเจ้า แล้วฉันจะป่วยร้ายแรงแบบนี้ได้ยังไง ทำไมพระเจ้าไม่ทรงคุ้มครองฉัน ยิ่งคิดเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งทุกข์ระทมมากขึ้น แล้วฉันก็แอบได้ยินคนที่ป่วยเหมือนกันพูดว่า “ผมผ่าตัดไปเป็นปีแล้ว แต่แผลผ่าตัดยังเจ็บมากอยู่เลย แพงไม่พอ ยังต้องมาทุกข์ระทมอีก” เขายังบอกว่า ในวอร์ดนี้มีผู้ป่วยสูงอายุ ที่ผ่าตัดได้สามวันก็ลุกจากเตียงขึ้นมาเดิน แล้วจู่ๆ ก็ล้มไป ช่วยชีวิตไว้ไม่ได้ พอได้ยินที่เขาพูด มันก็ท้อจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือน ความหวังสุดท้ายถูกทำลายไม่มีชิ้นดี ถ้าการผ่าตัดไม่สำเร็จ แล้วฉันตาย เงินก็ใช้ไปหมดแล้ว ครอบครัวฉันจะอยู่ต่อไปยังไง ฉันมาเฉพาะพระพักตร์เพื่ออธิษฐานด้วยความทุกข์ระทม ขอทรงนำให้ฉันได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ แล้วฉันก็นึกถึงบางอย่างจากในพระวจนะ ที่ว่า “หากว่ามนุษย์เก็บงำความคิดที่ขลาดอายและเกรงกลัว นั่นก็เป็นเพราะซาตานได้หลอกพวกเขา ด้วยกลัวว่าพวกเราจะข้ามสะพานแห่งความเชื่อเพื่อเข้าสู่พระเจ้า” (“บทที่ 6” ของ ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) จริงด้วย ชีวิตและความตาย อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ดังนั้นไม่ว่าผลการผ่าตัดจะเป็นยังไง ฉันก็ต้องเชื่อในพระเจ้า และเผชิญกับมันด้วยการพึ่งพิงพระองค์ ฉันนอนโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัด ซึ่งใช้เวลากว่าสี่ชั่วโมงถึงจะเสร็จ พอฟื้นขึ้นมา พยาบาลก็พูดอย่างเบิกบานว่า “การผ่าตัดประสบความสำเร็จมาก” ฉันรู้โดยไม่สงสัยเลยว่า พระเจ้าทรงคุ้มครองฉัน และฉันก็ขอบคุณพระองค์อยู่เงียบๆ ผ่านไปราวยี่สิบวัน ฉันก็ออกจากโรงพยาบาล
พอกลับมาบ้าน ฉันก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า พอถอดอ็อกซิเจนออก แป๊บเดียวฉันก็หายใจลำบาก เหมือนหายใจออกได้อย่างเดียว หายใจเข้าไม่ได้ แผลผ่าตัดก็เริ่มมีน้ำเหลืองซึมออกมา ฉันเจ็บปวดมากเลยค่ะ ถ้าเกิดสำลักเพราะกินข้าวหรือดื่มน้ำ ฉันก็ต้องให้คนที่บ้านมาช่วยปิดแผลให้ ถ้านอนราบ ก็จะหายใจไม่ออก เลยต้องนั่งหลับ ทุกๆ วันคืบคลานไปอย่างเชื่องช้า ฉันสงสัยว่า วันแห่งความทุกข์ระทมจะดำเนินไปอีกนานแค่ไหน และทำไมพระเจ้าไม่ทรงคุ้มครองฉัน ทำไมฉันทุกข์ทนมากขนาดนี้ ฉีนคิดว่าถ้าทำคีโม มันอาจจะแย่กว่านี้ด้วยซ้ำ ฉันอ่อนแอมาก จนเสียความเชื่อในพระเจ้าไปบ้าง เวลาอ่านพระวจนะ ฉันไม่อาจสงบใจเฉพาะพระพักตร์ เวลาอธิษฐานก็ไม่มีอะไรจะพูดเลย
วันหนึ่ง ผู้นำคริสตจักรมาเยี่ยมฉันที่บ้าน และอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ฟังหนึ่งบทตอน ในวรรคสุดท้ายของ “มนุษย์สามารถมีความรักแท้จริงได้ โดยการได้รับประสบการณ์กับกระบวนการถลุงเท่านั้น” กล่าวว่า “สำหรับทุกผู้คน กระบวนการถลุงเป็นความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส และลำบากยากเย็นมากที่จะยอมรับ—ทว่าในระหว่างกระบวนการถลุงนี้นี่เองที่พระเจ้าทำให้พระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์เป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับมนุษย์ และทรงทำให้ข้อพึงประสงค์ของพระองค์เป็นที่รู้ทั่วกันสำหรับมนุษย์ และทรงจัดเตรียมความรู้แจ้งมากขึ้น การจัดการและการตัดแต่งจริงที่มากขึ้น โดยผ่านทางการเปรียบเทียบข้อเท็จจริงกับความจริง พระองค์ทรงมอบความรู้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับพระองค์และความจริงให้แก่มนุษย์ และทรงมอบความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าให้แก่มนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์มีความรักที่จริงแท้ยิ่งขึ้นและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นต่อพระเจ้า นั่นคือจุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการดำเนินกระบวนการถลุง และพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำในมนุษย์มีจุดมุ่งหมายและนัยสำคัญของมันเอง พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจซึ่งปราศจากความหมาย และพระองค์ไม่ทรงพระราชกิจซึ่งปราศจากผลประโยชน์ต่อมนุษย์ กระบวนการถลุงไม่ได้หมายถึงการเอาผู้คนไปจากเบื้องพระพักตร์พระเจ้า และไม่ได้หมายถึงการทำลายพวกเขาในนรก แต่ทว่าหมายถึงการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์ในระหว่างกระบวนการถลุง การเปลี่ยนแปลงเจตนาต่างๆ ของเขา ทรรศนะเก่าๆ ของเขา การเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อพระเจ้า และการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตของเขา กระบวนการถลุงคือบททดสอบจริงของมนุษย์ และเป็นรูปแบบหนึ่งของการฝึกฝนจริง และมีเพียงในระหว่างกระบวนการถลุงเท่านั้นที่ความรักของเขาจะสามารถทำหน้าที่ตามธรรมชาติของมันได้” (พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ผู้นำได้แบ่งปันสามัคคีธรรมว่า “เมื่อเราเจ็บป่วยร้ายแรง นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาต พระองค์ทรงต้องการชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทราม รวมถึงแรงจูงใจผิดๆ และสิ่งเจือปน ให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลงมัน ในฐานะผู้เชื่อ เมื่อกายเรารู้สึกสบายดี เราก็กระตือรือร้นในหน้าที่ แต่เมื่อเจ็บป่วยและทนทุกข์ เรากลับเข้าใจผิดและติเตียนพระเจ้า นั่นไม่ใช่ท่าทีในการทำธุรกรรมกับพระเจ้าเหรอ จะเป็นการนบนอบต่อพระองค์ได้ยังไง” ตอนที่ได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าและการสามัคคีธรรมของผู้นำ ฉันก็ละอายใจมาก ฉันไม่ได้ก้าวผ่านการเจ็บป่วยนี้เพราะพระเจ้าทรงต้องการให้ฉันทนทุกข์ แต่เพื่อชำระฉันให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลงฉัน ฉันไม่ได้เรียนรู้บทเรียน หรือทบทวนตัวเอง แต่กลับตำหนิพระเจ้า ที่ไม่ทรงคุ้มครองฉัน ฉันได้เห็นว่า ตัวเองไร้เหตุผลเหลือเกิน
ต่อมา ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า “พระเจ้าทรงมองว่าพวกเขาเป็นสมาชิกครอบครัว แต่พวกเขาปฏิบัติต่อพระองค์เยี่ยงคนแปลกหน้า อย่างไรก็ตาม หลังพระราชกิจของพระเจ้าผ่านไปสักพักหนึ่ง พวกมนุษย์ก็ได้มาทำความเข้าใจกับสิ่งที่พระองค์ทรงพยายามที่จะสัมฤทธิ์ผล และพวกเขาก็ได้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ พวกเขาได้มารู้ด้วยว่าพวกเขาสามารถได้รับอะไรจากพระเจ้า ผู้คนคำนึงถึงพระเจ้าอย่างไร ณ เวลานี้? พวกเขาได้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นสายชูชีพ และหวังว่าจะได้รับประทานพระคุณ พระพร และพระสัญญาของพระองค์ ณ เวลานี้พระเจ้าทรงคำนึงถึงพวกมนุษย์อย่างไร? พระองค์ทรงเห็นว่าพวกเขาเป็นเป้าหมายสำหรับการพิชิตชัยของพระองค์ พระเจ้าทรงต้องประสงค์ใช้พระวจนะเพื่อพิพากษาพวกเขา เพื่อตรวจสอบพวกเขา และเพื่อให้พวกเขาก้าวผ่านการทดสอบ อย่างไรก็ตาม ในความคิดเห็นของผู้คนในตอนนั้น พระเจ้าทรงเป็นเพียงวัตถุที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขาเอง ผู้คนได้เห็นว่าความจริงที่พระเจ้าทรงแจกจ่ายให้สามารถพิชิตและช่วยพวกเขาให้รอดได้ ได้เห็นว่าพวกเขามีโอกาสได้รับสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาต้องการจากพระองค์ ตลอดจนบรรลุบั้นปลายที่พวกเขาต้องการ ด้วยเหตุนี้ ความจริงใจเล็กน้อยจึงได้ก่อเกิดในหัวใจพวกเขา และพวกเขาก็เต็มใจที่จะติดตามพระเจ้าองค์นี้…ในส่วนของสถานะปัจจุบันของพวกมนุษย์ อะไรเล่าคือท่าทีของพระเจ้าต่อพวกเขา? พระองค์ทรงปรารถนาที่จะประทานความจริงเหล่านี้ให้พวกเขาและปลูกฝังพวกเขาด้วยทางของพระองค์เท่านั้น และจากนั้นก็ทรงจัดการเตรียมการรูปการณ์แวดล้อมทั้งหลายเพื่อทดสอบพวกเขาในวิธีที่แตกต่างกัน เป้าหมายของพระองค์คือใช้พระวจนะเหล่านี้ ความจริงเหล่านี้ และพระราชกิจของพระองค์ มาทำให้เกิดผลลัพธ์ที่พวกมนุษย์สามารถยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่วได้ ผู้คนส่วนใหญ่ที่เราได้เห็นมาเพียงใช้พระวจนะของพระเจ้าและคำนึงถึงพระวจนะนั้นว่าเป็นคำสอน เพียงแค่ตัวอักษรบนกระดาษ ข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตาม ในการกระทำและวาทะของพวกเขา หรือในขณะเผชิญหน้ากับการทดสอบ พวกเขาไม่คำนึงถึงทางของพระเจ้าว่าเป็นแบบที่พวกเขาควรปฏิบัติตาม นี่เป็นจริงเป็นพิเศษเมื่อผู้คนเผชิญหน้ากับการทดลองใหญ่ เราไม่เคยเห็นบุคคลเช่นนี้คนใดที่ฝึกฝนปฏิบัติในทิศทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ดังนั้นท่าทีของพระเจ้าต่อพวกมนุษย์จึงเต็มไปด้วยความเกลียดและความรังเกียจสุดขีด!” (“วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พระวจนะได้ เปิดเผยสภาวะของฉันอย่างแม่นยำ ฉันไม่ได้เป็นผู้เชื่อเพื่อไล่ตามความจริง หรือยำเกรงและเชื่อฟังพระเจ้า แต่เพื่อให้ได้รับพระคุณและพระพรเป็นการแลกเปลี่ยนสำหรับการทุกข์ทนและทำงานหนัก พอคิดย้อนกลับไป ตั้งแต่มาเป็นผู้เชื่อ ฉันก็ทำราวกับพระเจ้าคือมนตร์วิเศษ คิดว่าตราบใดที่ฉันสละตนเพื่อพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงคุ้มครองและทรงอวยพรฉัน ตอนที่ฉันสุขภาพดี และครอบครัวก็เป็นไปด้วยดี ฉันพร้อมรับทุกหน้าที่ที่คริสตจักรจัดการเตรียมการมาให้ ฉันสู้ทนได้ทุกสิ่ง และความเชื่อของฉันก็ท่วมท้น แต่พอฉันพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งปอด ฉันก็จมปลักอยู่กับความคิดลบ ติเตียนและเข้าใจพระเจ้าผิด คิดว่าพระองค์ทรงควรคุ้มครองฉัน เพราะฉันทำงานหนัก คิดว่าฉันไม่ควรเจ็บป่วยร้ายแรงอย่างนี้ ฉันได้เห็นว่า ฉันใช้การพลีอุทิศของตัวเองมาเป็นต้นทุนเพื่อต่อรองและต่อสู้กับพระเจ้า นั่นมันความเคารพแบบไหนกัน พระเจ้าทรงพาฉันเข้าสู่ครอบครัวของพระองค์ ทำให้ฉันเป็นเป้าหมายแห่งความรอด แต่ฉันกลับทำเหมือนพระองค์เป็นแพชูชีพ ต้องการเพียงประโยชน์จากพระองค์ ฉันเป็นผู้เชื่อแบบไหนกัน นั่นเป็นเพียงการทำข้อตกลงกับพระเจ้า หลอกใช้และโกงพระองค์ ฉันมันเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจนัก! ตลอดหลายปีที่เชื่อมา ฉันได้รับสันติสุขและพระพรมากมายจากพระองค์ อีกทั้งได้ชื่นชมการให้น้ำและการบำรุงเลี้ยงจากพระวจนะ พระองค์ประทานสิ่งต่างๆ ให้ฉันมากมาย ไม่ใช่แค่ไม่ตอบแทนความรักของพระองค์เท่านั้น ฉันยังเรียกร้องสิ่งต่างๆ จากพระองค์ในทุกเรื่อง เวลาไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ฉันก็พร่ำบ่นและเข้าใจพระองค์ผิด ฉันมันไร้มโนธรรมและเหตุผลจริงๆ แล้วฉันก็ตระหนักได้ ว่าฉันป่วย เพื่อให้พระเจ้าได้ทรงแก้ไขมุมมองที่ผิดในความเชื่อ ในการไล่ตามพระพรให้ถูกต้อง แล้วฉันก็ได้มาไล่ตามความจริง และละทิ้งความเสื่อมทรามและความไม่บริสุทธิ์เหล่านี้ได้ นี่คือความรักของพระเจ้าค่ะ! ฉันรู้สึกผิดมาก และไม่อยากทำให้ ความมานะอุตสาหะของพระเจ้าผิดหวังอีกต่อไป ฉันพร้อมจะเชื่อฟังการจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการของพระเจ้าค่ะ พอเข้าใจทั้งหมดนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกสงบขึ้นมาก และสงบหัวใจเพื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ แล้วก็ไม่ค่อย เจ็บปวดอย่างเดิมอีกต่อไป
ในไม่ช้า การคีโมครั้งแรกของฉันก็มาถึง คนไข้คนอื่นในวอร์ด ต่างก็คลื่นไส้อาเจียนกันทั้งนั้น แต่ถึงฉันจะคลื่นไส้อยู่บ้าง ฉันก็ไม่ได้ทุกข์ระทมอย่างพวกเขา พวกเขาต่างอิจฉา และบอกว่าฉันโชคดี ฉันรู้ในหัวใจ ว่าพระเจ้าทรงเฝ้าดูฉันอยู่ แต่หลังทำคีโมไปได้สามครั้ง ฉันก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ จนเดินตรงไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันไม่อยากอาหารเลย กินเข้าไปก็อาเจียนหมด ครั้งที่สี่ พอฉีดยาเข้าเส้นเลือด ฉันเริ่มรู้สึกปวดและอ่อนแอไปทั้งตัว ท้องไส้ของฉันปั่นป่วน และขย้อนน้ำดีออกมาไม่หยุด สายตาเริ่มพร่ามัว และมองเห็นภาพซ้อน มันรู้สึกเหมือนโลกหมุน ฉันอธิบายไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันทุกข์แค่ไหน จะนอนหรือนั่งก็ไม่ได้รู้สึกดีเลย ฉันเวียนหัวมาก และพยายามจะดึงเข็มฉีดยาออก หัวหน้าพยาบาลเดินมา และโวยวายใส่สามีฉันว่า “ยานี้ปนเปื้อนไม่ได้นะ ถ้าปนเปื้อนขึ้นมา ทุกอย่างที่เราทำไปก็จะสูญเปล่า และมันอาจถึงแก่ชีวิตได้เลย ใครจะรับผิดชอบเรื่องนั้นล่ะ” พอได้ยินเธอบอกว่าการไปยุ่งกับมันอาจทำให้ทุกอย่างพัง ฉันก็คิดว่า “เสียเงินมาขนาดนี้ฉันก็ยังไม่ดีขึ้นเลย ครอบครัวก็ต้องมาดูแลฉันทุกวัน ฉันกลายเป็นภาระของพวกเขาไปแล้ว และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการรักษานี้จะได้ผลไหม การใช้ชีวิตแบบนี้มันทุกข์ใจเหลือเกิน” ตอนนั้นฉันรู้สึกสิ้นหวังมากจริงๆ ถึงขั้นคิดว่าตายให้จบๆ ไปซะยังดีกว่า พอสามีเผลอ ฉันก็แอบย่องออกมาจากวอร์ด ไปนั่งที่ขอบหน้าต่างของชั้นสิบสอง คิดว่า “กระโดดลงไปให้จบๆ ก็คงดีกว่าทนทุกข์ต่อไปแบบนี้นะ” พอคิดแบบนั้น ฉันก็เริ่มร้องไห้ไม่หยุด ตอนนั้นเอง จู่ๆ สามีของฉันก็โผล่มา กอดฉันไว้ในอ้อมแขน แล้วดึงตัวฉันลงจากหน้าต่าง เขาปลอบฉันเงียบๆ ว่า “ทำไมเชื่อในสิ่งที่ใครบางคนพูดล่ะ เธอควรวางใจพระเจ้าที่เธอเชื่อไม่ใช่เหรอ” คำพูดของเขาทำฉันรู้สึกละอายใจ จริงด้วย ในฐานะผู้เชื่อ ทำไมฉันไม่รู้จักพึ่งพิงพระเจ้าล่ะ ฉันนึกถึงพระวจนะนี้ของพระเจ้าขึ้นมาว่า “อายุขัยของทุกคนได้รับการกำหนดล่วงหน้าโดยพระเจ้า หากความเจ็บป่วยอย่างหนึ่งปรากฏให้เห็นผิวเผินว่าร้ายแรงถึงชีวิต แต่จากมุมมองของพระเจ้า ชีวิตของเจ้ายังคงต้องดำเนินต่อไป และเวลาของเจ้ายังไม่มาถึง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่อาจตายได้ต่อให้เจ้าอยากตาย หากพระเจ้าได้ทรงมอบพระบัญชาให้เจ้าแล้ว และภารกิจของเจ้ายังไม่สิ้นสุด เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมไม่แม้แต่จะตายจากความเจ็บป่วยซึ่งถูกคาดหมายว่าเป็นอันตรายถึงชีวิตเสียด้วยซ้ำ—พระเจ้าจะยังไม่ทรงรับตัวเจ้าไป” (“เพียงโดยการแสวงหาความจริงเท่านั้น คนเราจึงสามารถรู้จักกิจการของพระเจ้าได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าชัดเจนมาก พระเจ้าทรงกำหนดไว้นานแล้ว ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่นานแค่ไหน และจะตายเมื่อไหร่ ถึงแม้จะเป็นมะเร็ง แต่ถ้าภารกิจของพระเจ้าสำหรับฉันยังไม่ลุล่วง พระองค์ก็ไม่ทรงปล่อยให้ฉันตาย หากภารกิจสำหรับฉันเสร็จสิ้นแล้ว ถึงแม้จะไม่ป่วย ฉันก็คงตายเมื่อถึงเวลาอันสมควรอยู่ดี นั่นคือการทรงลิขิตของพระเจ้า แต่ฉันไม่เข้าใจกฎและการทรงลิขิตของพระเจ้า เมื่อเผชิญกับการเจ็บป่วย ฉันถึงไม่เชื่อฟังเลย ฉันถึงกับกลัวว่าจะสิ้นเปลืองเงินไปกับการรักษาที่ไม่ได้ผล และอยากใช้ความตายหนีจากสถานการณ์นั้น ฉันมันกบฏจริงๆ! พอตระหนักได้ ฉันก็รู้สึกดีขึ้นมาก และคิดว่า “ไม่ว่ายังไง ฉันก็พร้อมนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการของพระเจ้า” แล้วหลังจากการทำคีโมอีกสองสามครั้ง ฉันก็ฟื้นตัวได้ดีมาก และตอนที่ออกจากโรงพยาบาล หมอก็พูดว่า “อีกสามเดือนมาตรวจใหม่นะ ถ้าทุกอย่างดูดี คุณก็ไม่ต้องฉายแสงแล้ว” พอกลับบ้าน ฉันก็รู้สึกดีขึ้นทุกวัน และได้กลับไปทำหน้าที่อีกครั้งค่ะ ตอนไปตรวจร่างกายครั้งแรก หมอบอกว่าฉันฟื้นตัวดีมาก และทุกอย่างก็ดูใช้ได้ ฉันร้องไห้ออกมาด้วยความสุข และขอบคุณพระเจ้าอยู่ในหัวใจ ฉันรู้ว่าฉันต้องทำหน้าที่ให้ดี เพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า และพระองค์อาจจะทรงทำให้ฉันหายจากมะเร็ง และฉันก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ระทมนั้น หลังจากนั้น ฉันก็รู้สึกมีเรี่ยวแรงในการทำหน้าที่ และความเชื่อของฉันก็โตขึ้นด้วย
ครั้งที่สองที่ไปตรวจร่างกาย หมอบอกว่า มันดูไม่ค่อยดี มะเร็งได้ลามไปแถวท้ายทอยแล้ว ฉันแทบไม่เชื่อว่ามันคือเรื่องจริง ฉันหมดแรงขึ้นมาดื้อๆ และน้ำตาก็เริ่มไหลอาบแก้ม มะเร็งมันลามไปได้ยังไง? ฉันได้มารู้จักตัวเองผ่านความเจ็บป่วย ได้แก้ไขมุมมองเรื่องการไล่ตามเสาะหา และฉันก็ทุ่มเททุกอย่างให้การทำหน้าที่ ทำไมพระเจ้าถึงไม่ให้ฉันหายจากมะเร็งนี้ล่ะ พอความคิดเหล่านั้นผุดขึ้นมา ฉันก็รู้สึกผิดมาก นั่นคือการตำหนิพระเจ้าอีกแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันเลยสงบใจ และทบทวนว่า ทำไมฉันถึงอดไม่ได้ที่จะติเตียนพระเจ้า ในตอนที่หมอบอกว่ามะเร็งของฉันมันกลับมาอีก อะไรคือรากเหง้าแห่งปัญหานั้นกันแน่ วันหนึ่ง ฉันได้ดูวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ประการแรก เมื่อผู้คนเริ่มที่จะเชื่อในพระเจ้า พวกเขาคนใดบ้างที่ไม่มีจุดมุ่งหมาย สิ่งจูงใจ และความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง? ถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งของพวกเขาจะเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าและได้มองเห็นการดำรงอยู่ของพระเจ้า แต่การเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้าก็ยังคงบรรจุไปด้วยสิ่งจูงใจ และจุดมุ่งหมายสูงสุดของพวกเขาในการเชื่อในพระเจ้าก็คือเพื่อได้รับพระพรของพระองค์และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาต้องการ…ทุกบุคคลทำการคิดคำนวณเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอภายในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาทำการร้องขอจากพระเจ้าซึ่งเป็นแรงจูงใจ ความทะเยอทะยาน และความคิดแบบแลกเปลี่ยนของพวกเขา กล่าวคือ ในหัวใจของเขานั้น มนุษย์กำลังทดสอบพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ คิดวางแผนเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ โต้แย้งเรื่องราวเพื่อบทอวสานแต่ละอย่างของพวกเขาเองกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ และพยายามที่จะคัดรายงานแถลงจากพระเจ้า โดยดูว่าพระเจ้าสามารถประทานสิ่งที่เขาต้องการให้แก่เขาหรือไม่ ในเวลาเดียวกันกับที่ไล่ตามเสาะหาพระเจ้านั้น มนุษย์ก็ไม่ปฏิบัติกับพระเจ้าดังเช่นพระเจ้า มนุษย์พยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้าอยู่เสมอ ทำข้อเรียกร้องจากพระองค์อย่างไม่หยุดหย่อน และแม้กระทั่งกดดันพระองค์ในทุกขั้นตอน โดยหลังจากได้คืบแล้วก็พยายามที่จะเอาศอก ในเวลาเดียวกันกับที่พยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า มนุษย์ก็ยังโต้แย้งกับพระองค์ด้วย และมีแม้กระทั่งผู้คนที่มักจะกลายเป็นอ่อนแอ อยู่นิ่งเฉย และหย่อนยานในงานของพวกเขา และเต็มไปด้วยการร้องทุกข์คร่ำครวญเกี่ยวกับพระเจ้าเมื่อการทดสอบตกมาถึงพวกเขาและเต็มไปด้วยคำติเตียนเกี่ยวกับพระเจ้า จากเวลาที่มนุษย์ได้เริ่มเชื่อในพระเจ้านั้น เขาได้พิจารณาว่าพระเจ้าทรงเป็นความอุดมสมบูรณ์ เป็นมีดพับสวิส และเขาได้พิจารณาตัวเขาเองว่าเป็นเจ้าหนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า ราวกับว่าการพยายามได้รับพระพรและพระสัญญาจากพระเจ้านั้นเป็นสิทธิ์และภาระผูกพันประจำตัวของเขา ในขณะที่หน้าที่รับผิดชอบของพระเจ้าคือการคุ้มครองปกป้องและดูแลมนุษย์ และการจัดเตรียมให้กับเขา เช่นนั้นเองคือความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ ‘การเชื่อในพระเจ้า’ ของพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่เชื่อในพระเจ้า และเช่นนั้นคือความเข้าใจส่วนลึกที่สุดของพวกเขาเกี่ยวกับมโนทัศน์แห่งการเชื่อในพระเจ้า จากเนื้อแท้แห่งธรรมชาติของมนุษย์ไปจนถึงการไล่ตามเสาะหาในใจของเขา ไม่มีสิ่งใดที่สัมพันธ์กับความยำเกรงพระเจ้าเลย จุดมุ่งหมายของมนุษย์ในการเชื่อในพระเจ้าไม่สามารถเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการนมัสการพระเจ้า กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์ไม่เคยได้พิจารณาหรือเข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าจำเป็นต้องมีการยำเกรงและการนมัสการพระเจ้า เนื่องจากสภาพเงื่อนไขเช่นนั้น เนื้อแท้ของมนุษย์ก็ชัดแจ้ง เนื้อแท้นี้คือสิ่งใด? มันก็คือหัวใจของมนุษย์นั้นมุ่งร้าย เก็บงำการทรยศหักหลังและการหลอกลวง ไม่รักความยุติธรรมและความชอบธรรมและสิ่งที่เป็นเชิงบวก และมันน่าเหยียดหยามและโลภ หัวใจของมนุษย์ไม่สามารถใกล้ชิดกับพระเจ้าได้มากขึ้น เขาไม่ได้มอบมันให้แก่พระเจ้าเลย พระเจ้าไม่เคยทรงมองเห็นหัวใจที่แท้จริงของมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ไม่เคยได้รับการนมัสการโดยมนุษย์” (“พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ฉันเป็นคนแบบที่พระเจ้าทรงอธิบาย ที่มีแรงจูงใจในความเชื่อจากการได้รับพระพรเสมอ คอยคำนวณว่าฉันจะได้รับพระพรและพบสันติสุขจากพระเจ้าได้ยังไง ฉันไม่เคยคิดถึงการปฏิบัติความจริงและเชื่อฟังพระเจ้าเลย พระเจ้า ทรงให้พระคุณกับครอบครัวของฉัน ตั้งแต่ที่ฉันมาเป็นผู้เชื่อ และฉันก็มีความสุข ที่พบสิ่งที่พึ่งพิงได้ ฉันทุ่มเทตัวเองให้การทำหน้าที่ หวังว่าจะได้รับพระพรจากพระเจ้ามากขึ้น แต่พอเป็นมะเร็ง ฉันก็กลับเต็มไปด้วยความขับข้องใจ คิดว่าฉันมอบอะไรมากมายในหน้าที่ พระเจ้าก็ทรงควรอวยพระพรให้ฉันมีสุขภาพดีสิ ตอนที่หมอบอกว่ามะเร็งของฉันมันย้ายที่ ฉันก็เริ่มเรียกร้องแบบไร้เหตุผลกับพระเจ้าอีกครั้ง ฉันรู้สึกว่า ขนาดป่วยฉันยังทำหน้าที่เลย พระเจ้าก็ต้องทรงทำให้ฉันหายป่วยสิ ฉันตระหนักได้ว่า ฉันไม่ได้ปฏิบัติกับพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าเลย แต่กลับทำเหมือนพระองค์ทรงติดหนี้ฉัน ฉันเอาแต่เรียกร้องจากพระองค์เสมอ ฉันทำงานและพลีอุทิศบ้างก็จริง แต่ก็ไม่ได้พยายามทำให้พระองค์พอพระทัยอย่างแท้จริงเลย ฉันเพียงแค่สร้างภาพเพื่อหลอกพระเจ้า เพื่อทำตัวประจบพระองค์ พระองค์จะได้ทรงทำในสิ่งที่ฉันต้องการ พิษร้ายของซาตาน อย่างเช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” และ “อย่ากระดิกแม้แต่นิ้วเดียวหากไม่ได้รางวัล” คือคติพจน์ในชีวิตของฉัน ฉันต้องการพระพรยิ่งใหญ่แลกกับความช่วยเหลือเล็กน้อย ฉันเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ได้มอบหัวใจให้พระองค์จริงๆ ฉันเห็นแก่ตัวและฉลาดแกมโกงโดยเนื้อแท้ ฉันมันคนใจแคบ โลภมาก และหน้าไม่อาย! ฉันนึกถึงการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยเราให้รอด ทรงสู้ทนกับการไล่ตามเสาะหาและข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์ รวมถึงทนการเข้าใจผิด เสียงพร่ำบ่น ความเป็นกบฏ และการต่อต้านของผู้เชื่ออย่างเรา พระองค์ทรงทนทุกข์กับความอัปยศอันเหลือเชื่อ ขณะที่ทรงแสดงความจริงเพื่อชำระเราให้บริสุทธิ์และเราให้รอดต่อไปอย่างเงียบๆ โดยไม่ทรงร้องขอสิ่งใดจากเราเลย ความรักของพระเจ้าช่างเสียสละอย่างเหลือเชื่อ ฉันรู้ว่า พระเจ้าทรงอยู่กับฉันตลอดการป่วยนั้น เมื่อไหร่ที่ฉันสิ้นหวังและเจ็บปวด พระเจ้าก็ทรงใช้พระวจนะเพื่อชี้นำฉัน เนื้อแท้ของพระเจ้านั้นสวยงามและดีงาม และความรักที่พระองค์มีต่อฉันก็เหลือเชื่อ แล้วฉันก็รู้สึก เหมือนฉันไม่มีมโนธรรมเลยจริงๆ และทุกสิ่งที่ฉันทำก็ทำให้พระเจ้าทรงเจ็บปวด ฉันยังนึกถึงเปาโล ที่ทนทุกข์และยอมลำบากเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ แต่เขากลับต้องการได้รับมงกุฏ ได้รับบำเหน็จ เขาถึงขั้นบอกว่า มงกุฏแห่งความชอบธรรม ต้องได้รับการสงวนไว้สำหรับเขา จริงๆ เขาหมายความว่า หากเขาไม่ได้รับพระพร ก็แปลว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม เปาโลมีความเชื่อ แต่ไม่เคยรู้จักตัวเอง และอุปนิสัยของเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ท้ายที่สุด พระเจ้าก็ทรงลงโทษเขา มุมมองในการไล่ตามเสาะหาของฉัน เหมือนกับเปาโลไม่มีผิด ฉันคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าเพื่อพระพรเป็นเรื่องธรรมชาติ และพอไม่ได้รับ ฉันก็ติเตียนพระเจ้า ฉันอยู่บนเส้นทางที่ต่อต้านพระเจ้าค่ะ ฉันรู้ว่า ฉันต้องแก้ไขการไล่ตามเสาะหาให้ถูก ไม่งั้นฉันคงลงเอยด้วยการถูกพระเจ้าทรงกำจัด เหมือนเปาโล ฉันคุกเข่าลงเบื้องพระพักตร์ทันที และอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว และพร้อมที่จะปล่อยวางมุมมองผิดๆ ในการไล่ตามเสาะหา และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมะเร็งนี้ ข้าพระองค์ก็จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์” หลังจากนั้น ฉันก็อ่านพระวจนะทุกวัน และสงบใจเฉพาะพระพักตร์ สภาวะของฉันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
ต่อมาในวันหนึ่งของเดือนธันวาคม ปี 2019 โรงพยาบาลก็แจ้งว่า ฉันควรเข้ารับการฉายแสง ผู้ป่วยคนอื่นบอกว่า การฉายแสงนั้นแย่ยิ่งกว่า บอกว่ามันเผาเนื้อจนไหม้ และทำให้ผมร่วง แถมยังจะอาเจียน วิงเวียน และไม่อยากกินอะไรเลย พอได้ยินแบบนี้ฉันก็กลัว ฉันไม่อยากเจอทั้งหมดนั้นอีกแล้ว ฉันคิดว่าถ้าพระเจ้าทรงให้ฉันหายจากมะเร็ง ฉันก็คงไม่ต้องทนทุกข์ผ่านการฉายแสง แล้วฉันก็ตระหนักได้ว่า ฉันเรียกร้องจากพระเจ้าอีกแล้ว ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ละทิ้งความตั้งใจของตัวเอง แล้วฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ในบทตอนที่ชื่อ “พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2” “โยบไม่ได้สนทนาเรื่องการค้ากับพระเจ้า และไม่ได้ทำการเรียกร้องหรือการร้องขอใดๆ จากพระเจ้า การที่เขาสรรเสริญพระนามของพระเจ้านั้นเป็นเพราะฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง และมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่เขาได้รับพรหรือประสบกับความวิบัติหรือไม่ เขาเชื่อว่าไม่ว่าพระเจ้าทรงอวยพรผู้คนหรือทรงนำความวิบัติมาสู่พวกเขาก็ตาม ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง และด้วยเหตุนี้ ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมของบุคคลจะเป็นอย่างไร พระนามของพระเจ้าก็ควรได้รับการสรรเสริญ การที่มนุษย์ได้รับพรจากพระเจ้าเป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้า และเมื่อความวิบัติเกิดขึ้นกับมนุษย์ ดังนั้น มันก็เป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าจัดการเตรียมการและปกครองเหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับโชควาสนาของมนุษย์เป็นการสำแดงฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้า และไม่ว่าทัศนคติของคนเราจะเป็นอย่างไร พระนามของพระเจ้าก็ควรได้รับการสรรเสริญ นี่คือสิ่งที่โยบได้รับประสบการณ์และได้มารู้ในช่วงระหว่างหลายปีแห่งชีวิตของเขา ความคิดและการกระทำทั้งหมดของโยบได้ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าและได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าสำคัญ พระเจ้าทรงเชิดชูความรู้ของโยบนี้ และทรงทะนุถนอมความล้ำค่าของโยบเนื่องจากการมีหัวใจเช่นนี้ หัวใจนี้รอคอยพระบัญชาของพระเจ้าอยู่เสมอ และในทุกที่ และไม่สำคัญว่าเป็นเวลาหรือสถานที่ใด มันยินดีต้อนรับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ตาม โยบไม่ทำการร้องขอใดๆ ต่อพระเจ้า สิ่งที่เขาร้องขอต่อตัวเขาเองคือให้รอคอย ยอมรับ เผชิญหน้า และเชื่อฟังทั้งหมดจากการจัดการเตรียมการที่มาจากพระเจ้า โยบเชื่อว่านี่เป็นหน้าที่ของเขา และมันเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์อย่างแน่นอน” (พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) เมื่อใคร่ครวญพระวจนะดู ฉันก็ตื้นตันใจมาก โยบมีความเคารพที่แท้จริงต่อพระเจ้า ไม่ว่าเขาจะได้รับพระพรหรือความวิบัติจากพระเจ้า เขาก็เชื่อฟังการจัดการเตรียมการของพระเจ้า โดยไม่เรียกร้องหรือประสงค์สิ่งใดเลย มันคือบททดสอบสำหรับเขา ที่ทั้งตัวปกคลุมด้วยฝี และเขาก็เจ็บปวดมาก แต่เขากลับสาปแช่งวันที่ตัวเองเกิด แทนที่จะตำหนิพระเจ้า ยืนหยัดเป็นพยานให้พระเจ้า และหยามเหยียดซาตาน ฉันอยากทำตามตัวอย่างของโยบ และให้คำพยานเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย ไม่ว่าการฉายแสงจะทำให้ฉันทนทุกข์แค่ไหน อาการจะดีขึ้นหรือแย่ลง ฉันก็พร้อมนบนอบต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการ และจะไม่พร่ำบ่น ต่อให้ฉันต้องตายก็ตาม
หลังการรักษาครั้งแรก ฉันรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย แต่ก็ยังใช้ชีวิตต่อไปได้ตามปกติ ยังกินได้ เดินเหินได้ ผู้ป่วยคนอื่นต่างประหลาดใจมาก และมีคนหนึ่งพูดว่า “ไม่น่าเชื่อเลย ทุกคนรักษาเหมือนกัน ทำไมคุณดูไม่สะทกสะท้านเลยล่ะ” พอได้ยินแบบนี้ ฉันก็แอบขอบคุณพระเจ้าเงียบๆ หลังฉายแสงได้สี่สิบห้าวัน หมอดูผลการทดสอบ แล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ดูเหมือนมะเร็งของคุณหายไปหมดแล้ว ผมตาฝาดหรือเปล่านี่” เขาเรียกหัวหน้าแผนกมาดูผลด้วย หมออีกสองสามคนก็มาดูด้วยเหมือนกัน ทุกคนต่างประหลาดใจมาก ไม่มีร่องรอยของมะเร็ง หรือแม้แต่อาการบวมหลงเหลืออยู่เลย พวกเขาบอกว่า วันรุ่งขึ้นฉันกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้เลย ฉันตื้นตันใจมาก ดวงตาพร่ามัวด้วยม่านน้ำตาจนแทบมองอะไรไม่เห็น สำหรับฉันมันชัดเจนมาก ว่านี่คือปาฏิหาริย์จากพระเจ้า ฉันยังได้เห็นด้วยว่า ชีวิตและความตายของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าจริงๆ
ฉันก้าวผ่านทุกกระบวนการถลุงแห่งการเจ็บป่วย ทนทุกข์มามาก หลั่งน้ำตามานับครั้งไม่ถ้วน และฉันก็เข้าใจพระเจ้าผิด และพร่ำบ่นพระองค์อยู่บ้าง แต่ผ่านความเจ็บป่วยนี้เอง ฉันถึงได้มาเข้าใจว่าการไล่ตามเสาะหาพระพร ทำให้ความเชื่อของฉันแปดเปื้อนยังไง และได้เชื่อฟังพระเจ้าขึ้นมาบ้าง ฉันยังได้เห็นกิจการอันแสนอัศจรรย์และความรอดที่พระองค์มีต่อฉัน ผ่านการเจ็บป่วยนี้เอง ที่ฉันได้ประสบกับความรักและพระพรของพระเจ้า ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ค่ะ! ไม่ว่าสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าจะเป็นพระพรหรือความวิบัติ ฉันก็พร้อมวางตัวเองไว้ในพระหัตถ์ และทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการไว้ เพื่อทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ในการตอบแทนความรักของพระเจ้า
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย เซี่ยวหมิ่น ประเทศจีน ใน ค.ศ. 2012 ฉันก็ได้ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมในระหว่างที่ฉันกำลังประกาศข่าวประเสริฐอยู่ ใกล้ค่ำของวันที่ 13...
วันหนึ่ง ที่คริสตจักรมีการเลือกตั้งคนทำงานข่าวประเสริฐ พอประกาศผลมา ฉันก็ประหลาดใจที่เห็นพี่น้องชายหญิงเลือกฉัน ฉันตื่นเต้นทีเดียว...
โดย หวางกาง ประเทศจีน บ่ายวันหนึ่งในฤดูหนาวของ ค.ศ. 2008...
โดย ซินรุ่ย ประเทศเกาหลีใต้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การรับใช้พระเจ้าไม่ใช่ภารกิจง่ายๆ...